19 ก.พ. 2021 เวลา 12:57 • บันเทิง
บัตรพลีทาน กับ การแก้คุณไสย
  เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผม
ในสมัยเด็ก แต่ยังคงจดจำได้เป็นอย่างดีไม่เคยลืม
  ย้อนกลับไปเมื่อ 29 ปี ก่อน ความบันเทิงของเด็กในสมัยนั้นก็คือการเล่นซ่อนหา ดีดลูกแก้ว เป่าหนังยาง เขี่ยไพ่ โยนตุ๊กตุ่นทอยเส้น ฯลฯ แต่ความบันเทิงส่วนตัวของผมคือการได้ไปดูคนทรงเจ้า เข้าผี ถ้ารู้ว่าที่ไหนมีการเข้าทรงก็จะพยามยามไปดูให้ได้ แต่การไปดูของผมนั้น อาจจะแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ว่าไม่ได้ไปขอโชคลาภ  แต่เป็นการไปดูเพื่อจับผิดว่า เข้าทรงของจริง หรือ เป็นการแกล้งทำเพื่อหลอกให้คนหลงเชื่อ
  หลังจากที่ผมได้จบป. 6 ก็ได้มีอาจารย์มาประชาสัมพันธ์ว่ามีการเปิดรับสมัครนักเรียนนาฏศิลป์ มีค่าสมัครเพียงแค่
10 บาท เท่านั้น
ผมจึงสนใจและได้ไปขออนุญาต ผู้ใหญ่ที่บ้านซึ่งคุณยายอนุญาตให้เรียน แต่น้าเขยได้แย้งขึ้นมาว่าได้ไปดูดวงมา หมอดูบอกว่าเด็กผู้ชายที่บ้านดวงชะตาขาดให้ไปบวช
พอยายผมได้ยินแบบนั้นก็เกิดความกลัวว่าผมจะตาย
จึงพาผมไปบวชเป็นสามเณรที่วัดข้างบ้าน
  วัดที่ผมบวชนั้น จะมีร้านขายของที่ระลึกอยู่ติดกับวัด ซึ่งสามารถใช้เป็นทางเข้าออกวัดได้ และร้านนี้มีผู้ดูแลเป็น
ป้าท่านหนึ่ง ชื่อว่า "ป้าปทุม"
ป้าปทุมจะมีหน้าที่จัดดอกไม้ให้กับทางวัด และ ยังรับจ้างจัดทำพานบายศรีต่างๆ อีกด้วย
  จนวันหนึ่งผมได้มีโอกาสผ่านไปที่ร้านแห่งนี้ ก็ได้สังเกตุเห็นผู้หญิงชราคนหนึ่ง รูปร่างตัวเล็กๆ ใส่เสื้อขาว
กางเกงขาสามส่วนสีดำ กำลังนั่งคุยกับใครสักคนอยู่ แต่อยู่ดีๆ ก็มีอาการเหมือนคนโดนผีเข้า โดยได้ส่งเสียงพูดภาษาแปลกๆ (หรือบางคน เรียกว่าภาษาเทพ)
จากนั้นเสียงของป้าจากที่เคยเป็นเสียงปกติก็ได้พูดออกมานั้นเป็นเสียงเด็กน้อย เสียงเล็กๆแหลมๆ เป็นอย่างนั้นสักพัก ก็ได้พูดภาษาเทพอีกครั้ง แล้วก็ได้ก้มหน้านิ่งไป สักแปปนึงก็ได้สติกลับมาเป็นคุณป้าคนเดิมที่มีน้ำเสียงปกติเหมือนกับตอนที่ผมเห็นครั้งแรก
  หลังจากวันนั้น ผ่านไปไม่กี่วัน ผมก็ได้มีโอกาสได้เจอกับคุณป้าท่านนี้อีกครั้ง ด้วยความที่นิสัยเดิมในสมัยก่อน
บวชเณร ที่ชอบจับผิดว่าจะเป็นร่างทรงจริงหรือไม่ ก็ได้ทำทีไปคุยกับป้าปทุม ที่กำลังพับใบตองบายศรีขันไหว้ครูอยู่ สักพักป้าปทุมก็แนะนำให้ผมรู้จักกับคุณป้าร่างทรงท่านนี้
  สรรพนามที่คนทั่วไปเรียกคุณป้าร่างทรงท่านนี้คือ "ป้าร่าง" ในตอนนั้นที่ผมบวชเณรอยู่ ผมก็เรียกว่า "โยมร่าง" เมื่อได้สนทนากันไปสักพัก โยมร่างก็ได้นั่งก้มหน้านิ่ง ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ก็ได้พูดขึ้นมาว่า
"เณรองค์นี้ใครพามาบวชเนี่ย"
ป้าปทุมก็ถามว่า : "ทำใมเหรอ"
ป้าร่างก็บอกว่า : "เนี่ย ถ้าไม่พามาบวช ได้ตาย
ไปแล้วนะเนี่ย"
  โยมร่างยังบอกอีกว่า : "ผมนั้น ได้ขอทางเบื้องบนมาเกิด
ซึ่งให้สัญญาว่าจะมาบวช"
  ผมที่ฟังในตอนนั้นก็รู้สึกอึ้งในคำพูดของโยมร่าง เพราะคำพูดของแก ดันไปตรงกับคำพูดของน้าเขยที่เคยพูดไว้ก่อนที่ผมจะมาบวชว่าผมนั้นชะตาขาด
(สามารถอ่านเรื่องตายแล้วฟื้นของผมย้อนหลังได้ใน
เรื่องแรก)
  ผมจึงมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่านี่อาจจะเป็นร่างทรงจริงๆ ไม่ได้แกล้งทำ
  หลังจากนั้นผมก็ได้พบกับโยมร่างบ่อยขึ้น จนมีความคุ้นเคยกันในระดับหนึ่ง มีเหตุการณ์แปลกๆ อย่างหนึ่งที่ทำผมรู้สึกประหลาดใจ ช่วงนั้นมีการจัดงานทอดกฐินที่วัด ซึ่งผมก็นั่งอยู่ในศาลาพร้อมกับสามเณรรูปอื่น จู่ๆผมก็มีความรู้สึกว่าเหมือนเห็นโยมร่างแวบตรงนั้นที เดี๋ยวก็แวบตรงนี้ที แวบอยู่ตรงโน้นที ผมคิดว่าผมเห็นจริงๆ หรือว่าผมตาฝาดกันแน่
ผ่านไปสักพักผมก็เห็นโยมร่างอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่
การแวบไปมา เป็นตัวของโยมร่างเอง ที่เดินไปเดินมาภายในงาน ซึ่งในภายหลังผมไปเล่าให้โยมร่างฟัง โยมร่างก็บอกว่าเณรเห็นจิตของโยมก่อนที่ตัวโยมจะไปถึงงาน นั่นก็เป็นเรื่องแปลกๆอย่างหนึ่งที่ผมเจอ
  วันหนึ่งโยมร่างได้นิมนต์ผมไปฉันเพลที่บ้าน ภาพในหัวของผมที่คิดว่าตำหนักร่างทรงจะต้องดูดีในระดับหนึ่งเพื่อ
สร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อผมไปถึงบ้านของโยมร่าง ก็พบว่าเป็นบ้านปูน 2 ชั้น
ที่มีลักษณะเหมือนกับว่ายังสร้างไม่เสร็จ และสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือ มีสุนัขจำนวนมากกว่า 10 ตัว วิ่งอยู่เต็มบ้านไปหมด
  ในภายหลังจึงได้มาทราบว่า สุนัขทั้งหมดเป็นสุนัขข้างทาง เป็นสุนัขที่ไม่มีเจ้าของที่ไม่มีเจ้าของ บางตัวก็ผอมเหลือแต่กระดูกติดหนัง โยมร่างก็นำมาเลี้ยงจนอ้วนขึ้น บางตัวเป็นโรคผิวหนังอย่างรุนแรง โยมร่างก็นำมารักษาจนหายกลับมามีขนขึ้นมา และตัวของโยมร่างนั้น กินเจ ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ของที่เลี้ยงสุนัขนั้น จะเป็นหมูหรือไก่ล้วนๆ ผสมกับข้าวต้มหม้อใหญ่ จะไม่มีกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียว โยมร่างบอกว่าเวลาเราทำทานด้วยของที่ไม่ดี ตายไปเราก็จะได้กินของที่ไม่ดีเหมือนกัน
  หลังจากวันนั้นผมก็ได้มีโอกาสได้ไปฉันเพล ที่บ้านโยมร่างบ่อยขึ้น จนวันนึงหลังจากที่ผมได้ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนกลับวัดผมก็ได้นั่งเล่นกับสุนัขตัวหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังลูบหัวสุนัขอยู่นั้น จู่ผมก็พูดขึ้นมาว่า "โยมร่าง เดี๋ยวจะมีคนมาหานะ" ผ่านไปประมาณ 5 นาที ก็มีรถมาจอดหน้าบ้าน และก็มีคนลงมาจากรถเป็น ผู้หญิง 2 คน ผู้ชาย 1 คน เดินตรงมายังบ้านของโยมร่าง ผมก็ได้พูดกับโยมร่างว่า "นั่นไง มีคนมาหาจริงๆ ด้วย" นับว่าเป็นเรื่องแปลกอีกครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผม
  แขกที่มาหา ผู้หญิง 1 ในนั้น คือ โยมเกื้อ ผู้ที่คอยช่วยเหลือโยมร่าง ตอนที่โยมร่างได้อัญเชิญเทพมาประทับร่างแล้ว  ส่วนชายหญิงอีกคู่หนึ่งคือ สามีและภรรยากัน หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็ได้เล่าว่า ตัวสามีมีอาการเจ็บปวดไปตามตัว เจ็บเข้าไปถึงกระดูก พอไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็บอกว่ากระดูกไม่มีปัญหาอะไร พอกลับมาบ้านก็จะมีอาการปวดขึ้นมาอีก เป็นอยู่อย่างนั้น หลายต่อหลายครั้ง จนคิดว่าต้องพึ่งทางไสยศาสตร์ดูบ้างเผื่ออะไรจะดีขึ้น บังเอิญว่าทั้งคู่ได้รู้จักกับโยมปทุม ก็แนะนำให้โยมเกื้อพามาหาโยมร่างอีกทีนึง
  เมื่อโยมร่างทราบเรื่องทั้งหมดก็ได้ ขอตัวไปชำระร่างกาย และ เปลี่ยนชุดเป็นสีขาวล้วน ส่วนตัวผมที่ชอบและสนใจเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีอยู่แล้ว ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าโยมร่างจะเข้าทรงแบบไหนก็ได้ขออนุญาตสังเกตุการณ์อยู่ห่างๆ ด้วย
  เมื่อทุกคนพร้อมแล้วก็ได้ขึ้นไปยังชั้น 2 ของบ้าน ภาพจำในหัวเกี่ยวกับตำหนักหิ้งของร่างทรงที่ผมเคยเห็นมา ก็จะมีองค์เทพต่างๆ มากมายหลายอย่าง หลายองค์เทพ แต่ตำหนักของโยมร่างนี้ มีโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป กับรูปปั้นเทวรูปสมัยขอม 1 องค์ และ ขันบายศรีไหว้ครูที่มีใบตองแห้งๆ ตั้งอยู่แค่นั้นเอง ซึ่งนับว่าแตกต่างจากตำหนักทั่วไปที่ผมเคยเจอมา
  หลังจากนั้นโยมร่างก็ได้จุดธูปเพื่อทำการอัญเชิญเทพลงมาประทับร่าง สักพักเหมือนกับว่ามือที่ถือธูปจะค่อยๆ ปล่อยลงทีละนิด จนโยมเกื้อ ต้องรีบเข้าไปรับธูปที่มือแล้วนำไปปักที่กระถางธูป แล้วจึงประคองโยมร่างไปนั่งยังที่ได้จัดเตรียมไว้ โยมร่างมีอาการเหมือนนั่งคนหลับโดยโน้มตัวไปข้างหน้า สักแปปนึงก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมพูดภาษาแปลกๆบางอย่าง หรือที่เรียกว่าภาษาเทพ พอพูดจบ เสียงที่พูดหลังจากนั้นก็มีน้ำเสียงที่แหบห้าวคล้ายเสียงของชายชรา
  เมื่อองค์เทพประทับแล้ว ก็ได้ถามถึงวันเดือนปีเกิดของฝ่ายสามี หลังจากนั้นท่านก็ได้บอกว่าตัวสามีนั้น โดนทำของใส่ โดยฝ่ายที่ทำนั้น เป็นเมียน้อย ที่สามีไปติดพันอยู่  ซึ่งเหตุผลคือไม่อยากให้ตัวสามีนั้น กลับไปหาเมียหลวง นั่นเอง แต่การมาครั้งนี้ของทั้งคู่องค์เทพช่วยได้แค่การบรรเทาจากหนักให้กลายเป็นเบาเท่านั้น
  ถ้าจะให้หายขาดต้องไปทำพิธีที่ถ้ำ และจะต้องทำบัตรพลีด้วย ซึ่งทั้งคู่ก็ยินยอมตกลงที่จะทำตามที่องค์เทพได้บอก โดยท่านก็ได้บอกสิ่งที่ต้องเตรียมไปทำพิธีว่ามีอะไรบ้าง รวมถึงหาฤกษ์เพื่อนัดวันที่จะไปทำพิธี ส่วนในวันนี้องค์เทพจะทำการเหยียบของนั้น และส่งกลับคืนไปยังคนที่ทำ
  ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของผม ว่าถ้ำที่พูดถึงนั้นเป็นแบบไหน แล้วการแก้ของคุณไสยที่พูดถึงกันเป็นยังไง
เพราะเกิดมาผมก็ไม่เคยเห็นไม่เคยสัมผัสมาก่อน ผมจึงได้ขอติดตามโยมร่างไปที่ถ้ำแห่งนั้นด้วย
(จะยอมพลาดเรื่องที่โปรดปรานได้ยังไงละ จริงไหมครับ)
  แล้ววันที่ผมรอคอยก็มาถึง ทุกคนต่างก็มาตามเวลา
นัดหมายแล้วเริ่มออกเดินทางไปยังจุดปลายทาง ถ้ำที่พูดถึงนั้นตั้งอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อเราเดินทางมาถึงทุกคนก็ต่างนำสิ่งของต่างๆ ลงจากรถ เพื่อที่จะนำขึ้นไปทำพิธียังด้านในถ้ำ ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินขึ้นเขาอยู่นั้น ก็มีเสียงตะโกนมาจากด้านหลังว่าให้ขึ้นไปกันเลยตัวเขาขอนั่งรอที่ข้างล่างละกัน คนนั้นก็คือชายผู้ที่ถูกทำของใส่นั่นเอง เขาบอกว่า "มันปวดในกระดูกจนก้าวขาไม่ออกเลย
ปวดตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว"  แต่ทุกคนบอกว่า "ไม่ได้ เพราะคุณคือคนที่จะต้องมาทำการเอาของออกจากตัว" หลังจากที่นำของขึ้นไปแล้ว ทุกคนก็มาช่วยพยุงโยมผู้ชายคนนี้ขึ้นเขาไปยังถ้ำเพื่อทำพิธี
  ครั้งแรกที่ผมได้เห็นถ้ำแห่งนี้ เป็นถ้ำที่ค่อนข้างมีโขดหินอยู่พอสมควร แต่ยังพอมีพื้นที่เรียบๆ ให้ทำพิธีอยู่บ้าง ซึ่งที่ถ้ำแห่งนี้มีพระอยู่รูปหนึ่งเป็นผู้ดูแล และ ท่านก็ยังเป็นผู้ที่จะทำการแก้คุณไสย ในครั้งนี้ด้วย พระรูปนี้ยังดูหนุ่มอยู่
อายุประมาณ 30 ปี ปลายๆ
  เมื่อทุกคนมาถึงแล้ว พระท่านก็ให้เตรียมของทำ "บัตรพลี"
  บัตรพลี ก็คือ กระบะเครื่องสังเวย ทำด้วยหยวกกล้วย หักพับเป็นกระบะรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
  บัตรพลี 1 บัตร ต่อ 1 คน ของใครของมัน เมื่อได้กระบะ
บัตรพลีแล้ว ก็ใส่อาหารคาวหวานผลไม้มงคลต่างๆ ที่เตรียมมา แต่สิ่งที่พิเศษกว่านั้นก็คือพระท่านให้ปั้นตุ๊กตา 2 ตัว ตัวหนึ่งใช้เป็นตัวแทนของเรา วางไว้ฝั่งของหวาน
อีกตัวหนึ่งท่านให้ปั้นหัวของตุ๊กตาให้แหลม สมมุติให้ว่ากำลังใส่ชฎาอยู่ ใช้เป็นตัวแทนของยมฑูต วางไว้ฝั่งของคาว โดยให้ตุ๊กตาทั้งคู่หันหน้าเข้าหากัน
  นอกเหนือจากบัตรพลีแล้ว พระท่านก็ยังให้แต่ละคนนำเทียนไขเล่มเล็กสีเหลือง 1 ห่อ ใส่ลงไปในจานสังกะสี สีขาว คนละ 1 ใบ ของใครของมันเช่นกัน
  เมื่อตระเตรียมสิ่งของต่างๆ เรียบร้อยแล้ว พระท่านก็ให้
ทุกคนนั่งเป็นครึ่งวงกลมพร้อมทั้งนำบัตรพลีและจานเทียนไขมาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง
จากนั้น ท่านก็นำสายสิญจน์มาให้โยมส่งต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นครึ่งวงกลม จนมาถึงคนสุดท้ายแล้วก็ให้วางสายสิญจน์บนพานที่ท่านได้เตรียมไว้
  พระท่านให้ทุกคนถือสายสิญจน์ไว้ และท่านก็เริ่มบริกรรมคาถาไปสักครู่ ท่านจะถามชื่อ นามสกุล ของแต่ละคน จากนั้นท่านก็ส่งเสียงว่า "วู้ๆๆๆๆๆ (ลากเสียงยาวๆ) ขวัญของนาย(นาง).....ไปอยู่ที่ไหนให้มาเข้าร่างเข้าโครงด้วยเถอะ" ซึ่งท่านก็จะให้ "มาแล้วครับ(ค่ะ) อยู่แล้วครับ(ค่ะ)"  พูดไปซ้ำๆ หลังจากนั้นท่านก็จะนั่งนิ่งสักพักเพื่อนั่งทางในว่าจิตของคนนั้น ได้อยู่กับเจ้าตัวหรือเปล่า รึว่าจิตไปผูกติดอยู่ที่ไหนหรือไม่ ซึ่งบางคนที่จิตไม่อยู่กับตัว นั่งเหม่อลอย พอท่านได้ทำการเรียกขวัญกลับคืนมาถึงกลับนั่งร้องให้ พอสักก็กลับมาพูดคุยปกติหายจากอาการนั่งเหม่อลอย ถ้าบางคนที่จิตอยู่กับตัวก็จะไม่มีอาการอะไร ท่านก็จะผ่านไปคนต่อไป
  แต่มีโยมอยู่คนนึงที่ ตอนเรียกขวัญ และคนนั้นได้ทำการขานชื่อตัวเอง ปรากฏว่าเทียนที่จุดอยู่ในจานเกิดมีเสียงดัง "เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ" ขึ้นมา มีสะเก็ดไฟ แตกออกมาเป็นระยะๆ ซึ่งทุกคนก็พากันมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะตั้งแต่เริ่มพิธีมีเทียนจานนี้จานเดียวที่เป็นแบบนี้ จนพิธีจบ พระท่านก็ให้ทุกคนดูที่จานเทียนของตัวเอง บางจานมีน้ำตาเทียนสีเหลืองล้วนๆอยู่เต็มจาน บางจานมีจุดดำๆ ปนอยู่กับน้ำตาเทียนบ้าง ไม่มากก็น้อย
  แต่มีอยู่จานหนึ่งคือจานที่มีเสียงแตกดังเปรี๊ยะๆ นั้น ในจานไม่มีน้ำตาเทียนแม้แต่หยดเดียว และสิ่งที่เห็นภายในจานนั้นคือ จานทั้งใบมีสีดำเหมือนจานนั้นโดนเอาไปเข้าเตาเผามา
  สิ่งที่นอกเหนือไปจากจานที่มีสีดำทั้งใบแล้ว ใส้เทียนมีสีเหมือนเถ้ากระดูก มีลักษณะเหมือนโครงกระดูกคน มีทั้งหัว มีตัว มีแขน และ มีขา ครบ เหมือนคนถูกเผานอนตาย
ในเชิงตะกอน ทุกคนก็ได้แต่อึ้งไปตามๆ กัน
  และเจ้าของจานนี้ก็คือโยมผู้ชายที่มีอาการเจ็บปวดตามกระดูกนั่นเอง ซึ่งหลังจากพิธีจบแล้ว อาการเจ็บปวดต่างๆ ก็ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเลย เดินคล่องเหมือนไม่ร้องโอดโอยใดๆ ทั้งสิ้น
  สุดท้าย "บัตรพลี" ที่ทำพิธีนั้น พระท่านก็ให้เจ้าของบัตรพลี ถือของใครของมัน เดินตามท่านไปยังตีนเขา เพื่อเอาสิ่งที่ไม่ดีไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่า เมื่อไปถึงจุดหมายท่านก็ให้จุดธูปคนละ 1 ดอก บอกชื่อ นามสกุลของตัวเอง
แล้วพูดตามท่าน เพื่อเป็นการสละบัตรพลีนี้ให้เป็นทานแก่วิญญาณสัมภเวสี และ สัตว์น้อยใหญ่ แล้วก็ให้วางบัตรพลี
นั้นลง แล้วเดินหันหลังทันที โดยห้ามหันกลับไปมองเด็ดขาด เป็นอันจบพิธีทั้งหมด
เหตุการณ์ของโยมผู้ชายคนนี้ทำให้เรารู้ว่า
"ให้มีความรักอย่างมีสติ
       อยู่บนรากฐานของความพอเหมาะ พอควร"
หลังจากนั้นพระท่านก็พาทุกคนลงไปเดินเที่ยวชมภายในถ้ำ ซึ่งภายในถ้ำจะมีอะไรที่น่าสนใจ
รวมถึงประสบการณ์ที่ผมได้มาอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้กับพระท่าน
ได้เจอเหตุการณ์แปลกๆ อะไรบ้าง 
จะนำมาเล่าให้อ่านกันในครั้งต่อไปนะครับ
  ได้โปรดติดตามตอนต่อไป.....
โฆษณา