Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A-ROUND
•
ติดตาม
15 ก.พ. 2021 เวลา 11:00 • ไลฟ์สไตล์
รอยสัก แฟชั่น วัฒนธรรม ความเชื่อ
Photo by Kristian Angelo on unsplash
ปัจจุบันเมื่อพูดถึงรอยสักหลายคนคงนึกถึงงานศิลปะที่ถูกสลักลงบนร่างกายเพื่อความสวยงาม และแฟชั่น แต่นอกจากสิ่งเหล่านั้นแล้วรอยสักยังบ่งบอกถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ และตัวตนของผู้ที่สักอีกด้วย
ด้วยความที่ผู้เขียนเป็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลในศิลปะที่เรียกว่าการสักมาก ผนวกกับความชื่นชอบในเรื่องราวของความเชื่อ และวัฒนธรรมต่าง ๆ เราเลยไปค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และความเชื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับรอยสักมาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ
รอยสักมีมานานแค่ไหนแล้ว?
ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์และแหล่งโบราณคดี การสักได้ถูกคิดค้นและฝึกฝนโดยมนุษย์มาอย่างยาวนาน มีการค้นพบเครื่องมือที่ใช้สำหรับการสักในโบราณสถานยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณฝรั่งเศส โปรตุเกส และในแถบสแกนดิเนเวีย โดยเครื่องมือเหล่านี้มีอายุกว่า 12,000 ปี
รอยสักบนร่างของ Ötzi the Iceman Photo by South Tyrol Museum of Archaeology/EURAC/Samadelli/Staschitz
ต่อมาเมื่อปี 1991 มีการค้นพบหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของรอยสักบนตัวมนุษย์ที่เชื่อว่าอยู่ในช่วง 3370 ถึง 3100 ปีก่อนคริสต์ศักราช หลักฐานชิ้นนี้ถูกเรียกว่า "Ötzi the Iceman" มนุษย์น้ำแข็งเอิตซี (ออกเสียงตามภาษาเยอรมัน) ชื่อของมนุษย์น้ำแข็งเอิตซีมาจากชื่อสถานที่ที่พบในเทือกเขาเอิตซทัลแอลป์ ร่างของเอิตซีถูกทำให้เป็นมัมมี่โดยธรรมชาติจากความหนาวเย็น และรักษาสภาพของร่างกายไว้ ทำให้เอิตซีเป็นมัมมี่ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในยุโรป
จากการศึกษาพบว่ามีรอยสัก 61 รอยทั่วทั้งร่างกายของมนุษย์น้ำแข็งเอิตซีนี้ โดยส่วนใหญ่มีรอยสักที่บริเวณขา โดยการตรวจสอบรอยสักอย่างใกล้ชิดพบว่ามีร่องรอยของเขม่าหรือขี้เถ้าถูกใช้เพื่อการทำรอยสัก เรียกได้ว่ามนุษย์น้ำแข็งเอิตซีนี้เป็นหลักฐานทางกายภาพที่เก่าแก่ที่สุดของวัฒนธรรมการสักเลยก็ว่าได้
ในแต่ละยุคแต่ละสมัยเองก็มีประวัติศาสตร์ของการสักมาอย่างเข้มข้นและยาวนาน มีหลักฐานของมัมมี่และซากศพที่มีรอยสักถูกพบทั่วทั้งโลกอีกกว่า 49 แห่ง เช่น มองโกเลีย อียิปต์ จีน รัสเซีย ฟิลิปปินส์ ฯลฯ บางแห่งพบหลักฐานที่มีมาตั้งแต่ 2100 ปีก่อนคริสต์ศักราชเลยด้วย
ทีนี้เรามาดูวัฒนธรรมและความเชื่อเกี่ยวกับรอยสักของแต่ละที่กันดีกว่าว่าที่ไหนมีวัฒนธรรมการสักเป็นอย่างไรกันบ้าง
1. Tatau (Samoa)
Photo by BlackRabbitArtStudio on facebook
ทาเทา เป็นชื่อเรียกของรอยสักของชาวซามัว เชื่อกันว่าคำว่า tattoo ที่แปลว่ารอยสักนั้นได้อิทธิพลมาจากคำว่า Tatau โดยชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เดินทางมายังแถบหมู่เกาะโพลินีเซียออกเสียงผิด รอยสักนี้ชาวซามัวเชื่อว่าเป็นเครื่องเตือนใจและรำลึกถึงบรรพบุรุษ
รอยสักทาเทาของผู้ชายจะถูกเรียกว่า "พีอา" (Pe’a) และของผู้หญิงจะถูกเรียกว่า "มาลู" (Malu) โดยพีอาจะมีรอยสักตั้งแต่ช่วงเอวจนถึงหัวเข่า ส่วนมาลูจะมีรอยสักที่ละเอียดอ่อนกว่าโดยเริ่มตั้งแต่บริเวณใต้หัวเข่าเล็กน้อยจนถึงต้นขาใกล้บริเวณก้น
2. Ta Moko (New Zealand)
Photo by Michael Kotiss on pinterest
ทาโมโก เป็นการสักดั้งเดิมของชาวเมารีชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ดั้งเดิมรอยสักนี้ถือเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่จะทำให้กับนักรบเพื่อให้เกิดความน่าเกรงขาม และเพื่มแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้าม อีกทั้งรอยสักนี้บ่งบอกถึงลำดับของความรู้ สถานภาพทางสังคม ชนชั้น วงศ์ตระกูลของผู้สักอีกด้วย
3. Irezumi (Japan)
Photo by japanese.ink on instagram
อิเรซุมิ ชื่อเรียกของการสักแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่โบราณ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของทัศนคติที่มีต่อรอยสักเริ่มต้นเมื่อราว ๆ ปี 1600 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่านักโทษหรืออาชญากรทุกคนต้องถูกสักลงบนผิวหนังเป็นการลงโทษ การกระทำนี้ของรัฐบาลถูกเรียกว่า "บคเค" (bokkei) ซึ่งทำให้นักโทษที่พ้นโทษออกมาในเวลานั้นไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม โดยการตีตราทางสังคมนี้ถูกใช้มานานกว่า 200 ปี
ต่อมาเหล่ายากูซ่าได้เริ่มวัฒนธรรมการสักขึ้นเพื่อเป็นการต่อต้านบคเค ซึ่งรอยสักของเหล่ายากูซ่านี้มีนัยแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่ง ความแข็งแกร่ง รวมถึงลำดับชนชั้นภายในแก๊งอีกด้วย
4. Mehndi (India)
Photo by aperinastudios on unsplash
เมนดิ หรือ เมเฮนดี (ออกเสียงแบบภาษาฮินดี) อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเพนต์มากกว่าการสัก แต่ศิลปะนี้มีมานานกว่า 5000 ปีแล้ว โดยใช้สีที่ได้มาจากต้นเฮนนา เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีและสุขภาพดี มักใช้ตกแต่งบนร่างกายในพิธีหรือโอกาสสำคัญต่าง ๆ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน เป็นต้น รูปแบบดั้งเดิมของศิลปะชนิดนี้มักจะเพนต์เป็นรูปพระอาทิตย์ แต่ในสมัยใหม่ที่เรามักนิยมเห็นจะเป็นลวดลายของดอกไม้และใบไม้เป็นส่วนใหญ่
5. ยันต์
Photo by danlazarov on instagram
ยันต์ ดั้งเดิมมีต้นกำเนิดมาจากศาสนาฮินดูและได้ถูกนำมาประยุกต์และผสมผสานกับเวทมนตร์หรือไสยศาสตร์ ซึ่งมีมานานกว่าพันปีแล้ว การสักยันต์เป็นวัฒนธรรมที่ไทยได้รับมาจากชาวขอมหรือกัมพูชาในปัจจุบัน ในสมัยก่อนมักจะสักให้โดยพระ พราหมณ์ และฤๅษีให้กับนักรบเพื่อให้แคล้วคลาดปลอดภัย การสักยันต์มักใช้สิ่งที่เรียกว่าไม้สัก (อาจทำขึ้นจากไม้หรือเหล็กแหลม) จุ่มลงไปในน้ำหมึกที่มีส่วนผสมจากถ่าน ขี้เถ้า สมุนไพรที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ (สูตรเหล่านี้ขึ้นอยู่กับอาจารย์แต่ละคน) ภาษาที่ใช้สักจะเป็นภาษาขอมโบราณและภาษาบาลี การสักยันต์ในปัจจุบันนิยมสักกันเพื่อเสริมดวง เสน่ห์ และความมั่งคั่งเป็นส่วนใหญ่
Photo by Allef Vinicius on unsplash
ในปัจจุบันการสักถือเป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้มากขึ้น และมีอคติต่อคนที่มีรอยสักน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก อย่างไรก็ตามหากใครคิดอยากจะลองสักแล้วล่ะก็ ขอให้คิดไตร่ตรองดูให้ดี ๆ เพราะรอยสักเหล่านั้นจะติดอยู่กับตัวของคุณไปตลอดชีวิต
แล้วพบกันใหม่กับเรื่องราวสนุก ๆ และมีสาระในตอนหน้านะครับ
ที่มา :
https://bit.ly/3b74OhF
https://bit.ly/2N4X9by
https://bit.ly/3b55P9T
https://bit.ly/3jQA6gz
https://bit.ly/3ddTnHD
https://bit.ly/3df8IHS
Written by TINE A-ROUND
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย