Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Better called geek
•
ติดตาม
12 ก.พ. 2021 เวลา 09:56 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The Hunt - บูลลี่ที่มาก่อนกาล
Direted by Thomas vinterberg
- ย้อนกลับไปสัก 7-8 ปีก่อนหน้านี้ เชื่อว่าประเด็น Victim Bullying กระแส "บูลลี่" หรือ การล่วงละเมิดทางเพศ(Sexaul harassment)นั้น ยังคงเป็นประเด็นที่ไม่ถูกเอามาพูดถึง เพื่อสร้างกระแส สร้างแรงกระเพื่อมได้เท่าทุกวันนี้(โดยเฉพาะในบ้านเรา) โดยเฉพาะองค์กรสื่อหรือสื่อโซเชียวมิเดียที่ไม่ได้มีความบูมและมีความสามารถที่จะตีแผ่ประเด็นดังกล่าวได้อย่างทุกวันนี้ แต่ยังคงมีสื่อชนิดหนึ่งที่สามารถ"ตีแผ่"หรือ"เล่าเรื่องราว" ทำหน้าที่แทนสื่อหลัก โดยการหยิบประเด็นที่ตกหล่นไปในสังคม นำมาเล่าผ่านสื่อที่เราเรียกว่า"สื่อเพื่อความบันเทิง"มานานนับทศวรรษ สื่อนั้นเรียกว่า "ภาพยนตร์" The Hunt ของ Thomas Vinterberg คือหนึ่งในสื่อที่เล่าเรื่องราวนั้น
- The Hunt เป็นหนังนอกกระแสสัญชาติเด็นมาร์ก ที่เล่าถึงคุณครูประถมในโรงเรียนเล็ก ๆ แถบชนบทคนนึงห่างไกลจากตัวเมือง ณ ประเทศเดนมาร์ก คนหนึ่งชื่อว่า ลูคัส (Mads Mikkelsen) ที่ถูกเด็กคนหนึ่งกล่าวหาว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศ ที่ลูคัสต้องหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าเขาเป็นคนบริสุทธิ์
- ซึ่งหน้าหนังมันควรจะเป็น(ที่คาดหวัง)หนังฟิล์มนัวร์(Noir) ที่ควรจะสืบสวนสอบสวนแบบเข้มเข้น (ส่วนตัวไม่รู้เรื่องย่อและไม่เคยดูตัวอย่างมาก่อน ตัดสินจากใบปิดและนักแสดง(ลุงแมด)เพียงอย่างเดียว) จนควรจะกลายเป็นหนังคอร์ทรูม(courtroom)หน่อยๆ กลับกัน เนื้อแท้ของหนังกลับไม่ได้เล่าประเด็นที่กล่าวมาเป็นหลัก ซึ่งเนื้อแท้ของหนังกลับเล่าถึง"เหยื่อ"และ"การล่า"ที่มาจากผู้ทำและผู้ถูกกระทำได้อย่างกระอักกระอ่วนและอึดอัดตลอดทั้งเรื่อง แม้บรรยากาศของหนังในแถบสแกนดิเนเวียที่แทบจะขึ้นชื่อว่าเป็นแดนพระอาทิตย์กลางคืน แลดูจะกว้างขวางและร่มรื่นก็ตามที
- ถ้าไม่ได้เล่าสืบสวนสอบสวน แล้วเล่าอะไรล่ะ ? อย่างที่บอก เนื้อแท้ของหนังเล่าเกือบกับเหยื่อและผู้ล่า ทั้งนี้เหยื่อและผู้ล่าไม่ได้เพียงหมายถึงการถือปืนเข้าไปยิงหรือตามล่ากันตื่นเต้นให้เราเจอ แต่มันคือการ"ล่าแม่มด"ในบริบทแบบสมัยใหม่ ที่เหยื่อยกับผู้ล่า แม้จะเจอหน้ากันทุกวันในชีวิตประจำวัน ทั้งไปสอน หรือช้อปปิ้ง ก็ยังจะถูกผู้ล่า ทำการล่าอยู่ตลอดเวลา The Hunt สร้างบรรยากาศ"การล่า"ได้แบบอึดอัดและเครียดสุดๆ โดยใช้ไดอะล็อคและสิ่งแวดล้อมรอบตัวของลูคัสที่เหมือนห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่เราจะยืนขึ้นก็ยืนไม่ได้ หัวชนเพดาน ครั้นจะเอนตัวนอน พื้นที่ก็ไม่พอ ทำได้แค่นั่งยองๆและรู้สึกเหมือนกำแพงกำลังบีบเข้าหาตัวตลอดเวลาโดยผ่านการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Mads Mikkelsen ที่แสดงออกมาได้นิ่ง สงบ เหมือนแม่น้ำที่้เรียบเฉย แต่พอครั้นจะระเบิดออกมากลับระเบิดออกมาได้เจ็บปวด และทุกข์ทรมาน
***เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน(ไม่กระทบเนื้อเรื่อง)***
- จากปีที่เข้าฉายของหนัง(2012) จะเห็นได้ว่าประเด็๋น Victim Bullying , Sexual harassment ของเมืองนอกนั้นมีมานานแล้ว แต่ยังคงไม่ถูกสปอตไลท์ที่เรียกว่า"สื่อ"ฉายลงมามากเท่าทุกวันนี้ ประเด็น ลูคัส ถูกเด็กคนนึงคนกล่าวหา จนลามไปถึงเด็กคนอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย เกิดเป็นอุปทานหมู่ เหล่าผู้ปกครองต่างรุมประชาทัณฑ์และคุกคามชีวิตส่วนตัวของลูคัส ทั้งการไล่เค้าออกจากโรงเรียนที่เค้ารัก (ลูคัสเป็นที่รักของเด็ก ๆ , ลูกคัสย้ายมาที่ห่างไกลเพียงอยากทำในอาชีพที่เค้ารักอย่างการสอนเด็กๆ ) การห้ามให้ลูคัสและแม้ตัวตัวลูกของลูคัสเอง ห้ามเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตอีก (การโทษไปถึงตัวลูก)การประจานลูคัสให้ลูกและเมียเก่ารู้ ทำให้ลูกที่ลูคัสรักดั่งหัวแก้วหัวแหวนผิดหวังในตัวผู้เป็นพ่อ ทั้งๆที่ประเด็นกล่าวหาการล่วงละเมิดเด็กดังกล่าวยังไม่สืบหาความจริง แต่เป็นเพียงเพราะประโยคที่ว่า "เด็กไม่เคยโกหก" ตลกดีที่ประเด็นนี้มันสอดคล้องกับประเทศสารขัณฑ์บางประเทศที่พอลูกออกมาก่อความเดือดร้อนให้กับประชาชน กลับมีหน้ามาบอกคนที่ได้ระรับผลกระทบว่า "ลูกฉันเป็นคนดี"
-คาล่า สาวน้อยที่กล่าวหาว่าลูคัสล่วงละเมิดทางเพศ เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่แสดงความชื่นชอบหรือความรักแบบผิดๆในตัวลูคัสออกมา พอถูกลูคัสปฏิเสธ เด็ก7-8 ขวบเพียงหนึ่งคนที่มีปัญหาทางบ้าน(พ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน)ย่อมแสดงออกหรือทำบางอย่างที่เกิดปัญหาออกมา แต่นั่นเป็นเพียงแค่เด็ก ชอบที่หนังยังแอบเล่าประเด็นสถาบันครอบครัวที่เป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดออกมาด้วย
- คาล่าบอกกับผู้ใหญ่ว่าถูกลูคัสล่วงละเมิดทางเพศ แต่พอเรื่องราวชักจะใหญ่โต คาล่าเลือกที่จะสารภาพกับผู้ใหญ่ว่ามันเป็นแค่เรื่องไร้สาระที่เธอแต่งขึ้นมาเอง แต่ผู้ใหญ่กลับเลือกที่จะไม่ฝังและบอกกับเธอว่ามันเป็นแค่ฝันร้าย เธอแค่ต้องยอมรับมัน เธอต้องอยู่กับมัน เป็นอีกประเด็นที่แสดงให้เห็นว่า เด็กก็แค่เป็นเด็ก ผู้ใหญ่แค่อยากได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่จะได้ยินเท่านั้น ทำให้เหยื่ออย่างลูคัส ต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากและลามไปถึงตัวมาร์คัสที่เป็นลูกของลูคัสเองก็โดนร่างแหไปด้วย
- กระสุนท้ายเรื่อง เป็นสิ่งที่บ่งบอกแก่สังคมเราไปแล้วว่า แม้ว่าตัวลูคัสจะสามารถเคลียร์หรือพิสูจน์สถานะตัวเองได้เรียบร้อยแล้ว แต่คนบางกลุ่้มยังคงเลือกที่จะ"เชื่อ"ในสิ่งที่พวกเค้าต้องการจะเชื่อต่อไป เป็นข้อพิสูจน์ว่า เหยื่อที่ถูกสังคมล่าไป แม้จะถูกพิสูจน์ทางนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ไปแล้ว เรื่องบางเรื่อง มันคงไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิมอยู่ดี
*** หมดการเปิดเผยเนื้อหา ***
- รวมแล้ว The Hunt ไม่ได้เป็นหนังที่ไล่ล่าตื่นเต้น สมชื่อของหนัง แต่กลับเป็นหนังที่มาก่อนกาลและเล่าประเด็นบูลลี่ได้อย่างคมคายและเจ็บปวด แม้ในตัวหนังอาจไม่ใช่มวยที่มีหมัดฮุคเอาน็อคแบบเรื่องอื่นๆ แต่เดอะฮันต์เป็นมวยเชิงรับที่ต่อยเอาชนะคะแนนจนยกสุดท้าย พอชกเสร็จคู่ชกอาจไม่รู้สึกเจ็บร่างกายหรือปวดตัว แต่พอกลับไปนอนบ้านได้คืนเดียวอาจตื่นมาพบว่าสมองบวนหรือช้ำในตายเอาได้เลย
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย