18 ก.พ. 2021 เวลา 12:37 • ประวัติศาสตร์
ชาวเติร์กในราชสำนักอยุทธยา
ชาวเติร์ก (Turks) หรือชาวตุรกี เดินทางเข้ามาทำการค้าขายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลานานแล้ว เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 จึงปรากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษรของชาวเติร์กจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ที่กล่าวถึงกรุงศรีอยุทธยาอย่างชัดเจน
ภาพประกอบ : ขบวนเสด็จของสุลต่านออสมันที่ 2 (Osman II) แห่งออตโตมัน มีกองทหารเจนิสซารีย์ (Janissary) สวมหมวกทรงสูงประจำอยู่ใกล้ม้าพระที่นั่ง ภาพเขียนเมื่อประมาณ ค.ศ. 1620-22
บันทึกของออกพระวิสุทสุนธร (ปาน) ที่เขียนใน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686) เรียกชาวเติร์กว่า “อ่รุม” สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า อัร-รูม (الرُّومُ ar-Rūm) ในภาษาอาหรับ รากศัพท์มาจากภาษาเปอร์เซียและภาษาเติร์กคือ “รูม (روم Rûm)” หรือเอกพจน์ “รูมี” (رومی Rûmi) ซึ่งเป็นคำที่มุสลิมใช้เรียกชาวโรมัน เนื่องจากชาวเติร์กแห่งออตโตมันสามารถครอบครองดินแดนของจักรวรรดิโรมันตะวันออกได้สำเร็จ รวมถึงย้ายศูนย์กลางการปกครองไปอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ซึ่งเป็นราชธานีของโรมันตะวันออก เป็นเหตุให้ชาวเติร์กถูกเรียกว่า “รูม” เหมือนชาวโรมันด้วย
ด้วยความที่กรุงศรีอยุทธยาเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติที่มีชาวต่างประเทศอาศัยอยู่จำนวนมาก ชาวต่างประเทศจึงถูกดึงมารับราชการในราชสำนัก มีหน่วยงานที่เกี่ยวกับการต่างประเทศที่สำคัญในสังกัดกรมพระคลัง เช่น กรมท่าซ้ายที่ดูแลการค้าขายฝั่งตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น และกรมท่าขวาที่ดูแลการค้ากับชาติตะวันตกคือฝรั่งชาวยุโรป และแขกเทศจากอินเดีย เปอร์เซีย ออตโตมัน ฯลฯ
ในยามศึกสงคราม ราชสำนักได้เกณฑ์หรือว่าจ้างชาวต่างประเทศไว้ในกองทัพจำนวนมาก มีการจัดตั้งหน่วยงานทหารอาสาต่างประเทศหลายชาติ โดยพบในพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองว่ามีกรมทหารอาสาชาวต่างประเทศเกือบครึ่งหนึ่งของกรมฝ่ายทหารทั้งหมด ได้แก่ กรมเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง กรมฝรั่งแม่นปืน ที่เป็นหน่วยงานของชาวยุโรปหรือถูกควบคุมโดยครูทหารชาวยุโรป กรมอาสามอญที่เป็นหน่วยงานขนาดใหญ่เนื่องจากชาวมอญเป็นหนึ่งในประชากรหลักของสยาม กรมอาสาจามที่ประกอบด้วยชาวจาม ชาวมลายู ชนชาติจากหมู่เกาะอินโดนีเซีย กรมอาสาญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังพบหลักฐานกล่าวถึงทหารอาสาชนชาติอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกจัดตั้งเป็นกรม เช่น จีน ฮ่อ ลาว อินเดีย เปอร์เซีย รวมถึงชาวเติร์กด้วย
แม้ว่าชาวเติร์กอาจไม่ได้ถูกกล่าวถึงในประวัติศาสตร์อยุทธยามากเท่ากับชนชาติอื่น แต่ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 พบว่าชาวเติร์กเป็นหนึ่งในทหารรับจ้างต่างประเทศที่มีความโดดเด่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้มาเป็นทหารรับจ้างในหลายอาณาจักรรวมถึงสยามด้วย
ภาพการล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิลจากการรุกรานของชาวเติร์ก
จดหมายเหตุ Peregrinação ของ ฟือร์เนา เม็งดึซ ปิงตู (Fernão Mendes Pinto) นักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เดินทางเข้ามาในสยามระหว่างรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราชถึงสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กล่าวถึงชาวเติร์กชื่อ เฮย์เรดดิน เมห์เหม็ด (Heredim Mafamede) ซึ่งเดินทางมาจากสุเอซ (Suez) พร้อมกับ สุลัยมาน ปาร์ชา (Hadım Suleiman Pasha) อุปราชแห่งไคโรที่ยกกองทัพเรือไปโจมตีอินเดียใน พ.ศ. 2081 (ค.ศ. 1538) ตามรับสั่งของสุลต่านสุลัยมานที่ 1 (Suleiman I) แห่งจักรวรรดิออตโตมัน แต่เรือของเขาพลัดหลงจากกองเรือหลักจนมาเทียบท่าที่เมืองตะนาวศรี เขาได้รับราชการกับสมเด็จพระไชยราชาธิราช มีตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ประจำการที่ชายแดนหัวเมืองลาว ได้รับเบี้ยหวัดปีละ 12,000 ครูซาดู (cruzados)
เฮย์เรดดิน เมห์เหม็ด มีกองทหารเจนิสซารีย์ (Janissary) อยู่ใต้บังคับบัญชา ในภาษาตุรกีเรียกว่า “เยนีเชรี” (يڭيچرى‎ yeñiçeri) แปลตรงตัวว่า “ทหารใหม่” ดั้งเดิมเป็นเชลยหรือทาสชาวคริสต์ที่ชาวเติร์กนำมาฝึกเป็นทหาร ต่อมาราชสำนักออตโตมันเปลี่ยนมาใช้ระบบ “เดวซีร์เม” (دوشيرمه‎ devşirme) หรือ “ภาษีเลือด” (blood tax) บังคับให้ชาวคริสต์ในดินแดนใต้ปกครองส่งเด็กชายในครอบครัวมาถวาย เด็กชายเหล่านี้ต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนเพื่อรับการอบรมความรู้วิชาการและการทหาร ภาษาและวัฒนธรรมของเติร์ก เมื่อผ่านการฝึกฝนแล้วจะถูกส่งไปเป็นทหารของสุลต่าน บางคนอาจได้เป็นราชองครักษ์
เยรีเชรีมีสถานะเป็นทาสของสุลต่าน ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบหลายประการ เช่น ห้ามแต่งงาน ห้ามถือครองทรัพย์สินส่วนตัว ห้ามประกอบอาชีพอื่น ต้องประจำอยู่ในค่ายทหารทั้งยามศึกและยามสงบ ต้องอุทิศชีวิตเพื่อสุลต่านและทำหน้าที่ทหารเท่านั้น แต่ได้รับค่าจ้างประจำในอัตราที่สูงกว่าทหารทั่วไป และมีโอกาสสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานสูง
เยนีเชรีเป็นทหารอาชีพที่มีระเบียบวินัยและมีความสามารถทางการรบสูง สามารถใช้อาวุธหลายประเภทโดยเฉพาะอาวุธปืน จึงเป็นขุมกำลังสำคัญในการทำสงครามขยายอำนาจของออตโตมันหลายครั้ง
ด้วยความเข้มแข็งของเยนีเชรี ทำให้ในเวลาต่อมาเยนีชารีสามารถเข้าไปมีอิทธิพลทางการเมืองในราชสำนักออตโตมัน สามารถหลุดพ้นจากกฎระเบียบดั้งเดิม นอกจากนี้ยังมีมุสลิมเข้ามาเป็นเยเนีเชรี เพราะมุสลิมก็ต้องการอาศัยสถานะเยนีเชรีแสดงหาความก้าวหน้าให้ตนเอง จนในที่สุดระบบ “เดวซีร์เม” ได้ถูกยกเลิกไปในคริสต์ศตวรรษที่ 18
ทหารเจนิสซารีย์ (Janissary)
ปิงตูบันทึกว่า เมื่อเกิดเหตุเรือโจรสลัดโปรตุเกสปล้นสะดมบริเวณชายฝั่งทะเลส่งผลกระทบต่อการค้าในท่าของสยามคือตะนาวศรี ถลาง มะริด ทวาย สมเด็จพระไชยราชาทรงเห็นว่า เฮย์เรดดิน เมห์เหม็ด เป็นผู้มีฝีมือไร้เทียมทานเพราะเป็นชาวเติร์ก ทำให้ทรงไว้วางพระทัยเขายิ่งกว่าคนของพระองค์ พระองค์จึงมีรับสั่งเรียกเขากับทหารเยนีเชรีในบังคับบัญชา 300 นายกลับจากชายแดน พระราชทานเงินจำนวนมากและทรงแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพชายฝั่งทะเล ให้มีอำนาจเป็นสิทธิ์ขาดเหนือออกญาทั้งหมด (น่าจะเกินจริง) เพื่อราษฎรจากการถูกปล้นสะดม นอกจากนี้ยังทรงสัญญาว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นออกญาหรือดยุกแห่ง Banchaa ที่เป็นดินแดนสำคัญ หากเขาสามารถตัดหัวกัปตันโปรตุเกส 4 คนมาถวายได้
เฮย์เรดดิน เมห์เหม็ด ทระนงตัวมากขึ้นจากยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขาได้รับ เขาถวายคำมั่นต่อสมเด็จพระไชยราชาว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จ แล้วจึงเดินทางไปเมืองตะนาวศรีเพื่อจัดเตรียมกองเรือเพื่อรบกับโปรตุเกส มีเรือ 10 ลำ ทหารมัวร์ (เป็นคำเรียกมุสลิมจากตะวันตกอย่างรวมๆ) 800 คน ทหารเยนีเชรี 300 นาย รวมถึงไพร่พลชาวเติร์ก กรีก มะละบาร์ อาเจะห์ โมกุล ในคราวเดียวกันเขายังได้รับการว่าจ้างจากนายเรือชาวคุชราฏให้คุ้มกันเรือสินค้าอีก 5 ลำซึ่งได้ติดตามไปด้วย แต่เนื่องจากเขากระจายกองเรือไปตามเกาะต่างๆ พวกโปรตุเกสจึงฉวยโอกาสบุกขึ้นเรือกลางดึก ทำให้ เฮย์เรดดิน เมห์เหม็ด ไพร่พลแทบทั้งหมดถูกสังหารในวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2087 (ค.ศ. 1544)
ปิงตูยังกล่าวถึงชาวเติร์กสงครามตีเมืองเชียงใหม่ของสมเด็จพระไชยราชาใน พ.ศ. 2088 (ค.ศ. 1545) ว่าเมื่อกองทัพอยุทธยายกมาถึงหุบเขา Siputay จึงมีการจัดกระบวนทัพโดยนายค่าย 3 คน ประกอบด้วยชาวเติร์ก 2 คน และ โดมิงกูส ดึ เซยชาส (Domingos de Seixas) ทหารรับจ้างชาวโปรตุเกสที่อยู่ในสยามมาเป็นเวลานาน เป็นทัพหน้ายกไปตีเมือง Quitiruão (เชียงตราน/เชียงกราน?) ที่ข้าศึกตั้งอยู่
อาณาจักรใกล้เคียงกรุงศรีอยุทธยาก็มีทหารรับจ้างชาวเติร์ก ปิงตูระบุว่ากองทัพของสุลต่านอาเจะห์ที่ยกมาตีเมืองตะนาวศรีมีแม่ทัพชาวเติร์กซึ่งเป็นหลานชายของอุปราชแห่งไคโร ส่วนกองทัพของพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ (တပင်ရွှေထီး) ที่ยกมาตีกรุงศรีอยุทธยาใน พ.ศ. 2091 (ค.ศ. 1548) ก็มีชาวต่างชาติอยู่จำนวนมากทั้งชาวเติร์ก อะบิสซิเนีย มัวร์ มะละบาร์ อาเจะห์ ชวา มลายู ในศึกนั้นทหารชาวเติร์กต้องการสร้างความดีความชอบอาสาเป็นทัพหน้าบุกเข้าตีกรุงศรีอยุทธยา จึงจัดกองทหาร 1,200 คน ที่มีชาวอะบิสซิเนียและทหารเยรีเชนีรวมอยู่ด้วย พาดบันไดปีนขึ้นกำแพงอย่างกล้าหาญเพื่อเปิดประตูเมืองให้กองทัพหงสาวดี เพราะพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ทรงสัญญาว่าจะปูนบำเหน็จทองคำ 1,000 บิสส์ (bisses) แก่ผู้ที่สามารถเปิดประตูเมืองให้พระองค์ได้ แต่สุดท้ายทหารชาวเติร์กเหล่านี้ก็ถูกทหารชวาฝ่ายอยุทธยา 3,000 โจมตีอย่างบ้าคลั่งจนล้มตายแทบทั้งหมดภายในเวลาไม่นาน
จดหมายเหตุของ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias Van Vliet) ที่เขียนในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ระบุว่ากองทัพหงสาวดีของพระมหาอุปราชาที่ยกมาตีกรุงศรีอยุทธยาในสงครามยุทธหัตถี ส่วนหนึ่งประกอบด้วยชาวโปรตุเกส ชาวมัวร์ และชาวเติร์กที่อาศัยอยู่ในหงสาวดีเช่นเดียวกัน
เชื่อว่ามีชาวเติร์กอาศัยอยู่ในชุมชนมุสลิมของกรุงศรีอยุทธยา ดังปรากฏในจดหมายของปิงตูลงวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2097 (ค.ศ. 1554) รายงานว่าเฉพาะในกรุงศรีอยุทธยามีมัสยิดที่มีอิหม่ามชาวเติร์กและชาวอาหรับทั้งหมด 7 แห่ง และมีประชากรมุสลิมมากถึง 30,000 คน (จำนวนอาจมากเกินจริง)
ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์พบหลักฐานว่าเจ้าเมืองบางกอกเป็นชาวเติร์ก
รายงานของ อ็องเดร บูโร-เดส์ล็องส์ (André Boureau-Deslandes) ทูตของบริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศสที่มาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยามใน พ.ศ. 2223 (ค.ศ. 1680) ระบุว่า เมื่อเรือ เลอ โวตูร์ (Le Vautour) ของฝรั่งเศสมาถึงสันดอนสยาม ทางการมีคำสั่งให้เจ้าเมืองบางกอกชาวเติร์กยิงสลุตต้อนรับ
เนื่องจากในเวลานั้นสยามยังไม่มีธงของตนเอง เรือของสยามจึงนิยมชักธงของดัตช์เพราะเป็นที่รู้จักว่าเป็นธงของเรือค้าขาย เจ้าเมืองชาวเติร์กจึงชักธงดัตช์ขึ้นต้อนรับฝรั่งเศส แต่กัปตันเรือฝรั่งเศสขอให้เอาธงดัตช์ลงแล้วเปลี่ยนเป็นธงอื่น (เพราะดัตช์เป็นศัตรูกับฝรั่งเศส) เจ้าเมืองชาวเติร์กจึงชักธงสีแดงขึ้น (ภายหลังจึงปรากฏว่าธงสีแดงได้กลายเป็นธงประจำเรือสินค้าของสยาม)
ชาวเติร์กผู้นี้ยังคงเป็นเจ้าเมืองบางกอกอยู่เมื่อคณะทูตฝรั่งเศสของ เชอวาลิเยร์ เดอ โชมงต์ (Alexandre, Chevalier de Chaumont) เดินทางเข้ามาในสยามเมื่อ พ.ศ. 2228 (ค.ศ. 1685)
จดหมายเหตุสำเภากษัตริย์สุลัยมานของอาลักษณ์คณะทูตเปอร์เซียที่เดินทางเข้ามาสยามใน พ.ศ. 2228 กล่าวถึงเจ้าเมืองซูฮาน (พิจารณาจากเนื้อหาแล้วเข้าใจว่าคือบางกอก) ที่ถูกเรียกขานว่า “เชเลบี” (چلبى Çelebi) ซึ่งเป็นคำประกอบชื่อของชาวออตโตมัน และระบุว่าเป็น “คนจากหมู่ประชาชนแห่งรูม” ที่มาอาศัยในสยาม เพิ่งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ได้ไม่นาน เข้าใจว่าเดิมนับถือนิกายซุนนีเหมือนชาวเติร์กส่วนใหญ่
การเข้ามาของคณะทูตฝรั่งเศสทำให้เจ้าเมืองชาวเติร์กพ้นจากตำแหน่ง เพราะสมเด็จพระนารายณ์ทรงแต่งตั้งนายทหารฝรั่งเศสคือ เชอวาลิเยร์ เดอ ฟอร์แบ็ง (Claude, Chevalier de Forbin) เป็นเจ้าเมืองบางกอกแทนในบรรดาศักดิ์ออกพระศักดิสงคราม เจ้าเมืองคนถัดมาก็เป็นชาวฝรั่งเศสคือ เชอวาลิเยร์ เดอ โบเรอการด์ (Chevalier de Beauregard) ขึ้นมาดำรงตำแหน่งแทนใน พ.ศ. 2230 (ค.ศ. 1687) ก่อนจะถูกย้ายไปเป็นเจ้าเมืองมะริด
โคลด์ เซเบเรต์ (Claude Céberet du Boullay) ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาในสยามเมื่อ พ.ศ. 2230 ระบุว่าเจ้าเมืองบางกอกชาวเติร์กถูกย้ายลงมาเป็นเจ้าเมืองเพชรบุรี เป็นผู้ต้อนรับเซเบเรต์ระหว่างทางที่เซเบเรต์จะเดินทางไปเมืองมะริด และให้ประวัติเพิ่มเติมว่าชาวเติร์กผู้นี้มาจากเมืองบูร์ซา (Brousse คือเมือง Bursa ในประเทศตุรกี)
หลักฐานที่กล่าวถึงชาวเติร์กในสยามที่ค้นพบในปัจจุบันยังไม่มีให้ศึกษามากเมื่อเทียบกับชาติอื่น คงต้องรอให้มีการค้นพบหลักฐานใหม่ๆ เพื่อจะได้เห็นบทบาทของชาวเติร์กในสยามที่ชัดเจนขึ้น
บรรณานุกรม
ภาษาไทย
- เดอ บูเล, โคลด์ เซเบเรต์ (2560). จดหมายเหตุมองซิเออร์เซเบเรต์. นนทบุรี: ศรีปัญญา.
- ตาชารด์, บาทหลวง. (2551). จดหมายเหตุการเดินทางสู่ประเทศสยามครั้งที่ 1 และ จดหมายเหตุการเดินทางครั้งที่ 2 (สันต์ ท. โกมลบุตร, ผู้แปล). นนทบุรี: ศรีปัญญา.
- ปรีดี พิศภูมิวิถี. (2555). ประชุมจดหมายเหตุออกพระวิสุทสุนทร (โกษาปาน). กรุงเทพฯ: สถาบันการเรียนรู้แห่งชาติ.
- ประชุมพงศาวดารที่ 32 เรื่องจดหมายเหตุของคณะบาทหลวงฝรั่งเศสซึ่งเข้ามาตั้งครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาค 1. (2467). พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
- ศูนย์วัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านแห่งประเทศไทย. (2546). ความสัมพันธ์อิหร่าน–ไทยทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: ศูนย์วัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน.
- สถาบันปรีดี พนมยงค์. (2548). กฎหมายตรา 3 ดวง ฉบับพิมพ์มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง แก้ไขปรับปรุงใหม่ เล่ม 1. กรุงเทพฯ: สุขภาพใจ.
.
ภาษาต่างประเทศ
- Ágoston, G. (2014, March). “Firearms and Military Adaptation: The Ottomans and the European Military Revolution, 1450–1800”. Journal of World History. 25(1), 85-124.
- Baker, C., Dhiravat na Pombejra, Kraan, A. van der and Wyatt, D. K. (Eds). (2005). Van Vliet's Siam. Chiang Mai: Silkworm Books.
- Kafadar, C. (2007, January). "A Rome of One's Own: Cultural Geography and Identity in the Lands of Rum". Muqarnas. 24(1), 7-25.
- Peacock, A.C.S. (2017). The Ottomans and Siam, c. 1500-1800. In Kadi, I. H., The Ottoman Empire and The Kingdom of Siam Through The Ages (pp.1-26). Bangkok: Institute Of Asian Studies.
- Pinto, F.M. (1725). Peregrinação de Fernão Mendes Pinto. Lisboa: Ferreyriana
- Pinto, F.M. (1891). The Voyages and Adventures of Ferdinand Mendez Pinto, the Portuguese (H. Cogan, Trans.). London: T.F. Unwin
- Thomas, A. (n.d.). The Janissaries. Retrieved from http://www.pages.drexel.edu/.../documents/his424paper.pdf
- Veinstein, G. (2013). On the Ottoman janissaries (fourteenth-nineteenth centuries). In Zürcher, E.,(Ed.) Fighting for a Living A Comparative History of Military Labour 1500-2000. Amsterdam: Amsterdam University Press.
- Villier, J. (1998). Protuguese and Spanish Source for the History of Ayutthaya in the Sixteenth Century. Journal of Siam Soicety. 86(1&2), 119-130.
หมายเหตุ : บทความทั้งหมดเรียบเรียงโดยผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ ผู้ดูแลเพจขอสงวนสิทธิไม่อนุญาตให้นำข้อมูลที่เผยแพร่ในเพจไปแก้ไข คัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อ และห้ามนำไปแสวงหาผลกำไรทางพาณิชย์โดยเด็ดขาด หากมีความประสงค์จะขอบทความของเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามต้องได้รับการยินยอมจากผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ในทุกกรณี ยกเว้นแต่การแชร์ที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
โฆษณา