17 ก.พ. 2021 เวลา 09:34 • ไลฟ์สไตล์
พ่อแม่ เริ่มแก่เถ้า
อย่างที่เกริ่นไปในบทความก่อนหน้านี้ ว่าครอบครัวของผมทำเกษตรเชิงเดี่ยว ปลูกสับปะรด ตั้งแต่จำความได้จนถึงเรียนจบปริญญาตรี ก็ประมาณ 12-15 ปี เห็นจะได้ที่เห็นพ่อและแม่ ทำแต่ไร่สับปะรด ราคาดีบ้างราคาแย่บ้าง มีขึ้นมีลงตามกลไกตลาด เมื่อเวลาผ่านไปพ่อและแม่คงเล็งเห็นอนาคตว่า ต่อไปคงจะทำไร่สับปะรดต่อไปไม่ไหวแน่ๆ เพราะงานค่อนข้างจะหนัก และลูกๆ คงจะไม่มีใครกลับมาทำไร่อีกอย่างแน่นอน เพราะส่งเสียลูก ๆทุกคนเรียนจบปริญญาตรี กันหมดแล้ว
สับปะรดมีดอกนะ เคยเห็นกันเปล่า
ประจวบเหมาะกับปีนั้นยางพารามีราคาสูงมาก (จำ พ.ศ. ไม่ได้) ถึงกิโลกรัมละ 100 บาทกว่าเลยทีเดียวเป็นที่ฮือฮามาก พ่อและแม่จึงคิดจะปลูกยางพาราซึ่งเอาไว้เป็นรายได้ตอนแก่เถ้า เนื่องจากไม่ต้องทำหนักมีคนมากรีดยาง แล้วแบ่งเปอร์เซ็นต์กัน ที่บ้านจึงเริ่มต้นปลูกยางพาราในไร่สับปะรด (ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกปลูกพืชเชิงซ้อนได้ยัง) ปลูกไปแบบไม่ได้มีความรู้มากนัก บางต้นก็ตาย ก็ไม่ได้นำต้นใหม่มาปลูกซ่อมแซม ก็คือไม่ได้เป็นชาวสวนยางมืออาชีพนั่นเอง เรียกว่าปลูกไปตามมีตามเกิด มารู้ตัวอีกทีต้นยางก็ใหญ่มากแล้ว จะเอาต้นใหม่มาซ่อมแซมต้นเก่าก็คงโตไม่ทันกันซะแล้ว ทำให้ไร่ยางหรือสวนยางที่ได้ ไม่มีความสม่ำเสมอกันของต้นยางเท่าไหร่
แรกเริ่มปลูกสับปะรดลงไปก่อน แล้วค่อยปลูกยางพาราตามในร่องสับปะรด
ในระหว่างที่รอผลผลิตจากยางพารานั้น (7 ปี ตามหลักสูตร) ก็มีการปลูกสับปะรดในไร่ยางอยู่ประมาณ 3 ปี เนื่องจากถ้ายางพารามีอายุเข้าปีที่ 4-5 ก็จะมีร่มเงาที่มากจะคลุมสับปะรด ทำให้ได้ผลผลิตไม่เต็มที่ ตามที่เคยเขียนไปว่าสับปะรดเป็นพืชที่ชอบอยู่กลางแจ้ง ไม่ชอบมีร่มเงาไม้ปกคลุม
2-3 ปียางเริ่มโต กลายเป็นสับปะรดในสวนยาง
ที่เล่ามาไม่มีอะไรมาก แค่เป็นที่มาของการเริ่มต้นปลูกพืชแบบเชิงซ้อน โดยปลูกยางพาราในไร่สับปะรด และเมื่อยางพาราเพิ่มโต ก็มีการปลูกสับปะรดในสวนยางพารา (งงไหม )
ช่วงระหว่างรอผลผลิตจากยางพาราก็ได้ผลผลิตจากสับปะรดไปก่อนนะ
โฆษณา