17 ก.พ. 2021 เวลา 12:00
พอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองจัดการกับความเครียดไม่ไหว ฉันเลยเลือกที่จะไปปรึกษาจิตแพทย์ที่รพ.แห่งหนึ่งในกทม.
1
หลังจากย้ายมาอยู่เมืองหลวงได้ 7 ปี ถึงปากจะบอกว่าชินกับไลฟ์สไตล์คนกรุงแล้วก็เถอะ แต่ลึกๆ แล้วก็ยังปรับตัวได้ไม่ดีนัก บวกกับงานกองโตที่ถาโถมเข้ามามากขึ้นทุกวันจนฉันมีอาการวิตกกังวล นอนไม่หลับ และเสี่ยงเป็นซึมเศร้า..
ฉันไปพบหมอตามคำแนะนำของชาวเน็ตพันทิปจากกระทู้ที่ตั้งไว้เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน
วันนี้เป็นนัดครั้งที่ 2 กับ ‘หมอเบญ’ หมอเจ้าของไข้ของฉัน
หมอเบญเป็นคนที่เก่งมาก ฉันรู้สึกสบายใจหลังจากที่คุยกับเค้าไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“ยาที่ให้ไปคราวก่อนเป็นยังไงบ้างคะ ทานหมดไหม?” หมอเบญถาม ขณะพิมพ์บางอย่างลงในคอม
“ค่ะ หมดแล้วค่ะ ก็ รู้สึกนอนหลับยาวขึ้นนะคะ”
“แล้วเรื่องภาวะอารมณ์เราเป็นยังไงบ้างคะ” หมอเบญหยุดพิมพ์แล้วหันมาคุยกับฉัน
ฉันเล่าให้หมอฟังไปคราวก่อนว่ามีปัญหาเพื่อนที่ทำงาน ที่ทำให้ฉันเครียดเพราะพวกมันชอบพูดจาล้อเลียนปมด้อยเป็นเรื่องสนุกขำขัน และเรื่องที่ฉันต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ เพราะหนีคนพวกนี้จนฉันไม่มีความมั่นใจ อีกทั้งเรื่องครอบครัวที่กดดันฉันอีก
ทุกๆ สิ่งบนโลกนี้ ทำให้ฉันอยากหายตัวไป
ฉันเหนื่อยมากๆ แม้แต่การลืมตาตื่นขึ้นมาอีกวันก็ยังเป็นเรื่องที่ยาก
แต่การที่ได้คุยกับหมอ ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจ อาจเป็นเพราะได้ระบายกับคนที่ฉันไว้ใจได้
หมอเบญไม่เคยมองว่าปัญหาของฉันเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว หรือไม่เคยดุว่าฉันคิดเล็กคิดน้อยเกินไป ซึ่งต่างกับพ่อแม่หรือเพื่อนของฉันโดยสิ้นเชิง
คนพวกนั้นเอาแต่พูดว่า ‘เรื่องแค่นี้เองช่างมันเถอะ’
แล้วก็ปล่อยให้ฉันรู้สึกจมดิ่งอยู่คนเดียวตลอด
“ก่อนหน้านี้คุณอิงมีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกเสียดายบ้างไหมคะ”
ฉันนิ่งเงียบ นึกอยู่ครู่ใหญ่ “ก็มีนะคะ เรื่องลาออกจากงานที่แรกน่ะค่ะ เสียดายเงินเดือน” อาจฟังดูตลก แต่ฉันเสียดายจริงๆ เพราะค่าตอบแทนนั้นสูงกว่างานปัจจุบันถึง 3 เท่าเลย
“อ๋อ ที่บอกว่าลาออกเพราะเพื่อนที่ทำงานใช่ไหมคะ พอจะเล่าให้หมอฟังได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงอ่อนนุ่มของหมอเบญทำให้ฉันเผลอเล่าเรื่องต่างๆ อย่างหมดเปลือก
ฉันสาวเหตุการณ์ไปตั้งแต่เริ่มเข้างาน เริ่มมีเพื่อนสนิท และจุดที่ทำให้ฉันพังไปจนถึงเรื่อง...
‘ความลับ’
1
ทุกอย่างพรั่งพรูราวกับท่อน้ำแตก เรื่องราวมากมายไหลออกจากปากฉันเหมือนคนไม่มีหูรูด
หมอเบญถามคำถามที่ทำให้ฉัน’ ต้องตอบ’ อย่างไม่มีทางเลือก
ทั้งๆ ที่หมอไม่ได้บังคับ แต่ฉันเองที่กลับรู้สึกว่าต้องพูดออกไป
มันแปลกมาก
เพราะในขณะที่ฉันเล่า มันเหมือนฉันถูกสะกดจิต หัวเบาโล่ง ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง และปากขยับพูดเรื่องที่อยู่ในใจไม่หยุด
แม้กระทั่งเรื่องที่ฉันลืมไปนานแล้ว หมอเบญกลับควักมันออกมาได้อีก
“เมื่อกี้คุณอิงบอกว่าขับรถชนคนหรอคะ?” น้ำเสียงของหมอสะดุดลงเล็กน้อย
“ค่ะ ชนแล้วหนีค่ะ เพราะว่าอิงตกใจ”
“แล้วคุณอิงทราบไหมว่าเค้าคนนั้นเป็นอะไรรึเปล่า?” หมอถามต่อ
“ถ้าไม่เสียชีวิตก็คงพิการมั้งคะ อิงชนเข้าเต็มแรงเลยค่ะ”
“คุณอิง รู้สึกอย่างไรบ้างหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นคะ?” คุณหมอหันมาพิมพ์ข้อความบางอย่างในคอม ทำให้ฉันเริ่มกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
..ไม่น่าพูดออกไปเลย
“เอ่อ หมอ.. อย่าบอกใครนะคะ”
“อ้อ ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ ความลับของคนไข้หมอต้องเก็บไว้อยู่แล้วค่ะ อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านมา10ปีแล้วนี่คะ” หมอเบญพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีผิดปกติ “คุณอิง กลัวหมอแจ้งความหรอคะ”
“.....ค่ะ” ฉันหลบสายตาหมอที่หัวเราะเบาๆ กับคำตอบของฉัน
ที่หมอพูดก็จริงอยู่ เหตุการณ์วันนั้นไม่มีหลักฐาน คงจะทำเป็นคดีไม่ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกผิดอย่างมาก ฉันเลือกที่จะเก็บเงียบไม่บอกใครทั้งนั้นแม้กระทั่งพ่อแม่ และตั้งใจจะลืมๆ มันไป แต่วันนี้มันกลับถูกขุดขึ้นมาวนเวียนในหัวฉันอีกครั้ง
ฉันกลับบ้านมาด้วยยาตัวใหม่ ไม่สามารถหยุดความคิดเรื่องที่คุยกับหมอเมื่อเช้าได้เลย
ทั้งที่เกือบจะลืมได้อยู่แล้วเชียว
อุตส่าห์ใช้เวลาเกือบ10ปี ฝังเรื่องความผิดนั้นลงลึกสุดใจได้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมหมอต้องให้ฉันพูดมันขึ้นมาใหม่ด้วย
จริงๆ แล้ว หมอก็ไม่ต่างกับพวกเพื่อนพวกนั้นเลย ..ไม่ใช่หรอ
คืนนั้น ฉันตัดสินใจทักไลน์หาหมอเบญ ซึ่งเค้าแอดฉันมาด้วยเหตุผลว่า เอาไว้ให้ฉันปรึกษาปัญหาได้ทุกเรื่อง
เมื่อเปิดมือถือดูก็พบว่า หมอเบญได้ทักฉันมาก่อนตั้งแต่เมื่อ1ชม.ที่แล้ว
ว่าให้ฉันไปพบเค้าที่บ้าน เพราะต้องการคลายปมเรื่องขับรถชน ก่อนที่มันจะส่งผลถึงจิตใจฉันในอนาคต
ฉันแปลกใจ ที่หมอใส่ใจเคสฉันขนาดนี้ ถึงกับนัดไปเจอที่บ้าน
แต่ก็ดี นั่นทำให้’ การกำจัดหมอ’ ง่ายขึ้นไปอีก
ฉันเก็บมีดครัวเล่มยาวใส่ในกระเป๋าเป้ ก่อนจะขับรถไปตามแผนที่บ้านที่หมอแชร์มาให้
ระหว่างทาง ฉันคิดอยู่ตลอดว่าจะแทงส่วนไหนดี เฉือนตรงไหนดี จะกำจัดซากศพอย่างไรดี
เมื่อถึงบ้าน หมอเบญออกมารับฉันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ผิดกับฉันที่ไม่สามารถซ่อนสีหน้ากังวลเอาไว้ได้เลย
...กลัวหมอจะรู้ ว่าเรากำลังจะทำอะไร..
หมอพาฉันเข้าไปในห้องนั่งเล่น เสิร์ฟชาร้อนและเริ่มพูดคุยอย่างสบายๆ
“ที่นัดมานี่ไม่ใช่อะไรนะ แต่หมอเป็นห่วงค่ะ”
“ปกติหมอทำแบบนี้กับคนไข้คนอื่นด้วยหรอคะ?”
“ก็มีบ้างนะคะ เคสที่หนักๆ หมอก็อยากช่วยให้หายไวๆ น่ะค่ะ” คุณหมออธิบายพลางจิบชาร้อน ก่อนจะผายมือมาให้ฉันจิบชาบ้าง
ฉันส่ายหน้า “เชิญก่อนเลยค่ะ”
ตึงงง!!!!
หมอเบญและฉันเงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงบนชั้นสองพร้อมๆ กัน
“อ๋อ สามีหมอเองค่ะ เดี๋ยวขอตัวไปจัดการสักครู่นะคะ” แล้วหมอเบญก็เดินขึ้นบันไดไป ทิ้งให้ฉันนั่งรออยู่ด้านล่างคนเดียว
..ถ้าอยู่บ้านกับสามี งั้นฉันก็ลงมือฆ่าหมอได้ยากน่ะสิ?
ฉันหยิบมีดเอามาซ่อนไว้ด้านหลัง กะว่าถ้าหมอลงมาเมื่อไหร่จะรีบแทงแล้วรีบออกไปจากบ้านทันที ระหว่างรอก็มองไปรอบๆ บ้านที่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ ราวกับไม่ค่อยมีการใช้งานมากนัก
ฉันนั่งจิบชาจนหมดแก้ว แต่หมอก็ยังไม่ลงมา ผ่านไปกว่า 30นาทีแล้ว จึงตัดสินใจเก็บมีดไว้ในกระเป๋าดังเดิม แล้วเดินขึ้นไปบนชั้นสอง
มีห้องนอนหลายห้อง แต่มีห้องเดียวที่ประตูเปิดอยู่ดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไป
สิ่งที่เห็นคือ’ มีชายวัยกลางคน นั่งอยู่บนวีลแชร์ด้วยสภาพพิกลพิการ ขาขาดทั้งสองข้าง มือห้อยลงมาใช้การไม่ได้เหมือนเป็นอัมพาต ใบหน้าและปากห้อย น้ำลายไหลย้อย มีผ้าเช็ดปากผูกไว้ที่คอ’
..นี่มัน อะไรกัน
“นี่พี่ต้อง สามีหมอเองค่ะคุณอิง” ฉันสะดุ้งตกใจ หันไปตามเสียงของหมอเบญที่โผล่มาจากด้านหลังประตูทางเข้า ก่อนที่หมอจะเดินเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ข้างรถเข็น “พามาให้เจอแล้วนะคะพี่ต้อง”
“อะไรนะคะ?” ฉันเอ่ยถามทันทีหลังจากหมอพูดประโยคนั้น
หมอเบญหันมายิ้มให้ฉันอย่างน่าขนลุก “พอดีพี่ต้องอยากเห็นหน้าคุณอิงน่ะค่ะ”
1
ฉันขมวดคิ้วแน่น หมายความว่ายังไง?
พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัว มันก็มีแค่เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้
‘ชายที่อยู่บนวีลแชร์ คือคนที่ฉันขับรถชนเมื่อสิบปีก่อน’
...ฉัน... พูดไม่ออกเลย
ได้แต่อ้าปากค้าง เดินเซถอยหลังสองสามก้าว หมอเบญรีบลุกขึ้นไปปิดประตูห้องและยืนขวางเอาไว้ทันที
ใบหน้าหมอยังคงยิ้ม แต่สองแก้มอาบไปด้วยน้ำตา
“คุณอิง อยากฆ่าหมอนี่คะ? นี่ไงคะ” หมอเบญยื่นมีดมาทางฉัน
ซึ่งมีดนั้น มันคือมีดของฉันเองนี่!
“สิบปีที่คุณอิงเก็บความลับ กับสิบปีที่หมอตามหาคำตอบ.. มันบังเอิญดีนะคะ”
“...” ฉันยังคงนิ่งเงียบ ไม่สามารถอธิบายอะไรได้เลย
ใจหนึ่ง นึกอยากจะกระโจนไปคว้ามีดมาฟันหมอให้จบๆ ไป อีกใจหนึ่งก็อยากจะเอามีดมาแทงตัวเองซะให้สิ้นเรื่อง
สายตาฉันเบลอพร่ามัวไปหมด สูญเสียการทรงตัว รู้สึกหัวหนักตื้อจนเซล้มลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ..หรือเป็นเพราะชาร้อนถ้วยนั้น?
ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนทุกอย่างจะดับมืด
คือหมอเบญ ถือมีดเดินตรงเข้ามาหาฉัน โดยที่ฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
ทำไมผู้ล่าอย่างฉัน ถึงกลายเป็นผู้ถูกล่ากันล่ะ...
.......ทำไม
- The End | ไม่น่าพูดออกไปเลย -
โฆษณา