22 ก.พ. 2021 เวลา 11:00 • ธุรกิจ
แชร์ประสบการณ์ซื้อกองทุนรวมครั้งแรก!
ใครยังกล้าๆ กลัวๆ การลงทุน มาดู
คนรอบข้างมักเข้าใจผิด หากเมื่อพูดถึงการลงทุนแล้ว คือต้องมีเงินเยอะเท่านั้น
พาลให้ไม่กล้าลองวิธีอะไรเลยที่จะช่วยให้เงินงอกเงย นอกจากฝากเงินเข้าธนาคาร ...รอให้มีเงินก้อนใหญ่ก่อน (ในสักวันหนึ่ง)
.
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ไม่เคยเริ่มต้นให้เงินทำงานจริงๆ เสียที ก็มาจากสารพัดข้ออ้างที่คิดเอาเองทั้งนั้น
"ทุกวันนี้ยังต้องใช้หนี้อยู่เลย จะเอาที่ไหนไปออม"
"เงินไม่ถึงหมื่น ลงทุนไม่คุ้มหรอก"
"ไม่กล้าไปปรึกษากองทุนกับธนาคาร กลัวเสียค่าปรึกษา"
แน่นอน ฉันก็เคยคิดแบบนี้จนกระทั้งเลิกคิดถึงเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวล
ย้อนกลับไปปี 2562 ฉันยังเป็นน้องใหม่แห่งวัยทำงาน ด้วยเงินเดือนหมื่นต้นๆ
ระหว่างกินข้าวก็หายูทูปฟังไปด้วย จนไปเจอคลิปหนึ่งเป็นช่องการเงินของ Money matters แต่มีคำหนึ่งที่ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ คือคำว่า “กองทุนรวม” มันคืออะไร? นั่นคือการเปิดโลกใบใหม่ของฉันเลยทีเดียว
ตัดสินใจหาข้อมูลเพิ่ม เพราะน่าสนใจดี ไม่ต้องเสี่ยงซื้อหุ้นเอง เงินน้อยก็ลงทุนได้แถมมีผู้จัดการเสร็จสรรพ
**** เกร็ดน่ารู้ **** กองทุนรวมซื้อได้กับทุกธนาคาร ส่วนใหญ่เริ่มต้นเพียงกองทุนละ 500 บาท (แต่บาง บลจ.ไม่มีขั้นต่ำ เริ่มได้ตั้งแต่บาทเดียว!) เพราะกองทุนรวม คือ ทุนที่มากองรวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่
จากนั้นนำไปลงตามสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามนโยบายการลงทุน และกระจายความเสี่ยงมาเสร็จสรรพ
ดังนั้นการซื้อกองทุนด้วยเงินมาก เงินน้อย ก็กำไรขาดทุนคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เหมือนกันทุกคน
ค่าธรรมเนียมการซื้อขายก็คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เช่นกัน ********************
.
ที่สำคัญ!! การปรึกษา เปิดกองทุนกับเจ้าหน้าที่คือฟรี ไม่มีค่าบริการใดๆ เพราะค่าธรรมเนียมอยู่ในกองทุนที่เราซื้อไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากเข้าใจกองทุนรวมนิดหน่อยแล้ว สัปดาห์ต่อมาฉันเตรียมไปปรึกษาผู้จัดการกองทุนเต็มที่
แต่การติดต่อหรือปรึกษาผู้จัดการกองทุนต้องไปในช่วงเวลาทำการ ซึ่งตรงกับวันทำงาน ก็ใช้เวลาพักเที่ยง ขอลา 1-2 ชั่วโมงเพื่อไปจัดการธุระที่ธนาคาร
.
หัวหน้า : แล้วถ้าไปที่ห้างหลังเลิกงานไม่ได้หรือ?
ฉัน : ไม่ได้เลยค่ะ เพราะหนูต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่
ที่ขำคือเพื่อนร่วมงานคิดว่าเราต้องรีบไปไกล่เกลี่ยหนี้ซะงั้น เพราะดูกระวนกระวายเหลือเกิน เพิ่งมาอธิบายเอาตอนหลัง 😂😂
.
กำเงิน 3,000 ก้าวขาเข้าธนาคาร เพื่อซื้อกองทุนรวมอย่างกล้าๆ กลัวๆ
กังวลในใจ 3,000 น้อยไปไหมนะ จะโดนดูถูกไหมนะ แต่มีแค่นี้จริงๆ..
ไม่มีความรู้ใดๆ อยู่ในหัว
ไม่รู้เลยว่าควรเลิกกองทุนไหน
รู้เพียงแต่ว่า
1. อยากหาทางเลือกอื่น ที่ช่วยเพิ่มเงินได้มากกว่าเงินฝาก
2. ลงทุนโดยไม่มีความเสี่ยงมาก เพราะความรู้ยังมีน้อย
3. ใช้เงินน้อยๆ ลงทุนได้ ขอไม่เกินเดือนละ 2-3 พันบาท
ซึ่งกองทุนรวมตอบโจทย์ทุกข้อ
ฉันเลือกมาธนาคารสีเขียว เหตุผลแรกคือเพราะมาสะดวกที่สุด (อ่าว..)
บอกเจ้าหน้าว่าขอปรึกษาเรื่องกองทุนรวม รอไม่กี่นาทีเจ้าหน้าที่ในชุดสูทก็พาเราเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง เป็นพนังทั้ง 4 ด้านกระจก มีโต๊ะใหญ่ 1 ตัวและเก้าอี้หรู
นี่มันห้องกระจกที่เราสงสัยมาตลอดนี่หว่า!! 😱😱 คิดว่าเป็นห้องประชุมหัวหน้าด้วยซ้ำ เพราะไม่เคยเห็นใครเข้าไปในห้องนี้เลย
.
คำถามแรกที่เจ้าหน้าที่ถามคือ “ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีไหมคะ?”
**** เกร็ดน่ารู้ **** คำถามนี้สำคัญมาก เพราะผู้ซื้อของทุนจะได้รับผลประโยชน์ทางภาษี หากซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พวก RMF, LTF(ภายหลังเปลี่ยน LTF เป็นกองทุน SSF ลดหย่อนภาษีแทน) พูดง่ายๆ คือใช้ลดหย่อนภาษีได้
แต่กว่าจะขายคืนได้ คือ.. RMF ต้องถือยาว 5 ปี และขายคืนได้ตอนอายุ 55 ส่วน SSF ต้องถือยาว 10 ปี ********************
แต่อีก 5 ปีข้างหน้ายังอยากใช้เงิน (เงินยังเย็นไม่พอ)แถมยังไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี จึงตัดทิ้งกองทุนดังกล่าวทิ้งไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่ให้เปิดบัญชีกองทุน (แม้มีบัญชีเงินฝากของธนาคารนั้นๆ แล้ว ก็ต้องเปิดบัญชีกองทุนก่อนซื้อกองทุนอยู่ดี) ได้เซ็นเอกสารเต็มโต๊ะไปหมด
และต้องทำแบบประเมินความเสี่ยงซึ่งเรียกว่า “Suitability Test” ผลประเมินมีระดับ 1-8 จากการรับความเสี่ยงได้น้อยไปความเสี่ยงมาก เจ้าหน้าที่จะแนะนำกองทุนที่เหมาะกับเราตามคะแนนความเสี่ยงได้จากแบบประเมิน
.
ของฉันได้ระดับ 4 จัดว่ากลางๆ ไม่มาก ไม่น้อย แต่ก็ไม่มีประสบการณ์ 😂
เจ้าหน้าที่จึงแนะนำตราสารหนี้ให้ฉันก่อนเบื้องต้น โดยฉันตัดสินใจซื้อตราสารหนี้ 1,000 บาท และตราสารหนี้ระยะ 1 ปี 2,000 บาท
ได้อ่านหนังสือชี้ชวน 2 ชุดใหญ่ (กองทุนละ 1 ชุด)
ด้วยความเป็นมือใหม่ มึนๆ งงๆ อ่านยังไม่รู้เรื่อง (ฮา)
แต่เจ้าหน้าที่น่ารักค่ะ อยากรู้อะไรถามได้หมด ทั้งเน้นย้ำเงื่อนไขต่างๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ขายกองทุนนี้ได้เมื่อไร กองทุนเข้าพอร์ตวันไหน ฯลฯ) พร้อมจดโน้ตย่อให้เราเข้าใจง่ายๆ ด้วย
ยอมรับว่าแอบเซ็งหน่อยๆ
ตอนนั้นคิดว่าถ้ามีเจ้าหน้าที่จัดการให้ ก็น่าจะเลือกกองทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงๆ ได้นี่นา แบบปีละ 10% ไรเงี้ย //วอนอย่าด่าหนู ตอนนั้นหนูไม่รู้
แต่วันนี้กลับได้เพียงกองทุนที่ผลเติบโตนิดเดียวเอง (อย่างมากที่สุดคือกำไรปีละ 3%)
.
**** เกร็ดน่ารู้ **** ความเป็นจริงทำแบบนี้ถูกต้องแล้ว
เพราะหากผู้ถือกองทุนอย่างเราๆ เกิดตกใจกับความผันผวน อาจทำให้พอร์ตลงทุนของเราพังพินาศได้ง่ายๆ ติดลบมากๆ อาจขายทิ้ง หรือบวกมากๆ ก็ได้ใจจนทำให้ “ติดดอย”
หากจิตไม่แข็งพอ ทุนสำรองก็มีไม่มาก ดังนั้นรับความเสี่ยงได้แค่ไหนให้เลือกตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำเป็นดีสุด เลือกสินทรัพย์ที่เราเข้าใจได้ยิ่งดี
หากชอบเล่นเกม ก็เลือกกองทุนที่ลงทุนกับ E-Sport, รักษ์โลกก็เลือกกองทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม, เข้าใจอสังหาฯ ก็เลือกกองทุนอสังหาฯ ********************
.
เดือนต่อมา ฉันมาปรึกษาเจ้าหน้าที่อีกครั้ง (คนละสาขา) ก็ฟรี! และไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
ที่สำคัญคือมีบทวิเคราะห์เข้าอีเมลมาตลอด ทำมาแบบเข้าใจง่าย ให้รู้ความเป็นไปของโลก
ตัวอย่าง Investment Weekly Report ประจำสัปดาห์ของ K Bank
ช่วงเศรษฐกิจขาลง เจ้าหน้าที่ก็จะตอบตามความจริง ว่าสินทรัพย์ไหนไม่ควรซื้อตอนนี้ ฉันกลับบ้านไปมือเปล่าเลยก็มี (เพราะตอนนั้นสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มี ได้ดอกเบี้ยเยอะกว่าตราสารหนี้)
ผู้จัดการกองทุนจัดเป็นผู้ที่มีความเที่ยงตรงสูง ไม่เหมือนสินค้าบางประเภทที่มักยัดเยียดขายของให้ลูกค้า
.
แม้ปัจจุบันหลากหลายโบรกเกอร์กองทุนสามารถเปิดกองทุนและซื้อขายผ่านทางแอปพลิเคชันได้เองที่บ้าน ตัวฉันตอนนี้ก็ซื้อ-ขายกองทุนรวมผ่านแอปพลิเคชันได้เอง
แต่สำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน การพบเจ้าหน้าที่ก่อนจะช่วยคุณได้มาก เกิดไม่เข้าใจก็ปรึกษาเจ้าหน้าที่ตรงนั้นได้เลย เห็นไหม โล่งใจขึ้นเยอะ
.
เมื่อเราเลเวลอัพ เราก็เปลี่ยนกองทุนตามความยากไปเรื่อยๆ
จากตราสารหนี้ เป็นกองทุนหุ้นไทย
จากหุ้นไทยเป็นอเมริกา
สักพักมี Nasdaq กองทุนรักษ์โลก เทคโน
จีน เวียดนาม Nasdaq สับเปลี่ยน เวียนเสริมไปเรื่อยๆ
มองกำไรตอนนี้ชื่นใจจริงๆ
รู้แบบนี้ กำเงินไปหากองทุนตั้งแต่แบงค์ 500 ก็ดี คิคิ
โฆษณา