21 ก.พ. 2021 เวลา 19:28 • บันเทิง
สรุปจาก iCreator Clubhouse : Stand-up Comedy พูดยังไงให้สนุก
1. ภาพรวมของวงการ stand-up comedy ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
[Katanyu]
แวดวงของ stand-up comedy เมื่อสองปีที่ผ่านมาถือว่าคึกคัก ถ้าไม่นับช่วงโควิด ปีก่อนมีคนมาเล่นยืนเดี่ยวไม่ต่ำกว่า 100 คน เรามีเปิดโอกาสให้ทั้งคนทั่วไปหรืออย่าง influencer ก็มีอย่างคุณ Pippo ซึ่งมาจากวงการ Startup หรืออย่างโนะ ที่เล่นมาด้วยกันมา มีคนเล่นเยอะ แต่ในแง่ของรายได้ การทำเป็นอาชีพ อาจจะได้ยังไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น
วันที่ผม stand-up comedy ครั้งแรกปี 2016 ตอนนั้นไม่มีเลยแบบคนทั่วไป จะมีก็แต่ superstar ไปเลยอย่าง พี่พิง ลําพระเพลิง, พี่โน้ต อุดม, น้าเน็ก, อาจารย์จตุพล หรือตาโย่ง ปี 2016 เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ให้คนลองว่าเราก็เล่นได้นะ ความน่ากลัวของการทำยืนเดี่ยวอยู่ที่ถ้าเราขึ้นไปเล่นแล้วไม่ตลก เราเลยจัดพื้นที่ให้คนได้ลองไปเล่น ตอนตั้งแต่ปี 2019 ก็จะเริ่มคึกคัก มีคนดูทุกคืนตั้งแต่ประมาณ 150 คน มีใหญ่สุดก็ 350 คนที่ G-Village ก่อนหน้านั้นผมมีจัด A Katanyu & Friends ตอนต้นปี 2018 ก็ชวนน้าเน็กมาเล่นด้วย บัตร 500 บาท คนก็เยอะยืนกันเบียดเลย ผมทำโชว์ก็พอมีสปอนเซอร์บ้าง แต่ก็ยังไม่ได้ขายได้เยอะมากขนาดนั้น แต่ก็เห็นความตั้งไข่ของวงการนี้ เราตัองการคนเล่นเพิ่ม พื้นที่เพิ่มให้โชว์มีคุณภาพ อยากให้ comedian มันอยู่ได้ด้วยตนเอง ก็คงคล้ายกับนักดนตรี เราก็ต้องเล่นที่คลับ มีที่ให้เขาเล่นประจำ ก็พยายามทำห้อง underground ตอนนี้ก็เริ่มเห็นความหวัง ผมนึกถึงสมัย Thai Leauge ตอนเริ่มต้น งานเดี่ยวก็น่าจะประมาณนั้น นักเตะเต็มสนาม แต่คนดูกับสปอนเซอร์ยังน้อยอยู่ ผมว่ารัฐบาลน่าจะมาลงทุนในเรื่องนี้ ถ้าจะให้มันเติบโตน่าจะต้องใช้เวลาและการลงทุน ไม่งั้นมันก็จะเต๊าะแต๊ะไปเรื่อยๆ
[โนะ]
พยายามสร้าง understanding ให้คนรับรู้ว่าเรามี choice มีความขบขันแบบนี้ มีแนวนี้ด้วยให้เลือกเสพ อีกแนวทางคือ sense of community คือแต่ละคนมีทางของตัวเอง แต่ละอาชีพก็อาจจะเข้าใจตลกคนละแบบ ถ้าพูดว่าตลกมันอาจจะดูกดดันไป แต่ถ้าพูดว่าความขบขัน ซึ่งจริงๆ มันคือ nature ของแต่ละคน ในชีวิตเราเนี่ยอาจจะได้เจอคนขับ taxi หรือป้าขายกับข้าวที่ตลกๆ เราพยายามดันคนพวกนี้ให้มาขึ้นเวที เรามีความงามแบบนี้ มีคนแบบนี้ด้วย ก็ควบคู่ไปกับทางใหม่ๆ ของเมืองนอก เราก็พยายามเอามาปรับเปลี่ยน ดัดแปลง เราก็มีเรียนกับครูที่สอนจริงๆ จากเมืองนอกด้วย เรากำลังพยายามจะทำแนวเล่นสด ที่มี interactive กับคนดู โยนเรื่องขึ้นมาเล่นแล้วคนแสดงก็ต้องเล่นสดเลย
2. อยากถามเรื่องในแง่ของการสปอนเซอร์เป็นยังไงบ้าง เพราะก็เห็นว่าเริ่มมีคนเข้ามาดูกันอยู่จำนวนนึง
[Fax]
ก็มีบ้างแต่มันก็จะเป็น by project ไป ผมคิดว่าจะตอบว่ามีแล้วก็พูดได้ไม่เต็มปาก บางโชว์ก็มีเริ่มมีสปอนเซอร์บ้างแล้ว แต่ในแง่ของการจะให้มันเติบโตและรันต่อไปได้ ผมว่ามันยังเป็นวงการที่ยังค่อนข้าง niche อยู่ประมาณนึง
[Pippo]
ผมว่ามันน่าจะเหมือนแบบวงการเทนนิสที่ยังไม่มีภราดร จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็พอมี แต่ผมว่ามันต้อง need hero อย่างที่ของ พี่โน้ต อุดม แต่ก็จะเป็น gen เก่านิดนึง ช่วงนี้เขาก็กลับมาเล่นแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ดึงฐานคนฟังใหม่ๆ เข้ามา เราต้องการคนเหมือนถ้าเป็นวงการแบดมินตันก็คือน้องเมย์
3. ถ้าคนคนนึงจะขึ้นไปยืนบนเวทีแล้วเล่าเรื่อง มันมีวิธีการหรือเทคนิคอะไรบ้างครับ สำหรับ stand-up comedy
[Katanyu]
ผมว่าการจะเริ่มเล่น stand-up ได้ ไม่ใช่พูดเรื่องตลกอย่างเดียว มันเป็นโชว์ที่ต้องอาศัยทั้งบรรยากาศและคนดู ต้องถูกจัดวางในสถานที่ที่จัดมาให้สำหรับโชว์ stand-up, มีคนเล่น มีคนดู เป็นสถานที่ปิดหน่อยให้คนตั้งใจดู ถ้าเป็น stand-up กลางแจ้งก็พอมีแต่มันก็จะยากหน่อย เพราะคนอาจจะวอกแวกหรือคุยกันได้ อันนี้คือข้อแรก คุณต้องไปอยู่ในสถานที่ที่เขาเรียกว่า stand-up comedy ผมเคยไปพูดในที่ที่คนไม่ได้เตรียมตัวมาฟังแนวนี้ มันก็จะจืดหน่อยหรือผมอาจจะเล่นไม่ดีพอ อย่างพื้นที่ที่เตรียมไว้เฉพาะทำโชว์ ผมเล่นครั้งแรกๆ 30-40 คน แต่ทุกคนรู้ว่ากำลังจะมาเจอกับอะไร บรรยากาศมันก็จะให้
[Khajochi]
เหมือนไม่ใช่แบบว่าอยู่ดีๆ จัดประชุมผู้ถือหุ้นอยู่ แล้วก็เรียกขึ้นมาเล่นตลกเลยแบบนั้นมันไม่ได้
[Katanyu]
ผมก็หาพยายามหาสถานที่แนวแบบผับฝรั่ง เราก็พยายาเล่นให้มันเข้าลูปแบบนั้น คนจะได้เข้าใจ stand-up ซึ่งยืนเดี่ยวเราก็พยายามออกแบบให้มันเป็นแบบนั้น แต่หลังจากเรื่องพวกนั้นมันก็จะมีอิสระว่าแต่ละคนจะเลือกวิธีการเล่าเรื่องแบบไหน แบบที่ relate กับตัวเอง ตลกแนวไหน ชอบเรื่องอะไร วิธีใช้ร่างกาย วิธีการพูด ไอเดียที่เราใช้ เวลาทำงานศิลปะอะไรแบบนี้ ผมคิดว่าถ้าให้มันเป็นตัวของตัวเองมันจะดีที่สุด เพราะแต่ละคนไม่มีใครเหมือนกัน ถ้าอยากจะเล่น stand-up จริงๆ ก็ให้ไปหาสถานที่ที่เหมาะสม หา deadline ให้กับมัน แล้วก็ลองขึ้นไปเล่น
4. อยากรู้ว่าแต่ละคนเป็น stand-up แนวไหนกันบ้าง
[Katanyu]
พอผมเล่นไปเรื่อยๆ จะเริ่มรู้ว่าผมชอบเล่าเรื่องส่วนตัว เรื่องที่เราป่วย เราเจ็บตัวจากเรื่องนี้
[Sam]
ชอบเล่าเรื่องน่ารัก เรื่องของเราจะไม่มีมุขหยาบคาย เล่าประสบการณ์ของตัวเอง ทำให้คนดูยิ้มกับมุขที่เราเล่น เหมาะกับผมซึ่งเป็นคนน่ารัก ผมเป็นคนพูดไม่เก่งเลยพี่ จำได้ตอนยูจัดงานเวิร์คช้อปงานนึง แล้วให้ผมออกไปเล่าเรื่องตลก ผมก็ขอตัวออกมาก่อนเลยบอกว่าไปเอาข้าวมันไก่ จนมาครั้งที่ยูจัด stand-up comedy หลายๆ คน เราเลยได้ไปลอง เบื้องหลังคือเรามาเขียนบทเป็น bullet ว่าเราจะเริ่มพูดเรื่องอะไร เล่าให้คนอื่นบูลลี่เรา เราบูลลี่คนอื่นด้วยสลับกันกัน
[โนะ]
ของผมคือต้องหาอะไรที่มันเข้าปาก หาอะไรที่มันเป็นจริตหลักของเราจริงๆ stand-up เราจะดัดจริตไม่ได้ คนดูจะดูออกว่าเรา fake อย่างที่พี่ยูพูดเรื่องสถานที่และการออกแบบสถานที่ แต่เคสของเราคือบางทีเราก็ต้องรับงานที่เราอยู่ในสถานที่ที่ out of control เพราะเราทำเป็นอาชีพ เราก็อาจจะต้องทำการบ้านเพิ่ม ไปก่อนเวลา ไปดูผู้คน ไปดูเครื่องดื่มที่เขาดื่ม ไปดูอาหารที่เขากิน หาอะไรที่มัน relate มาพูด จะได้เป็นการ ice breaking กับเขา อย่างพี่โน้ต ก็จะมีเทคนิคให้ตบมือ หากพวกเรากำลังสบาย ก่อน
ผมจะเล่นแนวคล้ายๆ พี่ยู ถ้าเล่าเรื่องจริง เรื่องที่อิมแพคกับเรา เรื่องพวกนี้เราจะมี detail เราจะจำเรื่องราวได้ชัดมากๆ พอเราเล่าเรื่องที่มัน detail มีองค์ประกอบมันก็จะทำให้คนสนใจ หรือเล่า knowledge ที่คนไม่รู้ก็น่าสนใจ เช่น ผมชอบไปฟังดนตรีแปลกๆ ว้ากๆ หรือ พวกยาเสพติดชานเมือง คนอาจจะไม่รู้ insight ทั้งหมด ก็อาจจะเป็นการให้ความรู้คน
5. ก่อนขึ้นเวทีแต่ละครั้ง เราต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
[Pippo]
บางคนคิดว่าขึ้นไปอาจจะแค่เล่นตลก แต่ผมคิดว่ามันคือ performance อย่างนึง มันเหมือน monologue โชคดีที่ผมเคยมีเบสิคละครเวทีมาบ้าง สำหรับคนที่ไม่เคยมีเบสิคแล้วขึ้นไปเล่น ผมว่าแม่งโครตเก่งเลย
ผมว่ามันแบ่งเป็นสองพาร์ท คือ พาร์ทแรกเขียนบท พาร์ทสอง perform ผมว่าส่วนที่สำคัญมากๆ คือส่วนเขียนบท ถ้าถามว่าผมเป็นสายไหน ผมเป็นสายเขียน script คำต่อคำ ถ้าไปดูคลิปผมถึงจะเห็นผมเป็นแบบนั้น แต่ผมซ้อมเป็นคำต่อคำเลย อาจจะมีหลุดบ้าง แต่ผมเขียนไว้เป็นบทๆ เลย
มันแล้วแต่สไตล์คนด้วย แต่ผมเข้าใจว่าที่เมืองนอกเขาก็เขียนบทหมดนะ เพราะเห็นเขาไปเล่นหลายๆ ที่ กว่า 95% ก็เหมือนๆ กันหมด แต่ที่เหลือก็คืออาจจะมีเล่นกับคนดูบ้างเปลี่ยนไปตามแต่ละสถานที่ มีช่วงนอกบทบ้างบางช่วง อย่างพี่เต้ยที่เขียนบทให้พี่โน้ตอุดมก็เขียนบทไว้เลย แล้วพี่โน้ตก็ซ้อมเยอะมากๆ ด้วย อีกอย่างคือการ perform เพราะเรารู้ว่าอยู่แล้วว่าจะเล่นอะไร แต่เราต้องเล่นให้มันเหมือนครั้งแรก มันถึงจะตลก
[Katanyu]
อย่างผมก็เขียนหมดเลย แยก sequence เป็นองค์ๆ อันไหนเป็นมุข อันไหน underline ไว้ว่าเป็นจุดเด่น แต่ก็มีจุดที่ไม่ได้เป๊ะบ้างบางช่วง แต่จะต้องมีเน้นตรงบางช่วง เช่น อย่างบรรทัดสุดท้ายเขียนว่าตรงนี้ต้องเล่นเป๊ะตามนี้
6. อยากถามว่า Fax ก็เป็นคนสายเขียนบท อยากรู้ว่าการเขียนบท stand-up กับบทละครมันต่างกันยังไงบ้าง
[Fax]
ผมว่าทุกคนมีวิธีการทำงานต่างกัน ในเชิงบท stand-up comedy คือการมาเล่าเรื่อง แต่ผมคิดว่า objective ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือต้องขำ อาจจะไม่ต้องเล่าเรื่องก็ได้แต่มันต้องขำอะ เพราะนั้นคือ goal ที่ใหญ่ที่สุดของมัน เส้นเรื่องอาจจะไม่ได้ไปข้างหน้าต่อก็ได้ มีขยี้ มีต่อไอเดีย บางทีมันก็จะมีอะไรสดๆ เช่น สมมุติเรามีคนพูดก่อนหน้าเรา เราอาจจะดึงอะไรมาพูดต่อกันก็ได้ แต่มันจะมีโครงใหญ่ เราก็พยายามขยี้ไอเดียของมันให้อิ่มที่สุด ให้มันได้เสียงหัวเราะออกมา
7. มันมีข้อห้ามหรือข้อไม่ควรทำไหมสำหรับการทำ stand-up comedy
[Sam]
หนึ่ง ห้ามบอกว่ามันจะตลก ถึงคนจะรู้อยู่แล้วว่าเราจะมาเล่าเรื่องตลกแต่อย่าประกาศเพราะถ้าไม่ตลกเราจะเศร้า
สอง ห้ามไม่ซ้อม ผมเคยเหมือนบอลได้ใจ เคยเล่นครั้งนึงแล้วดีมาก พอครั้งต่อไปจะไปเล่นก็ไม่ได้ซ้อมเลย จำได้ว่าไปซ้อมแค่ชั่วโมงเดียวก่อนขึ้นเวที จำได้ว่า fail มาก ไม่อยากขึ้นเวที แต่แป๊บเดียวมันก็หาย
[Pippo]
พี่โนะต้องซ้อมเยอะไหมพี่
[โนะ]
ผมเป็น stage guy ผมจะไปหา source ตรงนั้น แต่เราต้องมีข้อมูลต้องแน่นใน diary แต่ผมจะมีวิธีการประกอบเรื่องตรงเวทีตรงนั้นเลย ถามว่าต้องซ้อมไหม โดยปกติผมจะมีแอบหยอดของพวกนี้เวลาไปเจอเพี่อนหรือพี่น้องเพื่อลองดูอยู่แล้ว ผมไม่ซ้อมเพราะผมมั่นใจในมันอยู่แล้ว อีกเรื่องที่สำคัญคือความมั่นใจ
ถ้าจะให้พูดต่อเรื่องห้ามทำ หนึ่งคือ "ห้ามผูกมันแน่น" มันต้อง "คมและหลวม" เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่เราเผชิญอยู่มันอาจจะ out of control ก็ได้ แบบสมมุติถ้ามีผู้ชมมาดูยืนเดี่ยวแล้วเขาทะเลาะกับแฟน หลังจากนั้นเขาก็จะขำไม่ออกแล้ว เศร้าไปเลย เราก็เห็นว่าเออเรื่องแบบนี้มันก็แบบนี้เกิดขึ้นได้นะ
สอง อย่าผูกจิตไว้กับใครคนใดคนนึง ให้ดูรวมๆ อย่าโฟกัสไปที่คนๆ เดียว เพราะคนๆ นั้นอาจจะทำให้เรามั่นใจได้ในบางช่วงก็จริง แต่สมมุติแฟนเขาโทรมาตามหรือหยิบตลับแป้งขึ้นมาเติมหน้า เราก็อาจจะหลุดได้เลยทีเดียว
[Kantayu]
ผมคิดไม่เหมือนแซมแหะ ผมคิดว่าบอกได้ว่ามันตลก สิ่งที่ห้ามเลยผมว่า เราต้องเตรียมตัว อย่างโนะก็มีวิธีเตรียมตัวแบบของเขา ต้องไม่สด ช่วงแรกๆ ที่ผมเริ่ม เคยมีเป็นรอบซ้อมเนี่ยแหละ แต่ไปซ้อมแบบไม่เตรียมตัว กินเบียร์ขึ้นไป เมาแล้วลืมบทหมดเลย ไม่ว่าทางไหนก็ตาม ต้องเตรียมเรื่อง ต้องเตรียมตัว คนอื่นถึงจะไม่เตรียม ก็ต้องมีไอเดียอะไรบ้างอย่าง ถ้าขึ้นไปแล้วโดนบอมบ์ มันก็จะเงียบตลอดโชว์ แล้วเสียความมั่นใจไปเลย
[Pippo]
ผมคิดคล้ายๆ ยูเลยคือต้องเตรียมตัว มันเป็นการ performance ต้องเตรียมตัวทางใดทางหนึ่ง แต่การเตรียมตัวของบางคนอาจจะไม่ใช่การเขียนบทหรือซ้อม บางคนก็ improvise เก่ง แต่เขาอาจจะต้องเก็บวัตถุดิบ ต้องโกย จดมุขหรืออะไรไว้ ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เก็บตัวแต่อยู่ในห้องแล้วจะขึ้นไปเล่นได้เลย
มีสิ่งหนึ่งตั้งแต่สมัยเล่นละครเวที คือจะยังไงก็ได้แต่เราต้องสนุก เพราะถ้าเราไม่รู้สึกสนุก คนดูก็จะไม่สนุกตามไปด้วย ถึงจะเล่นบทเครียดเราก็ต้องสนุก เพราะผมไป crack ได้ตอนแรกเล่นละครเวที แล้วน้องมันไม่สนุก ผมบอกน้องว่าเล่นยังไงก็ได้ให้มึงสนุก กลายเป็นว่ามันออกมาดี ถึงจะไม่ใช่บทตลกก็เหอะ
[Katanyu]
ขอเสริม จำได้ว่าตอนแรกๆ ที่ผมเคยไปเล่นแล้วเราไม่สนุก พอเราเครียดคนดูก็สัมผัสได้ ตอนนั้นจำได้ว่าโทรไปหาน้าเน็ก น้าบอกว่ามึงคนเดียวเลยยู มันจะสนุกหรือไม่สนุก ขึ้นอยุ่กับมึงเลย ถ้ามึงสนุกงานมันก็สนุก ถ้าเราไม่สนุกก็ไปทั้งบางเลยนะ
ช่วงถาม-ตอบ, แชร์ประสบการณ์
8. [คุณ A] ผมเป็น stand-up comedian อยู่ที่ Norway อยากลองกลับไปเล่นยืนเดี่ยวสักครั้ง แต่ไม่แน่ใจมุขมันจะคลิกกันไหม เอาไปเล่นที่ไทยจะเวิร์คไหม
[Pippo]
ผมเคยมีสถานการณ์เหมือนกัน คือผมต้องเล่นเป็นภาษาอังกฤษในคลับ ลองดูว่าถ้าเขียนภาษาไทยแล้วไปเล่นเป็นภาษาอังกฤษมันจะตลกไหม เพราะอย่างของฝรั่งมันไม่มีแบบ ปู ชง ตบ อันนึงที่ชอบมากเจ้า bebenz ที่พูดภาษาอังกฤษแบบติดลบมาก พื้นฐานบรรลัยมาก แต่ขึ้นไปเล่นภาษาอังกฤษมันก็เล่นได้ เพราะหนึ่งมันมั่นใจ วิธีในการตลกมีเยอะมาก การทำตัวเองให้ตัวทึ่ม โชว์เลยว่าอังกฤษกูแย่ ให้มึงรู้เลยว่ากูแย่ แล้วกูจะพยายาม ผมว่ากำแพงภาษาเนี่ยไม่ไ่ด้มีผลเท่าไร แต่ถ้าอยากรู้ว่าเขาจะเก็ทไม่เก็ท ให้ลองไป hang out กับเพื่อนชาวไทยแล้วลองเล่นแล้วเก็บ feedback ดู จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไงก่อน
[Fax]
ผมเจอปัญหาเดียวกัน แต่ผมกลับด้านกัน ผมไปเล่นให้ฝรั่งฟัง เขียนบทไปก็คิดว่าฝรั่งมันจะขำไหมว่ะ แต่ผมคิดว่าแม่งกลายเป็นจุดแข็งอย่างนึงเพราะเราเอาความเป็นไทยไปเล่าให้เขาฟัง กลายเป็นเขาก็อยากรู้อยากเห็น แหงนหน้าแหงนคอขึ้นมาสนใจกันเต็ม เราทำให้เขาสนใจในเรื่องที่เขาไม่รู้ ถ้าคุณพอจะเสพคอนเทนต์ไทยอยู่แล้ว ผมว่ามันน่าจะพอ relate ได้อยู่ แต่ต้องไปดูด้วยว่ามันมีเส้นไหม ถ้ามันเกินเส้นไปอาจจะต้องถอยออกมาหน่อย เพราะคนไทยอาจจะไม่ได้เปิดรับได้เต็มที่เหมือนกับฝรั่งในบางเรื่อง
9. [คุณ B] ขึ้นมาแชร์เรื่องเล่า
งานที่ผมกำลังทำเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับคนที่มีความบกพร่องทางร่างกายทั้งตั้งแต่กำเนิดหรือพึ่งเป็น ผมว่างาน stand-up comedy มันน่าจะนำมาเกี่ยวกับ education ได้ ทำให้คนดูไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเหมือนนั่งฟัง lecture วันนี้มันอาจจะกลายเป็นเหมือน TED Talks ก็ได้
[Pippo]
สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมกำลังทดลองทำอยู่ คำว่า sense of community เนี่ย คุณจำได้ไหมอย่างเช่นตอน ที่มีคนใช้ hashtag เสาหลักจะไม่หักอีกต่อไป เนี่ยคนทั่วไปไม่ขำเลย แต่ถ้าเป็นเด็กจุฬาจะขำกันกากเลย มันเป็นสิ่งที่ตลกเฉพาะคน แล้วมันเป็น organic share กันต่อไป
ผมพึ่งมีทดลองเล่นไป มีเพื่อนสนิทผมคนนึงพึ่งผูกคอตายเพราะว่าเป็นโรคซึมเศร้า ผมก็ลองไปเล่าเรื่องให้คนขำไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องของผู้ชายคนนึง แล้วตอนจบผมก็เลยบอกว่าทุกมุขทุกเสียงหัวเราะที่ผ่านมา ผมขอ dedicate ให้คนคนนึงที่อยู่บนสวรรค์ เพราะเขาเป็นซึมเศร้า ผมพยายามลองแบบนี้เพื่อให้คนที่เป็นซึมเศร้าได้เข้าใจมัน หรือผมเองก็เป็นคนนึงที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ผมก็อยู่ได้ด้วยการเคลือบตัวเองด้วยความขบขัน ทำให้ชีวิตเราอยู่ต่อไปได้ อาจจะเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราอันนึงเลยคืออยากช่วยให้คนที่มีความบกพร่องหรือช่วยเหลือผู้คนต่างๆ
[คุณ B]
Culture มันสามารสร้าง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราอาจจะต้องทำให้มันเป็นกิจวัตร เช่น อาจจะมีการทำยืนเดี่ยวแบบ virtual แบบให้ทุกคนอัดคลิปแล้วเอามาต่อๆกัน แต่ละคนพูดว่า dedicate ให้ใคร ให้คุณสร้างเสียงหัวเราะต่อกันไปเรื่อยๆ ผมว่า damage มันรุนแรงได้ระดับพี่โน้ตเลยนะ
ผมเคยเจอคนหูหนวก คนตาบอด คนที่มีความบกพร่องในร่างกาย วิธีการสื่อสารกับคนพวกนี้คือเราจับมือ ใช้ภาษามือ คนยังไม่รู้เรื่องพวกนี้อีกเยอะ ผมอยากให้รู้ว่าคนเราไม่ควรด่วนไปตัดสินใคร อยากให้คนเข้ามาฟังเยอะๆ แล้วคนจะได้ไม่ด่วนสรุป สังคมไทยบางทีอาจจะชอบด่วนสรุป เห้ยคนนี้ไม่ดีนะ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักเลย เรามาใช้พื้นที่ Clubhouse มาสร้างประโยชน์กับเรื่องพวกนี้กัน
10. อยากให้ทุกคนฝากสั้นๆ สักนิดนึงว่า ถ้าคนที่ฟังอยู่อยากจะขึ้นมาอยู่บนเวที มาเป็น stand-up comedy แบบทุกคนในที่นี้ เขาควรจะต้องมีอะไร หรือมีคำแนะนำอะไรบ้าง
[Pippo]
อยากให้ลองเขียน ลองโพสลง Facebook ก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องกังวลถึงเรื่องสถานที่ ลองเล่าเรื่องก่อน ลองเอามุมมองหรือสิ่งที่เจอมาเล่าให้ได้ก่อน
[โนะ]
อย่าดูถูกความคิดโง่ๆ ของตัวเอง ทุกอย่างเป็น source ได้หมด
[Fax]
ผมชอบที่พี่โนะพูด เรื่องตลกผมว่าคือเรื่องโง่ๆ ที่คนชอบบอกว่า เห้ย มึงจะคิดเรื่องนี้ทำไมว่ะ เพราะคนรอบๆ ตัวฟังแล้วมันจะแบบเซอร์ไพรส์ ถ้าเรา open เรื่องพวกนี้ให้มันเข้ามาอยู่ใน creative ของเรา ทุกคนมี perspective ที่ต่างกันไป เราก็อาจจะเห็นเรื่องที่มันตลกได้
[Sam]
ผมว่าต้องช่างสังเกตเยอะๆ แล้วมาคิดว่าเราจะเอามาทำอะไรได้บ้าง ไม่ต้องตั้งใจสังเกตก็ได้ แต่คิดบ่อยๆ ดูบ่อยๆ มันก็อาจจะมาเองได้ มันเป็น sense บางทีนึกบางอย่างก็เป็นมุขได้ แต่บางทีมันก็อธิบายยาก
[Katanyu]
สิ่งที่ทุกคนแนะนำมาก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี อยากให้ลองเล่นดูนะ อยากให้ลองไปดูคนอื่นเล่น แล้วก็เพิ่มความห้าวแล้วมาลองเล่นดูเลย ผมเปิดพื้นที่ให้คนหน้าใหม่เข้ามาทดลองทำ มาลองเล่น มาแจมกับยืนเดี่ยว ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกัน
Date: 21 FEB 2021 (22:00 - 23:00)
Speaker
@khajochi คุณเอ็ม (Khajochi's Blog)
@katanyu คุณยู (A Katanyu)
@samponsan คุณแซม (Mango Zero, GetTalks)
@nhowaraha คุณโนะ (ยืนเดี่ยว, Resindrome)
@pippo41 คุณปิ๊ปโป้ (Storylog, Fictionlog, Bearcave Studio)
@kanitkornfax คุณแฟ๊ก (ยืนเดี่ยว)
#iCreatorClubhouse #RAiNMaker #Clubhouse #ClubhouseTH #ClubhouseThailand #Khajochi #AKatanyu #Katanyu #ยืนเดี่ยว #Pippo #Storylog #Fictionlog #BearcaveStudios #Resindrome #standupcomedy #standupcomedythailand #standupcomedyTH #todayinoteto #วันนี้สรุปมา
โฆษณา