Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เรื่องสั้นสยองขวัญ โลกพระจันทร์สีซีด
•
ติดตาม
19 ก.พ. 2021 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น
ผมเป็นคนนึงนะที่เคยเชื่อว่า นรกไม่มีจริง จนกระทั่งผมได้เจอกับบางสิ่งที่ทำให้ผม ไม่อาจจะลืมไปได้เลย วันนั้นมันเป็นวันที่รู้สึกว่าอะไรมันก็ดีไปหมดซะทุกอย่าง…
Photo by Devin H on Unsplash
ช่วงเวลาที่ผมกำลังนั่งชิลๆ จิบกาแฟอยู่ในร้านแห่งหนึ่งแถวๆย่านใกล้ที่ทำงานของผม ผมที่กำลังเหม่อฟังเพลงเพลินๆได้ที่เลย จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงคุ้นเรียกทักทายผม
“เฮ้ย นิว นิวใช่เปล่าวะ นั่งเหม่ออะไรวะเนี่ย”
“ ช่วงนี้นายเป็นไงเนี่ยดูสดชื่นร่าเริงตลอดเวลา ดูดีขึ้นเปล่าวะ”
เสียงของเพื่อนรักผมที่ไม่ได้เจอกันนานมาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่เรียนจบมหาลัย เราสองคนต่างแยกย้ายกันไปทำงานที่ตัวเองรัก ตัวผมเป็นสถาปนิกรับออกแบบบ้าน ส่วนเพื่อนผมหน่ะ เขาไปเป็นนักพูด ส่วนพูดเรื่องอะไรผมก็จำไม่ได้ จำได้คร่าวๆแค่ว่ามันหน่ะคอยพูดให้คนหลายๆคน เหมือนทำหน้าที่เป็นตัวแทนอะไรซักอย่าง
“ก็ดีนะเว้ย โหไม่เจอกันนานเลย คิดถึงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย ช่วงนี้แบบเรากำลังขาขึ้นไง”
“เห้ย!! จริงดิ ไปทำไรมาถึงได้อยู่ในช่วงขาขึ้น”
“มึงพอจะมีเวลาซักสองชั่วโมงไหมละ”
“เดี๋ยวๆ มึงพอก่อนเลยนะ หยุดเลย อย่ามาชวนกูไปทำธุรกิจอะไรพวกนั้นนะ”
“ไม่ใช่เว้ย ที่ข้าถามเนี่ย เพราะว่ากูอยากรู้ว่าแกจะมีเวลาว่างฟังไหม”
“เออๆ ว่ามาดิ นึกว่าจะชวนไปทำงานซะอีก”
“กูอะได้ดีลไปติดต่อลูกค้ารายใหญ่มา แถมแฟนก็กำลังจะได้แต่งงานกันอีก เหลือแค่ไม่กี่วันเอง”
“เห้ย ก็ดีนี่หว่า กูเองก็ได้งานนึงมาเหมือนกัน ก็เลยว่าจะมาหาคนไปเป็นเพื่อนก็เลยว่าจะไปหามึงพอดี เลยมาเจอก่อนเนี่ย สนใจไปด้วยกันมะ”
“ที่ไหนวะ”
“ใกล้ๆนี่เอง นั่งรถไปไม่นานก็ถึงแล้ว 20 นาที
เองมั้ง”
“เออไปดิ จะได้ไปนั่งรำลึกความหลังด้วยกัน ไหนๆก็เจอกันทั้งที”
“แหม่ ไม่ได้แก่กันขนาดนั้นปะ”
ผมก็รีบจ่ายเงินค่ากาแฟ แล้วนั่งรถไปกับเพื่อนนั่งคุยกันไป ตามประสาเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน คุยกันได้ซักพักจู่ๆก็มีแมวตัวสีดำวิ่งตัดหน้ารถของพวกผมไป
“เห้ยยยยยย มึงระวัง ….”
หลบแมวได้ไม่ทันไร ก็มีรถวิ่งสวนมาทางฝั่งตรงกันข้าม เพื่อนผมมันตั้งตัวทันรีบหักหลบ ตัวรถปั่นหมุนจนต้องลงไปจอดข้างทางซักระยะ
“ไอ้บ้าเอ้ย มันจะรีบไปตายรึไงวะ ไม่เห็นรึไงเนี่ย รถคันเบ้อเร่อดันมองไม่เห็น”
“ใจหายเลยนึกว่าจะไม่รอดซะละ”
“เออนั่นดิ เอาละๆช่างมัน ใกล้ถึงละ ไม่นานหรอก”
หลังจากนั้น พวกเราก็เดินทางมาถึงสถานที่ที่นึงรูปร่างมันเหมือนกับบ้านคนรวยเป็นปราสาทหลังโตๆรายล้อมไปด้วยสวนขาดใหญ่หน้าทางเข้า
รถยนต์หลากหลายยี่ห้อจอดเรียงรายกันเป็นแถวตามทางยาวทอดไปจนถึงหน้าประตูทางเข้า ขนาดของปราสาทสูงราวกับตึก ห้าหกชั้นก็ไม่ปาน
ผมตกใจเหมือนกันเพิ่งจะเคยเห็นปราสาทของจริงก็คราวนี้แหละ เพื่อนผมมันบอกว่า มันได้รับให้เป็นคนเชิญใครก็ได้มาร่วมงาน ส่วนมันจะได้รับเชิญให้พูดดำเนินงานเหมือนจำพวกงานเลี้ยงนี่แหละ
พอเข้ามาในเขตปราสาท บรรยากาศก็อึมครึม ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังดีที่ว่ามากับเพื่อน เลยรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย ถ้าให้ผมเข้ามาที่นี่คนเดียวผมคงไม่กล้าหรอก ภายในตัวปราสาท ที่นี่ถูกตกแต่งเหมือนกับปราสาทในหนังสไตล์แวมไพร์ที่ผมเคยดูบ่อยๆตอนช่วงเรียนที่มหาลัย
มีโคมไฟรอบๆเพดานราวกับว่ามีหิ่งห้อยบินอยู่รอบๆผู้คน ตรงฝาหนังประดับไปด้วยหนังสัตว์หัวของสัตว์นานาชนิดแขวนเรียงรายไปทั่ว ที่ตรงกลางห้องโถงมีเวทีประดับไปด้วยดอกไม้นานาชนิดสวยงามมาก
ไม่นานนักผู้คนเริ่มค่อยๆทะยอยกันเข้ามาด้านในห้องโถง มีเจ้าหน้าที่น่าจะเป็นคนของเจ้าบ้านคอยให้บริการแขกที่เข้ามาในบ้าน
ผมสังเกตุเห็นว่า แต่ละคนไม่ได้มาคนเดียวจะมีเพื่อน หรือบางคนดูท่าทางเป็นคนรักกันมาด้วยกันเป็นคู่ๆ
สงสัยงานจะเป็นธีมที่ให้พาคนสนิทมาด้วยกันละมั้ง
ซักพักก็มีชายผิวคล้ำอายุน่าจะราวๆ สี่สิบห้าสิบ สวมชุดสูทหรูราวกับเจ้าชายในนิยายของหนังฝรั่งเดินลงมาจากบันไดด้านบนพร้อมกับหญิงสาวในชุดเมดเดินพร้อมเพรียงกันมาที่ตรงกลางห้องโถงใกล้ๆกับเวที
แขกทั้งหลายปรบมือต้อนรับเขาเป็นอย่างดีราวกับว่าเป็นคนรู้จักกันมานานแสนนาน ผมก็เลยตามน้ำเขาไปจะได้ไม่ดูแปลกในสายตาคนอื่น ไหนๆเขาก็ชวนมาทั้งทีละ จะให้ยืนเฉยๆก็กระไรอยู่
ผมเดาว่าคนคนนี้น่าจะเป็นเจ้าของบ้านที่เชิญแขกให้เข้ามาในงาน งานนี้ น่าแปลกนะเนี่ยที่มีคนมาร่วมงานเยอะมากขนาดนี้น่าจะราวหลายร้อยคนได้
ขนาดมีคนมากขนาดนี้กลับไม่ทำให้บ้านดูเล็กลงเลยซักนิดเดียว
หลังจากนั้น ชายคนนั้นก็ขึ้นไปยืนบนเวทีตรงกลางห้องโถง สายตารายล้อมรอบดูที่เขาพร้อมทั้งเงียบทั้งงานเพื่อรอให้เขาเอ่ยอะไรออกมาซักอย่าง
“สวัสดีครับ ทุกท่าน ผมว่าหลายๆคนคงจะทราบกันดีแล้วว่าผมเป็นใคร หรือหลายๆคนอาจจะยังไม่ทราบที่ว่าเป็นใคร แล้วเชิญท่าน กับเพื่อนท่านมาทำไม
แต่ไม่ต้องกลัวครับ เราแค่เชิญเพื่อนท่านกับท่านมาร่วมงานสังสรรค์รำลึกความหลังช่วงที่เป็นเพื่อนกัน คนรักกัน หรือคนที่สนิทสนมกัน อยากพูดคุยหรือเจอกันแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสทำแต่งานหรือยุ่งในภาระของตัวเอง
ผมเลยถือวิสาสะจัดงานนี้ซะเอง แล้วก็ให้เชิญคนสนิทมาเจอกันอีกครั้ง คนในห้องนี้แต่ละคนล้วนเป็นคนรักที่สนิทกันที่สุดเท่าที่ทุกคนจะนึกออกได้
ขอให้ทุกคนเชิญทำตัวกันตามสบายเหมือนกับเป็นบ้านของตัวเองนะครับ อีกซักครู่ผมจะให้คนของผมเชิญทุกคนไปทานอาหารที่ห้องอาหารด้านในครับ”
หลังจากนั้นก็มีชายใส่ชุดเหมือนกับเป็นพ่อบ้าน พาทุกคนเดินไปทางด้านหลังห้องโถง เส้นทางนั้นเป็นทางยาวตรงไปด้านหน้าไปเรื่อยๆเหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด รายทางเต็มไปด้วยหน้าต่างกับม่านสีแดงสดราวกับเลือด
“ยาวจังแฮะ” ผมบ่นกับตัวเองพร้อมทั้งหันไปมองเพื่อนสนิทของผม
“ใช่มะ ตอนแรกที่กูมาก็ตกใจเหมือนกันแหละไอ้นิว ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้”
“เออ แล้วไปรู้จักเขาได้ไงวะ ท่าทางมึงไม่น่าจะมีคนที่รู้จักแบบนี้นี่”
“ก็พอดี กำลังจะแย่ตกงาน แฟนทิ้งอีก แถมเจ้าหนี้ก็ยังจะมาทวง
จู่ๆเขาก็ติดต่อมาว่าให้มาหาเขาที่ปราสาทเนี่ยแหละ ในช่วงที่กำลังย่ำแย่สุดๆ เขาเลยมีข้อเสนอให้ทำงานกับเขาแล้วเขาจะช่วยเหลือทุกอย่าง หน้าที่การงานเงินทอง ถึงได้รอดมาได้ พร้อมทั้งจ่ายล่วงหน้าก่อนด้วยนะ”
“เออแปลกดีวะ” ผมอดคิดในใจไม่ได้ใครมันจะไปยอมทุ่นซะขนาดนั้น
หลังจากที่เราเดินคุยกันไปคุยกันมาราวๆ 15 นาทีได้ ก็มาถึงห้องอาหาร ที่นี่มันดูหรูหรามาก ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง มีอาหารมากมายวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ อาหารบนโต๊ะมีหลากหลายอย่างที่ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะได้กิน
โต๊ะถูกแยกแบ่งเป็นโต๊ะเรียงเป็นแถวเหมือนกับร้านอาหารในโรงแรมห้าดาวชั้นนำระดับโลกผ้าถูกปูด้วยลายลูกไม้สวยงาม
หลังจากนั้นเหล่าพ่อบ้านก็พาแขกแต่ละคนไปที่โต๊ะของแต่ละคน
“ผมได้เตรียมอาหารสำหรับทุกคนไว้ที่นี่ แล้วหลังจากทานเสร็จจะให้พ่อบ้านพาไปพักที่ห้องของแต่ละคน โดยห้องของพวกคุณจะอยู่ด้วยกันกับคู่ของคุณ แล้วช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ ผมจะให้คนเชิญมาร่วมงานกันในตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ขอให้ทุกคนมีความสุขกับอาหาร และพักผ่อนนะครับ”
“โห อะไรวะเนี่ยอาหารโคตรหรูเลย กินกันเว้ยนิว”
เพื่อนผมไม่รอช้า หยิบอาหารกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ผมเองก็กินไปคุยไปกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานได้รำลึกความหลัง รู้สึกโชคดีมากที่ได้มาเจอกันอีก
พาลอดคิดไม่ได้ ช่วงนี้รู้สึกโชคดีขึ้นเรื่อยๆ สงสัยเทพแห่งโชคลาภกำลังเข้าหา
หลังจากทานเสร็จก็มีพ่อบ้านพาไปที่ห้องพัก ซึ่งคราวนี้อยู่ไม่ไกลจากห้องรับประทานอาหารเท่าไรนักเรายังพอเดินกันไหว
เมื่อมาถึงห้องพักผมเองก็ต้องตกใจอีกครั้งกับสภาพของห้องที่ใหญ่โตมากเหมือนกับคอนโดขนาดย่อมๆในปราสาทหลังใหญ่อีกทีนึง ภายในห้องมีโซฟา เครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี พร้อมคอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ และห้องนอนแยกไปอีกสองห้อง
ทั้งหมดนั้น พ่อบัานบอกให้พวกเราใช้ได้ฟรี แถมตู้เย็นก็มีอาหารเตรียมไว้ครบครันมากจนผมเริ่มอยากรู้จริงๆว่าเจ้าของบ้านเขาทำงานอะไรทำไมรวยอย่างนี้
แต่ด้วยความเหนื่อยล้ามาทั้งวัน ไหนจะผู้คนที่แออัดนับร้อย ผมกับเพื่อนไม่ทันจะได้คุยกัน จัดแจงธุระส่วนตัวกันเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนหลับสบายด้วยเตียงที่ขนาดใหญ่นุ่มราวกับนอนบนก้อนเมฆก็ไม่ปาน
ก๊อกๆ..
ก๊อกๆๆๆ…
เสียงประตูห้องถูกเคาะ ผมที่กำลังง่วงจากการนอนอย่างยาวนานก็เหลือบไปดูนาฬิกา เอเวลาเท่าไรกันนะ โหนี่มันยังตี 5 อยู่เลยนะเนี่ย ใครมาเคาะประตูแต่เช้ากันละเนี่ย
“ท่านครับ ได้เวลาแล้วครับ อีกไม่นานงานจะเริ่มแล้วครับ ท่านเจ้าบ้านให้มาเชิญท่านให้ไปพบที่ห้องโถงภายใน 20 นาทีครับ”
สิ้นสุดเสียงผมก็พยายามลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะออกไปที่ห้องโถงเพราะไหนๆเขาก็อุตส่าเลี้ยงเราแล้วจะไม่ไปตามการรับเชิญก็กะไรอยู่
พอก็เดินออกมาด้านนอกห้องนอนของผม ผมก็ตรงไปดูว่าเพื่อนของผมออกไปรึยังจะได้เดินไปด้วยกัน ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่อยู่สงสัยคงออกไปตั้งนานแล้วละ
ผมรีบเดินมายังห้องโถงกลัวว่าจะสาย ผู้คนออกมาเยอะพอสมควรแล้ว บางคนก็ยังดูง่วง บางคนก็ดูราวกับไม่ได้นอน หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของบ้านก็มาถึง
“ผมอยากให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้ไว้นะครับ ว่าที่นี่มันไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปราสาทอย่างที่ทุกคนเห็น จริงๆแล้วมันคือนรกนั่นเอง ฮ่าๆ”
ผมหัวเราะเบาๆเจ้าของบ้านจะเล่นมุขอะไรเนี่ย นรกอะไรมันจะดีปานนี้
ซักพักไม่นานหลังจากสิ้นเสียงของเจ้าของบ้าน
เพื่อนของผมแล้วก็คู่ของคนอื่นๆก็ค่อยๆเดินเข้ามาหาคู่ของแต่ละคนอย่างช้าๆ
ผมเพิ่งสังเกตุเห็นในมือขวาของเพื่อนผม มันมีเลื่อยไฟฟ้าอยู่ด้วย ผมก็สงสัยว่ามันเอามาทำไม ซักพักก็ได้ยินเสียงจากคนข้างๆ
“โอ๊ยยยยยยยย…………. อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ช่วยด้วยยยยยย”
ผมถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียวคู่ของคนข้างๆใช้เลื่อยตัดขาไปที่คู่ของตนเองใบหน้าของเขามีเบือดไหลออกจากตา พร้อมทั้งกรีดร้องด้วยควาทเจ็บปวด
ผมเองก็หันมาทางเพื่อนผม ใบหน้าโกรธแค้นราวกับว่าผมไปฆ่าคนในครอบครัวของมันตายอย่างนั้นแหละ ผมตกใจมาก ผมพยายามจะวิ่งหนีไปจากมันให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งตะโกนบอกมัน
“เห้ย มึงจะบ้าหรอ กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย”
ขาของผมมันก้าวไม่ออก พยายามจะวิ่งแล้วด้วยความที่กลัวจนตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก ไม่นานมันก็วิ่งมาถึงตัวผม ใช้เลื่อยตัดไปที่ขาข้างซ้ายของผม ผมร้องตะโกนลั่น
“โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย……………….”
“เห้ยมึงเป็นอะไรวะ ร้องลั่นอะไรวะไอ้นิว….”
ผมมองไปที่ขาของตัวเองรู้สึกโล่งอกมาก นี่มันเป็นเพียงแค่ฝันใช่ไหมเนี่ย เหงื่อไหลท่วมตัว
"ไม่มีอะไรแค่ฝันร้ายเท่านั้นเอง"
ซักพักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
ก๊อกๆๆๆๆ
ผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี
“ท่านครับ ได้เวลาแล้วครับ อีกไม่นานงานจะเริ่มแล้วครับ ท่านเจ้าบ้านให้มาเชิญท่านให้ไปพบที่ห้องโถงภายใน 20 นาทีครับ”
ผมเริ่มรู้สึกแย่ที่ได้ยินประโยคนั้นอีกครั้ง ได้แต่คิดว่านั่นมันฝันนะเว้ยจะเป็นจริงได้ไง
ผมค่อยๆลุกไปอาบน้ำแต่งตัว พยายามจะไม่คิดอะไร เสร็จแล้วจึงออกไปกับเพื่อนที่ห้องโถง
พอมาถึงห้องโถงภาพความทรงจำเดิมเหมือนกับในฝันของผมมันย้อนกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้มันต่างกันตรงที่คราวนี้ผมมากับเพื่อนผมไม่ได้มาคนเดียว
“ผมอยากให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่รู้ไว้นะครับ คุณมีเวลาอธิบายความรู้สึกของพวกคุณ ให้คนสนิทของพวกคุณฟังความรู้สึกของคุณออกมาว่ารู้สึกกับอีกฝ่ายอย่างไร”
1
หลังจากนั้นพอสิ้นประโยคผมก็ถอนหายใจโล่งอกที่มันไม่ได้เป็นไปตามอย่างที่ผมฝัน
“เห้ยนิว เราก็รู้จักกันมานานมากละกูอยากจะบอกมึงนานละกูพยายามหาโอกาบอกมึงมาตลอด จริงๆแล้วกูไม่ได้ชอบมึงเลย แล้วที่นี่เขาก็ไม่ได้ให้พาคนที่สนิทมาด้วย เขาให้พาคนที่เกลียดมากที่สุดในชีวิตมา”
“ตลกอะไรวะ มึงกับกูสนิทกันไม่ใช่หรอวะ แล้วทำไมมึงถึงต้องมาเกลียดกูด้วยเนี่ย กูไม่เข้าใจ”
“มึงลืมไปแล้วหรอไอ้นิว มึงจำไม่ได้หรอ แฟนมึงนั่นแหละคนที่มึงจะแต่งงานด้วย เธอคนนั้นก็เป็นแฟนเก่าของกูที่มึงแย่งไป งานที่กูควรจะได้ มึงก็เป็นคนพรากมันไป แล้วหลายๆอย่างในชีวิตกูมึงก็พรากไป ตอนเด็กๆมึงเคยแกล้งกู ทำร้ายกูสารพัด ทำให้กูต้องอับอาย คนรอบตัวกูหัวเราะเยาะ แล้วมึงเองนั่นแหละที่เป็นคนทำให้กูตาย”
“มึงจะบ้าหรอ มึงอยู่หน้ากูมึงจะตายได้ไง ตลกอะไรอีกละเนี่ยมึงอะ”
“มึงจำไม่ได้หรอ วันที่เริ่มเข้าทำงานที่เดียวกับมึงหนะ มึงพากูไปฉลองแล้วหลอกให้กูตายใจว่ากูสนิทกับมึง มึงเนี่ยแหละที่เป็นคนผลักกูตกฟุตบาท แล้วถูกรถทับ มึงจำได้ไหม”
หลังจากพูดไม่นานเพื่อนผมหัวเริ่มหลุด แขนขาแยกส่วนลอยแคว้งคว้างกลางอากาศ
ผมเองเริ่มรู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นมือและปากของผมสั่นเทาไปด้วยความกลัว
ที่มือของมันค่อยๆมีเลื่อยยื่นออกมาจากรอบๆมือ และรอบๆปขนของมัน คราวนี้มันไม่ใช่เลื่อยไฟฟ้า แต่กลับเป็นเลื่อยประหลาดๆที่คมมีดหักงอ
ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตาของมันกลายเป็นสีดำมีเลือดไหลออกมาจากตา
มันรีบคว้าแขนออกมาจับ ใบเลื่อย เลื่อยไปที่ร่างกายของผมอย่างช้าๆ ผมไม่สามารถขยับตัวได้เพราะที่เท้าของผมถูกน้ำจากน้ำตาสีดำของคนทั้งห้องท่วมไปทั้งขาของผม
ผมได้แต่กรี๊ดร้องในลำคอเบาๆ
“มึงอย่าทำกูนะเว้ย โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย อั๊กๆๆๆ..”
ผมถูกบีบคอใบมีดปั่นไปตรงบริเวณลำคอ น้ำตาไหลเจิ่งนองทำตัวไม่ถูกฉี่ราดไปทั่วพื้น
หลังจากนั้นไม่นานความทรงจำของผมก็ค่อยๆเริ่มกลับมา ผมจำเรื่องราวทั้งหมดได้ดี
ผมนี่แหละที่เป็นคนฆ่ามันเอง เพียงแต่ว่าอารมณ์ชั่ววูบในขณะนั้นของผมที่ผมอิจฉามัน เงินเดือนที่มากกว่า แฟนที่สวยกว่า และอีกหลายๆอย่างที่ผมอิจฉา
ผมไม่คิดว่าเหตุการณ์มันจะพามาถึงจุดนี้ได้ ผมได้แต่คิดในใจว่านี่สินะความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่กำลังจะตายจริงๆผมทรมาณมาก พยายามดิ้นแต่ก็ไม่หลุด
หลังจากนั้นไม่นานสติของผมก็เริ่มค่อยๆเลือนลาง…
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างๆ ผมยังไม่ตายนี่นา เรื่องทั้งหมดเป็นแค่ความฝันงั้นหรอเนี่ย
ในขณะที่ผมกำลังดีใจและนั่งจิบกาแฟสบายๆนั่นเอง
“เฮ้ย นิว นิวใช่เปล่าวะ นั่งเหม่ออะไรวะเนี่ย”
ผมถึงกับหน้าซีดเผือกที่ได้ยินประโยคนั้นอีกครั้ง
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย