23 ก.พ. 2021 เวลา 15:25 • ประวัติศาสตร์
โยเซฟ: วีรบุรุษในตำนาน หรือ ร่องรอยประวัติศาสตร์อิสราเอลในถิ่นฟาโรห์
“บัดนี้โยเซฟถูกนำมาถึงอียิปต์ คนอิชมาเอลได้ขายเขาให้กับโปทิฟาร์ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์
ซึ่งเป็นขุนนางคนหนึ่งของฟาโรห์
(ปฐมกาล 39: 1)
“ดังนั้นฟาโรห์จึงตรัสแก่โยเซฟว่า ‘บัดนี้เราขอตั้งเจ้าให้ดูแลทั่วแผ่นดินอียิปต์’
แล้วฟาโรห์ทรงถอดแหวนตราประจำพระองค์จากนิ้วมาสวมที่นิ้วของโยเซฟ...”
(ปฐมกาล 41:41-42)
เรื่องราวของบรรพบุรุษชาวอิสราเอลผู้ซึ่งได้รับเกียรติยศสูงส่งบนแผ่นดินฟาโรห์ ข้อความในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่าในตอนท้ายของบทปฐมกาลถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และการ์ตูนหลายครั้ง ได้แก่ Joseph (1995) และ Joseph: King of Dreams (2000) เรียกได้ว่าไม่แพ้ตอนยอดฮิตที่มีเนื้อเรื่องตามบทอพยพตอนต้นอย่าง The Ten Commandments เลยทีเดียว แต่สำหรับนักวิชาการโดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีพระคัมภีร์ ตลอดจนนักโบราณคดีที่สนใจอาณาบริเวณซีเรีย-ปาเลสไตน์ (Syro-Palestinian archaeology) แล้ว เรื่องราวของโยเซฟนั้นไม่ได้ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินและคติสอนใจดังในหนังและการ์ตูน ทว่านามของ “บุรุษ” ผู้นี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งปริศนาและก่อให้เกิดข้อถกเถียงตามมาอย่างไม่สิ้นสุด
ยาโคบ หรือ อิสราเอล ผู้เป็นบุตรของอิสอัคซึ่งเป็นบุตรของอับราฮัม ยาโคบมีบุตร 12 คน โยเซฟเป็นบุตรคนรองสุดท้องที่บิดารักมาก ก่อให้เกิดความริษยาในหมู่พี่ ๆ จนเกิดการสมคบคิดกันกำจัดเขา โดยการขายโยเซฟให้ชาวอิชมาเอล (มุสลิม) เพื่อไปเป็นทาส ซึ่งชาวอิชมาเอลกลุ่มที่ซื้อตัวเขามานั้นได้เดินทางต่อไปยังอียิปต์และขายเขาให้เป็นทาสรับใช้ของโปทิฟาร์ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของฟาโรห์
ต่อมา นายหญิงภรรยาของโปทิฟาร์พอใจในตัวโยเซฟและพยายามลักลอบมีความสัมพันธ์กับเขา ทว่าเขาปฏิเสธและสั่งสอนนาง จนนางเกิดความไม่พอใจกล่าวหาว่าโยเซฟพยายามปลุกปล้ำ เป็นเหตุให้เขาถูกขังลืมในคุก จนกระทั่งวันดีคืนดีฟาโรห์ทรงสุบิน รับสั่งหาคนทำนายฝัน จากกิตติศัพท์อันลือชื่อของโยเซฟในการทำนายฝันให้กับหัวหน้าพนักงานขนมของฟาโรห์ที่เคยต้องโทษ จึงได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าและทำนายความฝันของฟาโรห์ ที่ว่า ขณะทรงประทับอยู่ริมน้ำไนล์ มีโคสมบูรณ์ขึ้นมาจากแม่น้ำ 7 ตัว และยืนกินใบอ้ออยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่โคซูบผอมอีก 7 ตัว ขึ้นมาจากน้ำและกินโคสมบูรณ์ทั้งหมด แต่ปรากฏว่าโคก็ยังคงซูบผอมอยู่ดี นอกจากสุบินถึงโคแล้ว ยังมีเรื่องต้นข้าว 1 ต้น ที่ออกรวง 7 รวงด้วยกัน ซึ่งงามสมบูรณ์ดี แต่แล้วข้าวอีกต้นหนึ่งก็ออกรวง 7 รวงเช่นเดียวกัน ทว่ากลับเหี่ยวแห้งและข้าวนี้ก็กลืนรวงดีไปจนหมดสิ้น
โยเซฟตีความแล้วทูลว่าหมายถึง ตลอด 7 ปี ต่อไปนี้ดินแดนอียิปต์จะมีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าหลังจากนั้นต่อไปอีก 7 ปี จะตามมาด้วยความกันดารแล้งแค้นไปทั่วแผ่นดิน ดังนั้น ฟาโรห์จึงให้เขาจัดการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โยเซฟดำเนินการเรียกเก็บผลผลิตทางการเกษตรบางส่วนในปีที่อุดมสมบูรณ์มาเก็บสะสมไว้เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ในยามแล้ง ทำให้ชาวอียิปต์สามารถผ่านพ้นช่วงแห้งแล้งยาวนานไปได้ นั่นเป็นเหตุให้โยเซฟได้รับความไว้วางใจจากฟาโรห์และได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของอียิปต์ คือ “วิเซียร์”
ดินแดนคานาอันซึ่งได้รับผลกระทบจากความแห้งแล้งเช่นเดียวกับอียิปต์ เป็นเหตุให้ชาวอิสราเอลอพยพเข้ามาในอียิปต์รวมถึงครอบครัวของโยเซฟ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวในบทอพยพ ความจริงเรื่องของโยเซฟถูกเปิดเผยต่อหน้ายาโคบ พ่อและลูกได้พบหน้ากันอีกครั้งหนึ่งหลังจากพลัดพรากมานาน ชาวอิสราเอลก็ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ต่อไป นั่นเป็นเรื่องราวที่ปรากฏในพระคัมภีร์ แต่เรื่องราวสำหรับนักประวัติศาสตร์ไม่ได้จบลงแค่นั้น
ย้อนกลับมาพิจารณาข้อมูลในพระคัมภีร์กับร่องรอยหรือเบาะแสที่นักโบราณคดีจะนำไปใช้เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวเรื่องราวและตัวตนของโยเซฟวิเซียร์แห่งอียิปต์ คือ ความอุดมสมบูรณ์และความแห้งแล้งของอียิปต์ในช่วงเวลาเดียวกับที่ปรากฏในพระคัมภีร์ ร่องรอยการอพยพของชาวอิสราเอลจากคานาอัน และเบาะแสชาวอิสราเอลในอียิปต์ นอกจากร่องรอยเรื่องราวของโยเซฟแล้ว นักโบราณคดีพระคัมภีร์ก็มีความพยายามพิสูจน์การมีตัวตนของอับราฮัมผู้เป็นปฐมอัครบิดร (Patriarch) ของชาวอิสราเอลด้วย
นักโบราณคดีพระคัมภีร์อเมริกันนาม วิลเลียม อัลไบรท์ (William F. Albright) ผู้เชื่อมั่นในพื้นฐานประวัติศาสตร์จากเรื่องราวในพระคัมภีร์ได้ออกสำรวจดินแดนพื้นที่สูงคานาอัน เพื่อเสาะหาร่องรอยของกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ของอับราฮัมและทายาท ซึ่งประมาณการอายุอยู่ในช่วง 2,100 ปีก่อนคริสตกาล คำนวณจากระยะเวลาที่ระบุในพระคัมภีร์ นั่นคือ การอพยพเกิดขึ้นก่อนที่กษัตริย์โซโลมอนจะสร้างวิหารในปีที่ 4 ของรัชกาล (นี่ถือเป็นจุดอ้างอิงเพราะทราบระยะเวลาที่แท้จริง โดยเปรียบเทียบจากหลักฐานในดินแดนอื่น ๆ ที่มีการอ้างถึง) เป็นเวลา 480 ปี และการที่ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสในอียิปต์ก่อนหน้าการอพยพอีกกว่า 430 ปี บวกเพิ่มด้วยค่าประมาณอายุของอัครบิดร 200 ปี เราจะสามารถคำนวณเวลาคร่าว ๆ ช่วงที่อับราฮัมมีชีวิตเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ดุจเดียวกับชาวเบดูอินได้ตามที่อัลไบรท์อ้างอิง
แต่ความพยายามของอัลไบรท์ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อไม่พบร่องรอยของการอพยพออกจากเมโสโปรเตเมียมาทางทิศตะวันตกยังดินแดนคานาอัน ตามเรื่องราวการอพยพของอับราฮัมในพระคัมภีร์ เมื่อไม่สามารถหาหลักฐานทางโบราณคดีมายืนยันการอพยพดังกล่าวได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือในการเป็น “บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์” ของอับราฮัมแทบหมดสิ้นไปโดยปริยาย นั่นรวมถึงลูกหลานของเขาด้วยซึ่งก็คือ โยเซฟด้วย แม้จะมีความพยายามของนักโบราณคดีอีกหลายท่านที่เสาะหาร่องรอยในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ได้ผลที่น่าผิดหวังเช่นเคย
สำหรับเรื่องราวของโยเซฟ ตามพระคัมภีร์กล่าวถึง การที่เขาถูกขายให้กับกองคาราวานสินค้าของชาวอิชมาอิลที่ใช้อูฐเป็นพาหนะลากจูง และจากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้เราทราบว่าอูฐไม่เคยถูกนำมาเลี้ยงและใช้งานจนกระทั่งหลัง 2,000 ปีก่อนคริสตกาลไปแล้ว และไม่นิยมใช้แพร่หลายในดินแดนตะวันออกกลางจนกระทั่ง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล นั่นสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องราวของโยเซฟนั้นไม่ว่าจะมีพื้นฐานความจริงทางประวัติศาสตร์หรือไม่ก็ตาม แต่ได้ถูกเขียนขึ้นหลัง 1,000 ปีก่อนคริสตกาลอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่พระคัมภีร์อธิบายถึง เป็นภาพของการค้าแถบทะเลอาระเบียในช่วง 800-700 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง เห็นได้จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่เทล เจ็มเมแฮ่มน์ (Tell Jemmeh)
จากความพยายามดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าเรื่องราวของอับราฮัมจนกระทั่งเรื่องราวของโยเซฟวิเซียร์แห่งอียิปต์นั้น ดูยากที่จะเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานทางโบราณคดีมายืนยันได้ ทั้งยังพบหลักฐานที่ขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้แวดวงวิชาการเริ่มจะยอมรับว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียง “ตำนานของชนเผ่าอิสราเอล” มากกว่าจะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์
แต่ไม่ใช่สำหรับนักโบราณคดีอียิปต์ผู้พยายามปลุกกระแสความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ในฐานะ “บันทึกประวัติศาสตร์” อย่าง เดวิด โรห์ล (David Rohl) เขามุ่งโจมตีลำดับเวลาทางประวัติศาสตร์เดิมที่บรรดานักโบราณคดีอียิปต์ยึดถือ ถึงกับกล่าวว่า “เรากำลังเดินทางค้นหาร่องรอยตามพระคัมภีร์ได้ถูกที่แล้ว แต่ทว่าผิดเวลา” ดังนั้น แหล่งโบราณคดีและเรื่องราวในพระคัมภีร์สอดคล้องต้องกันเพียงแต่ขยับเวลาให้ตรงกันมากขึ้น กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ ตามลำดับเวลาเดิมนักวิชาการเชื่อกันว่า ฟาโรห์รามเสสที่ 2 หรือ รามเสสมหาราชแห่งราชวงศ์ที่ 19 ของอียิปต์นั้นเป็นองค์เดียวกับฟาโรห์แห่งการอพยพ (pharaoh of the exodus) นั่นเท่ากับว่าพระองค์ทรงเกิดร่วมสมัยกับโมเสส (หากเชื่อว่าโมเสสมีตัวตนทางประวัติศาสตร์จริง) ในช่วงเวลา 1294-1213 ก่อนคริสตกาล แต่โรห์ลเชื่อว่า รามเสสมหาราชไม่ใช่ฟาโรห์แห่งการอพยพ แต่เป็นฟาโรห์ผู้กรีฑาทัพเข้าทำลายกรุงเยรูซาเล็มในสมัยกษัตริย์โซโลมอน โดยอ้างหลักฐานสำคัญคือ จารึกที่ปรากฏคำว่า “Shalem” (Sh-a-l-m) หรือ Jerusalem (เยรูซาเล็ม) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รามเสสยกทัพเข้ารุกราน โดยจารึกดังกล่าวอยู่ที่วิหารของรามเสสที่ 2 ในลักซอร์ อีกหนึ่งข้อกล่าวอ้างของเขาคือ เรื่องชื่อของ Ramesses ในภาษาฮิบรูสอดคล้องกับชื่อฟาโรห์ Shishak ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ ดังนั้น ตามลำดับเวลาใหม่ของเขารามเสสที่ 2 จะมีชีวิตอยู่ในช่วง 943- 877 ก่อนคริสตกาล นั่นทำให้ช่วงเวลาก่อนหน้ารัชสมัยของรามเสสต้องได้รับการพิจารณาใหม่ทั้งหมด (ในหนังสือ Pharaohs and Kings A Biblical Quest หรือ A Test of Time: The Bible—from Myth to History ของโรห์ลมีคำอธิบายและโน้มน้าวใจเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ)
ภาพที่ 1 หน้าปกหนังสือ A Test of Time ของเดวิด โรห์ล
แสดงภาพกราฟิกที่สร้างจากชิ้นส่วนรูปสลักที่โรห์ลเชื่อว่าเป็น “วิเซียร์โยเซฟ”
