Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ปรัชญา ปานเกตุ
•
ติดตาม
12 ก.พ. 2021 เวลา 11:44 • ประวัติศาสตร์
ลมว่าว
ลมว่าวเป็นชื่อลมประจำถิ่นไทย
เป็นลมยืน เพราะพัดเวลากลางวัน ไม่ใช่ลมแซม ที่พัดมาชั่วครู่ครั่วยามเวลากลางคืน
กระแสลมพัดจากทิศเหนือไปทิศใต้ช่วงต้นฤดูหนาว คือระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน
เพราะเกิดในระยะเก็บเกี่ยวข้าวเบา (ข้าวที่ให้ผลเร็วซึ่งจะเก็บเกี่ยวในเดือนสิบสองทางจันทรคติ) จึงเรียกได้อีกว่า “ลมข้าวเบา” หรือ “ลมโยกข้าวเบา”
เพลงเก่าที่เคยฟังเรียก “ลมล่องข้าวเบา” หรือ “ลมโบกข้าวเบา” ก็มี เช่น
“...เคยเคลียคลอ พะนอเดินเล่นกับน้อง ครั้งเมื่องานเดือนเพ็ญสิบสอง เมื่อตอนลมล่องข้าวเบา...” (ร้องไห้กับเดือน-คัมภีร์ แสงทอง)
“...ข้าวเบาหน้านี้ รวงดีเพราะมีลมโบก ได้ลมฉ่ำฝนจนโชกแต่ใจข้าโศกหนักหนา เจ้าสิ้นใจรัก ข้ายังภักดีเรื่อยมา นี่หรือน้ำใจเจ้ากล้าทิ้งข้าไปได้ ลงคอ
สาวเอย โถน้ำใจเจ้าช่างดำ แกล้งรักข้าให้ช้ำรักพรากเจ้าเป็นคนก่อ เจ้าลืมหรือ โถข้าซื่อตรงรอ กลับเถิดหนอ ใจข้าโศกเหมือนคอยลมโบกข้าวเบา...” (คอยลม-สุนทราภรณ์)
หมอบรัดเลย์ บอกไว้ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ว่าลมว่าวนี้ “...คือลมน่าระดูหนาว มันพัดมาแต่ฝ่ายทิศอีศาน, มักทำให้เกิดความหนาวเอย็นนัก...”
ลมที่นำความหนาวเย็นมาด้วยนี้ชวนให้คนมีรักเว้าวอนหาอกอุ่นแอบอิง
แต่ใครผู้แรมร้างจากรสแห่งความรื่นรมย์คงหนาวเยือกถึงหัวใจ
ความอ้างว้างเดียวดายนั้นกระทบกับสายลมกรูเกรียวก่อตัวเป็นถ้อยคำรำพันถึงของใครผู้จำไกลคนรัก
“...ประหลาดจริงยิ่งดึกยิ่งนึกหนาว เป็นลมว่าวข้าวเบาหนอเจ้าหนอ...” (พระอภัยมณี)
“...ถึงลมว่าวหนาวยิ่งจะผิงไฟ แต่หนาวใจจากเจ้าให้เศร้าซึม...” (นิราศพระประธม)
“...น้ำค้างพรมลมว่าวหนาวอุรา พี่ห่มผ้าซ้อนผืนไม่ชื่นใจ...” (นิราศพระแท่นดงรัง-นายมี)
“...น้ำค้างพรมลมว่าวจะหนาวอก สงสารนกร่างน้อยเที่ยวลอยเหิน...” (นิราศทวาราวดี)
แต่เด็กๆ ไม่รู้จักความรัก
เมื่อมีลมหนาวพัดที่ใบหน้า มองเห็นกิ่งไม้ใหญ่ขยับเขยื้อน และได้ยินเสียงหวีดหวิว เด็กสุพรรณบ้านผมถือเป็นการเข้าสู่ “หน้าเล่นว่าว”
ต่างคนต่างให้ผู้ใหญ่เหลาไม้ไผ่เป็นโครงและซื้อหากระดาษว่าวมาทาแป้งเปียกแปะเป็นตัว
กระดาษว่าวจากเมืองจีนหรือญี่ปุ่นสีแดงสีเขียวนั้นเนื้อเหนียว ไม่โปร่ง และลมรั่วไม่ได้
ติดพู่กระดาษที่ปีกเพื่อถ่วงน้ำหนัก และตัดกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นเส้นยาวหรือลักฉีกผ้าถุงแม่เป็นริ้วมาต่อเป็นหางว่าว
ดังนี้จึงเรียกกระดาษแผ่นยาวอย่างหางของว่าวปักเป้าสําหรับจดบัญชีบอกรายชื่อเลกครั้งโบราณ หรือบัญชีรายชื่อคนหรือรายการสิ่งของเป็นต้นที่ยาวยืดว่า “บัญชีหางว่าว”
ผูกสายซุงที่อกว่าวแล้วผูกสายป่านพันกระป๋องแป้งม้วนยาวกับสายซุง
เลือกลานกว้างพอวิ่งได้เหนื่อยและเป็นเส้นทางห่างสายไฟหรือกิ่งไม้เกะกะ
ว่าวพันเกี่ยวกับกิ่งไม้สายไฟเป็นบททดสอบความพยายามและชั้นเชิงเชาวน์ไวของเด็กๆ ยิ่งกว่าโจทย์ปัญหาในห้องเรียน
นาข้าวที่เกี่ยวรวงแล้วก็โล่งดีแต่ตอนอาบน้ำแสบขาชะมัดเพราะตอซังบาดไม่รู้ตัว
ให้คนส่งว่าวยืนใต้ลม ตั้งหัวว่าวขึ้นรอกระแสลม พร้อมแล้วส่งว่าวขึ้นไป
วิ่ง-วิ่ง-และวิ่ง
คนชักพาสายว่าววิ่งไปพร้อมกับกระตุกผ่อนสายว่าวไปเรื่อยๆ จนกว่าว่าวจะขึ้นได้
วันไหนลมจัดพัดดีไม่ต้องออกแรงวิ่ง ว่าวกินลมได้เพียงกระตุกและผ่อนสายป่านเป็นระยะ
ผลัดกันเป็นคนชักคนส่ง ว่าวติดลมบนดีแล้วจะถือไว้นิ่งๆ หรือผูกปลายเชือกป่านไว้ที่กอหญ้าริมคันนาก็ได้
“ให้มันถึงฟ้าเลยนะ” น้องสาวชี้บอกพี่ชายบางคน
เขากับเพื่อนนั่งกอดเข่าเฝ้ามองฝูงว่าวว้าว่อนแหวกว่ายฟ้าใสตั้งแต่สาย จนเย็นย่ำจึงสาวว่าวของตัวเองลงมาถามข่าวข้างบน แล้วกลับบ้าน
“หนาว~ววเหมือนเมื่อเป็นเด็กเลย” เขาห่อไหล่และเผลอรำพึงออกมาคนเดียวเมื่อลมหนาวพัดพาความทรงจำครั้งเก่าให้กลับคืนมาใหม่
...
ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนและมีลักษณะอากาศแบบร้อนชื้นเกือบตลอดทั้งปี
ผู้เอือมระอากับหน้าเยิ้มเครื่องสำอางจึงต่างตื่นเต้นกับลมหนาววูบแรกแห่งเหมันตฤดู
“ลมหนาว...ลมหนาวใช่มั้ย...นี่มันลมหนาวนี่” ใครบางคนผู้ก้าวเดินออกจากบ้านและรู้สึกว่าวันนี้ไม่ร้อนเหมือนวันก่อนรีบหันมาถามคนข้างๆ
“ลำปางหนาวมั้ย ลำพังหนาวมาก”
“ลมหนาวพัดมาทีไร เหงาถึงหัวใจทุกที”
“ลมหนาวมาแล้ว แต่คนกอดให้หายหนาว ยังไม่มาเลย”
“จุดที่หนาวที่สุดไม่ใช่ยอดดอย แต่เป็นจุดที่รอคอยแล้วไม่มีใครมาสักที”
“เธอก็เหมือนหน้าหนาวเมืองไทย ผ่านเข้ามาให้ชื่นใจ แล้วก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว”
“ลมหนาวมาเมื่อใด กลัวฉันกลัวขาดใจ เพราะหัวใจที่มันอ่อนไหว ไม่เคยได้รักจากใครเสียที...”
ใครบางคนผู้ไม่มีคนข้างๆ ให้หันบอก ก้มพิมพ์แคปชั่นหน้าหนาวแล้วเลือกสีพื้นหลังให้ปังปุริเย่ก่อนโพสต์เรียกเรตติ้งรับลมเย็น
และใครบางคนผู้ขอเข้างานสายเพื่อรีบกลับไปรื้อค้นเสื้อกันหนาวขนแกะไหมพรมที่ซุกซ่อนอยู่ซอกในสุดของตู้เสื้อผ้าออกมาคลี่คลุมกาย นั้นสร้างความฉงนอยู่เหมือนกัน
“ทำไมต้องรีบ”
“รีบสิ พรุ่งนี้ก็ไม่หนาวแล้ว”
ที่ผมรีบเขียนเรื่อง 'ลมว่าว' ก่อนก็เช่นกัน
“ทำไมต้องรีบ”
“รีบสิ...พรุ่งนี้ก็ไม่หนาวแล้ว”
ปรัชญา ปานเกตุเผยแพร่บนเฟสบุ๊คและแฟนเพจเมื่อวันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
ทุ่งนาหน้าหนาว ปรัชญาถ่ายที่ต.ไร่รถ อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เสาร์๑๘มกรา๒๕๕๗
ดอกหญ้าและนาข้าวหลังเกี่ยวรวง ผูกสายป่านกับกอหญ้าและนั่งมองว่าวว่อนคว้างกลางฟ้า ปรัชญาถ่ายที่ต.หนองโพธิ์ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี พุธ๑มกรา๒๕๕๗
บันทึก
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย