หนึ่งในคดีสะเทือนขวัญและโด่งดัง ในฤดูร้อน ของประเทศ ยูเครน เมืองเดนีปรอ ในปี 2007 ที่เหล่าคนร้ายจับ ชายคนหนึ่งมาทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต และถ่ายเป็นหนังสือ Snuff film เผยแพร่ในโลกโซเชี่ยลจนเป็นไวรัลไปช่วงหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้น มีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายกว่า 21 ราย ที่ถูกฆาตกรใจโฉดฆาตกรรมอย่างเลือดเย็นอีกด้วย
เมืองเดนีปรอนั้นถือเป็นเมือง อุตสาหกรรม รวมไปถึงเมืองที่รวมสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศยูเครน ประชาชนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเรียบง่าย จนกระทั่งเกิดเรื่องราวสะเทือนขวัญขึ้น เมืองนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
โดยย้อนไปในคืนที่ 25 มิถุนายน 2007 เริ่มต้นด้วยเหยื่อ ที่มีชื่อว่า เยคาเทอรี่น่า อีเชนโก้ (อายุ 33) เธอเป็นอาจารย์ที่สอนในมหา’ลัยในเมืองเดนีปร่าแห่งนี้ และในคืนนั้นเอง คืนที่เธอได้จัดปาร์ตี้เล็กๆ ภายในบ้าน โดยมีเพื่อนที่อยู่ในระแวกใกล้เคียงมาร่วมด้วย จนกระทั่งจบปาร์ตี้ เยคาเทอรี่น่า เธอได้อาสาเดินไปส่งเพื่อนในคืนวันนั้น โดยเธอบอกแม่ของเธอเอาไว้ จากนั้นเธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
จนกระทั่งเช้าวันถัดมา ในช่วงเวลาตี 4 ที่แม่ของ เยคาเทอรี่น่า สังเกตเห็นความผิดปกติ เพราะลูกสาวของเธอไม่กลับมาที่บ้าน นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น หรือว่าลูกสาวของเธอจะค้างบ้านเพื่อนหรือเปล่า แม่ของ เยคาเทอรี่น่า จึงตัดสินใจไปหาเยคาเทอรี่น่าที่บ้านเพื่อน ซึ่งเป็นบ้านเพื่อนในระแวกใกล้เคียงที่ เยคาเทอรี่น่า อาสาเดินไปส่งเมื่อคืนนั่นเอง
แต่ในขณะที่เธอกำลังเดินไปอยู่นั้นเอง ก็สังเกตเห็นผู้หญิงสามคนที่ยืนมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ เธอจึงเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสงสัย และก็พบว่านั่นคือ ศพของลูกสาวเธอ เยคาเทอรี่นา อีเชนโก้ นอนเสียชีวิตอยู่ โดยใบหน้า ศีรษะของเธอมีรอยแผลฉกรรจ์ที่เกิดจากการถูกทุบด้วยของแข็งใบหน้าจำแทบไม่ได้ โดยทางตำรวจสันนิษฐานว่าอาวุธที่นำมาใช้ทำร้ายเธอนั้น น่าจะเป็น ค้อน หรือไม่ก็ท่อเหล็ก
และนี่คือเหยื่อรายแรกของเมืองเดรีปรอ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้
ห่างจากเหยื่อรายแรกเพียงหนึ่งวัน ในเช้าวันที่ 26 มิถุนายน 2007 มีคนพบอีกหนึ่งศพ ที่ม้านั่งในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเมืองเดนีปรอ โดยระยะห่างจากการพบศพแรกและศพที่สองมีความห่างกันไม่มากนัก ระยะทางเกือบ 100 เมตรเท่านั้นเอง โดยศพที่สองนั้น ถูกพบว่ามีรอยแผลถูกของแข็งทุบเหมือนกับเหยื่อรายแรกไม่มีผิด ใบหน้าและศีรษะถูกทุบจนมองแทบไม่ออกว่าใบหน้าก่อนหน้านี้นั้นเป็นอย่างไร
โดยศพที่สองนั้นชื่อว่า โรมัน ทาโทวิช เขาเป็นชายไร้บ้าน อาศัยนอนอยู่ ณ สวนสาธารณะแห่งนั้น โดยระบุตัวตนได้จากชายไร้บ้านอีกคนที่จดจำชุดเสื้อผ้า และที่นอนประจำของ โรมัน ได้
ต่อมาก็มีเหยื่อรายที่สาม เป็นชายอายุ 58 ปี มีชื่อว่า วิคเตอร์ เพอเซฟ ทว่าเหยื่อรายนี้นั้นโชคดี เพราะในจังหวะที่เขาเดินอยู่และคนร้ายเข้ามาทุบจากด้านหลังนั้น มีหญิงที่เป็นเจ้าของร้านซาลอนบริเวณใกล้ๆ มาเห็นและออกมาหน้าร้านและตะโกนใส่คนร้าย นั่นจึงทำให้วิตเตอร์รอดจากการถูกทำร้ายครั้งนี้
แต่น่าเสียดายที่ทั้งวิคเตอร์และหญิงเจ้าของร้านซาลอนต่างก็ไม่สามารถจำรูปลักษณ์ของคนร้ายได้ จำได้เพียงแค่ว่ากลุ่มคนร้ายนั้นเป็นกลุ่มผู้ชายเท่านั้น
ต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคม 2007 ห่างจากวันเกิดเหตุล่าสุดเพียง 6 วันหลังจากคนร้ายลงมือล่าสุด มีคนพบศพอีกจำนวน 2 ศพบนถนน เท่ากับว่าตอนนี้มีเหยื่อจากคนร้ายที่ทางตำรวจคาดว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันจำนวน 4 ศพและบาดเจ็บสาหัสหนึ่งราย โดยเหยื่อล่าสุดมีชื่อว่า เยฟคลีเนีย คลิเชนโก้ และ นิโคไลน์ เซอเชิฟ สภาพศพสองศพล่าสุดนั้นสภาพเหมือนกันกับศพก่อนหน้านี้ โดยศีรษะถูกของแข็งทุบจน กะโหลก แตกแยกออกจากกัน โดยทั้งสี่ศพนั้นไม่มีจุดเชื่อมโยงใดๆ เลย นอกจากเหตุเกิดในเมืองเดียวกัน นั่นทำให้ทางตำรวจคาดว่า คนร้ายน่าจะไม่เลือกเหยื่อ คนร้ายสนใจเพียงแค่มีโอกาสเมื่อใด ก็จะลงมือเมื่อนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เมื่อการลงมือไม่มีแบบแผน แรงจูงใจที่แน่นอน
และถัดไปอีก 6 วันเท่านั้น ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2007 มีคนพบ ศพ เพิ่มอีกจำนวน 4 ศพ เท่ากับเหยื่อในเวลานี้เพิ่มมาเป็นจำนวน 8 ศพแล้ว โดยเหยื่อที่ถูกพบในครั้งนี้มีชื่อว่า อีกอ เนสโวโลด่า เขาเป็นทหารที่เพิ่งปลดประจำการ ทางตำรวจคาดว่า ในวันที่เขาไปงานเลี้ยงกับกลุ่มเพื่อนและตอนเดินกลับบ้านนั้น น่าจะถูกคนร้ายเข้ามาทำร้าย และเขาถูกทำร้ายห่างจากอาร์ทเม้นที่อาศัยเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ศพที่สองที่ถูกพบในวันเดียวกันคือ เยริน่า เชอรัม เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 28 ปี เธอเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยในบริษัทแห่งหนึ่ง ใบหน้าของเธอแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย สภาพศพของเธอแย่ที่สุดในบรรดา 4 ศพที่ถูกพบในวันนี้ ศพถัดมาคือ เวิร์นติน่า ฮันซ่า เธอถูกคนร้ายทุบตีศีรษะและใบหน้าไม่ต่างจากศพอื่นๆ เลย และศพสุดท้ายที่ถูกพบในวันที่ 7 กรกฎาคม 2007 นั้นคือเด็กชาย ที่มีชื่อว่า อังเดร ซินยะห์ โดยอังเดรมีอายุเพียง 14 ปี วันที่ถูกทำร้ายอังเดรนั้นไปกับเพื่อนอีกคน คือ วาดิม ไลน์คอฟ ในวันนั้นทั้งสองจะปั่นจักรยานไปตกปลากัน แต่ก็พบกับรถเก๋งสีเขียวขับตามพวกเขามา ก่อนจะจอด จากนั้นก็มีวัยรุ่นสองคนลงมา พร้อมกับใช้ค้อนรุมทำร้ายทั้งสองคน
โดยวาดิมรอดจากการรุมทำร้ายในครั้งนี้และหนีรอดมาได้ เขาเล่าว่า ตอนนั้นกลุ่มคนร้ายได้เข้าไปทุบตีอังเดร อย่างจัง แต่เมื่อเห็นว่าเขาหนีออกมาได้ ก็รีบตามกันมา ทว่า วาดิมเลือกที่จะหนีเข้าป่าและซ่อนที่พุ่มไม้จนคนร้ายรามือ และรีบหนีไป และหลังจากที่คนร้ายไปจนหมดแล้ว วาดิมเลือกที่จะกลับมาดูเพื่อนเขาที่นอนจมกองเลือด โดยศีรษะมีรอยถูกทุบอย่างรุนแรง เขาถอดเสื้อและห้ามเลือดให้อังเดร ก่อนจะวิ่งไปที่ถนนใหญ่ โบกรถเพื่อขอความช่วยเหลือ... และในที่สุดก็มีพลเมืองดีจอดถามไถ่ นำไปสู่การพาอังเดรรักษาตัวที่โรงพยาบาล
แต่มันก็สายไปแล้ว เพราะอังเดรทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ทว่าวาดิมกลับโชคร้ายที่ทางตำรวจคิดว่าเขาเป็นฆาตกรที่ฆ่าอังเดร และอาจจะมีส่วนในการสังหารเจ็ดศพก่อนหน้านี้ ตำรวจทั้งซ้อมและข่มขู่วาดิมสารพัด แต่วาดิมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเขาคือหนึ่งในเหยื่อในไม่ใช่ฆาตกร จนในที่สุดก็มีทีมอีกทีมเข้ามาช่วยสืบสวน และก็พบความจริงว่า วาดิมเป็นเพียงเหยื่อเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารคนก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
หลังจากเกิดเหตุล่าสุดไม่นานนั้น ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2007 นั้น ก็เกิดเหตุน่าสลดขึ้นอีกครั้ง จำนวน 2 ศพ เหยื่อรายแรกเธอคือผู้หญิง อายุ 53 ชื่อ นิโคไลน์ เปอแชงโก้ ส่วนเหยื่อรายที่สองนั้นไม่สามารถระบุตัวตนได้ เนื่องจากศีรษะและใบหน้านั้นถูกทุบจนเละเทะไม่เหลือโครงเดิม ต่อมาก็พบศพอีกจำนวน 1 ศพ ในเวลาไล่เลี่ยกัน
วันที่ 12 กรกฎาคม 2007 เหยื่อรายนี้เป็นผู้ชายที่มีชื่อว่า เซอร์เก้ ยัชเชนโก้ และชายผู้เคราะห์ร้ายคนนี้นี่เองที่อยู่ในวีดิโอ Snuff film ของเหล่าคนร้าย เขาคือคนที่คนร้ายลงมือทำร้าย โดยการ ทุบศีรษะ พลางอัดวีดิโอเอาไว้ด้วยความสนุกสนาน โดยวันที่เกิดเหตนั้น เซอร์เก้ ได้ขับรถมอเตอร์ไซน์ออกจากบ้าน และเป็นที่น่าสงสัยเนื่องจากหลังจากที่เซอร์เก้ ออกไป เขาไม่ได้กลับมาที่บ้านในคืนนั้น ทางภรรยาของเขาจึงเดินทางไปแจ้งตำรวจ
แต่ทว่าตำรวจยูเครนในตอนนั้นแจ้งมาว่า หากบุคคลหายไม่เกิด 72 ชั่วโมงจะยังไม่รับรายงานว่าคนหาย
ทางครอบครัวของ เซอร์เก้ จึงตามหาเองด้วยการ แปะโปสเตอร์ตามหาเซอร์เก้เอง และมันก็ได้ผล เพราะใน 4 วันถัดมา มีบุคคลปริศนาโทรเข้ามาหา และบอกว่า เขาเห็นรถมอเตอร์ไซน์ของเซอร์เก้จอดอยู่ถนนแห่งหนึ่ง ทางครอบครัวจึงรีบไปที่นั่นและแจ้งตำรวจทันที เมื่อตำรวจมาตรวจสอบ โดยบริเวณนั้นมีป่าอยู่ ทางตำรวจจึงเดินเข้าไปสำรวจในป่า ...และก็พบกับศพที่ 9
สองวันหลังจากพบศพ เซอร์เก้ ก็พบศพรายใหม่ที่มีชื่อว่า นาตาเลีย มามาชัฟ (อายุ 45 ปี) โดยในวันนั้นเธอขับจักรยานไฟฟ้า ผ่านสวนสาธารณะ และก็มีชายไร้บ้าน 2 คนที่พบเห็นเธอ แต่ในเวลาไม่นาน ไม่ห่างจากบริเวณที่ชายไร้บ้านอยู่นั้น ทั้งสองได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง เห็นคนร้ายใช้ค้อนทุบนาตาเลีย ทว่าทั้งสองคนกลับไม่กล้าเข้าไปช่วย จนคนร้ายลากนาตาเลียเข้าพุ่มไม้ไปทำร้ายต่อ กลุ่มชายไร้บ้านจึงพยายามตะโกนใส่ นั่นทำให้คนร้ายรีบหนี โดยขับจักรยานไฟฟ้าของนาตาเลียหนีไปในที่สุด
ถัดไปในเวลาไม่เกิน 5 หรือ 6 วันก็มีคนพบศพรายใหม่ๆ จากฝีมือคนร้ายกลุ่มเดิมเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยมี เรจิน่า โปรเวนโก้ (อายุ 85 ปี), นิโคลไลน์ โมเลนติโคว่า และเหยื่อที่ตั้งครรภ์ ถูกทำร้ายใบหน้าจนไม่สามารถระบุตัวตนได้ ทว่าครั้งนี้คนร้ายกระทำการอุกอาจมากกว่าเดิม โดยมีอาวุธเพิ่มมาจากค้อน คือมีด ที่ใช้ในการคว้านท้องหญิงตั้งครรภ์เพื่อจะเอาเด็กออกมา และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ เหยื่อที่ถูกทำร้ายในช่วงนี้ บางคนถูก ควักลูกตาออกมา ราวกับว่าคนร้ายต้องการจะทำให้น่าสยดสยองกว่าเดิม แต่ก็ยังคงยึดอาวุธหลัก ซึ่งก็คือ ‘ค้อน’ นั่นเอง
และในตอนนี้ คนร้ายได้ฆ่าเหยื่อรวมๆ แล้วก็ 21 รายทีเดียว
ทางตำรวจไม่อยากให้เกิดโศกอนาฏกรรมนี้เพิ่มขึ้นอีก แต่ก็มีเบาะแสเดียวจาก วาดิม โดยวาดิมให้การว่า คนร้ายเป็น วัยรุ่น มากันจำนวน 2 คน อายุราวๆ 20-30 ปี และอีกเบาะแสหนึ่งคือในเหยื่อทุกๆ รายที่พบว่าเสียชีวิต จะพบว่า มีของมีค่า ของสำคัญหายไป เช่นมือถือ แหวน สร้อยคอ เป็นต้น นั่นจึงทำให้ตำรวจคาดว่ากลุ่มคนร้ายอาจจะนำของเหล่านี้ ไปขายต่อหรือจำนำหรือเปล่า