โรห์ลใช้ชุดคำอธิบายดังกล่าวนี้ในการพิสูจน์เรื่องราวของโยเซฟด้วยเช่นกัน ตามการวิเคราะห์และลำดับเวลาใหม่ของเขา โยเซฟควรจะมีชีวิตอยู่ในอียิปต์ช่วงระหว่าง 1683- 1662 ก่อนคริสตกาล ตรงกับรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 (Amenemhat III) แห่งราชวงศ์ที่ 12 โดยนับถอยหลังจากการที่กษัตริย์โซโลมอนอยู่ร่วมสมัยกับฟาโรห์รามเสสที่ 2 โรห์ลอ้างอิงจากบันทึกของโยเซฟัส (Josephus) ที่เชื่อว่าเขาได้พบเห็นหลักฐานในช่วงศตวรรษแรกของคริสตกาล ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเขียนบันทึกนี้ขึ้น (ดังนั้น บันทึกของเขาน่าจะเก่าแก่กว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่าฉบับภาษาฮิบรู) กล่าวถึง ระยะตั้งแต่อับราฮัมเดินทางเข้ามาสู่ดินแดนคานาจนกระทั่งถึงเหตุการณ์อพยพรวมเวลาทั้งสิ้น 430 ปี โดยนับเป็นเวลาหลังจากยาโคบอพยพเข้าสู่อียิปต์แล้ว 215 ปี ดังนั้น ชาวอิสราเอลจึงใช้เวลาอยู่ในอียิปต์ทั้งหมด 215 ปี บันทึกของโยเซฟัสกล่าวตรงกับพระคัมภีร์ฉบับภาษากรีก (Septuagint) ดังนั้น โรห์ลจึงเริ่มนับถอยหลังจากจุดตั้งต้นคือ ปีที่รามเสสที่ 2 ทำลายวิหารโซโลมอนในปี 925 ก่อนคริสตกาล นับถอยหลังไปจนกระทั่งถึงการอพยพที่โมเสสนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ประมาณปี 1447 ปีก่อนคริสตกาล จากนั้นจึงบวกเพิ่มระยะเวลา 215 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวอิสราเอลอยู่ในอียิปต์ ดังนั้น โรห์ลจะได้ระยะเวลาที่ยาโคบและพวกพ้องอพยพเข้าสู่อียิปต์ และได้อยู่ร่วมกับวิเซียร์โยเซฟอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ 1662 ปีก่อนคริสตกาล ตรงกับรัชสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 พอดี โรห์ลจึงเริ่มหาร่องรอยของโยเซฟในช่วงเวลาดังกล่าว
เมื่อโรห์ลเชื่อว่าโยเซฟเป็นบุคคลที่มีตัวตนทางประวัติศาสตร์ เขาจึงค้นหาร่องรอยของความอุดมสมบูรณ์และความแห้งแล้งครั้งใหญ่ดังที่ในพระคัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้ และเขาได้นำเสนอหลักฐานที่สามารถโน้มน้าวให้บรรดาผู้อ่านของเขาเชื่อว่าโยเซฟน่าจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง ที่สำคัญมีดังนี้
จากระดับน้ำที่ถูกบันทึกในจารึกเซมนา (the Semna inscriptions) อยู่ทางตอนใต้ของอียิปต์ที่ได้ก่อสร้างเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานจากอาณาจักรคุช (Kingdom of Kush) โดยระบุระดับน้ำและระบุว่าเป็นปีที่เท่าไหร่ในการครองรายช์ของฟาโรห์ ทำให้โรห์ลเชื่อว่านี่เป็นร่องรอยของช่วงปีที่อุดมสมบูรณ์และปีที่ขาดแคลนตามพระคัมภีร์ ในช่วงหน้าร้อนระดับน้ำในลำน้ำไนล์จะสูงกว่าระดับปกติหลายเมตร ทำให้เอ่อท่วมบริเวณรอบข้างเป็นวงกว้าง การบันทึกระดับน้ำในลักษณะดังกล่าวนี้ พบในสมัยอาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) โรห์ลและนักโบราณคดีอียิปต์หลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ชาวอียิปต์ต้องบันทึกและเปรียบเทียบระดับน้ำโดยละเอียดทุกปีนั้น เป็นเพราะในช่วงสมัยดังกล่าว มีสภาพระดับน้ำที่ผิดแผกไปจากที่เคยและไม่คงเส้นคงวา เมื่อลองเปรียบเทียบระดับน้ำของแม่น้ำไนล์ตามที่บันทึกไว้กับระดับน้ำในปัจจุบัน
ภาพที่ 2 แสดงตำแหน่งป้อมปราการเซมนาที่พบจารึกบันทึกระดับน้ำในแม่น้ำไนล์
ภาพจากหนังสือ A Test of Time ของ David Rohl
สำหรับในปัจจุบันช่วงที่น้ำขึ้นสูงสุด (เดือนสิงหาคม) จะสูงถึง 12 เมตร จากระดับน้ำปกติ แต่เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาจากที่บันทึกในสมัยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำไนล์เคยขึ้นสูงถึง 19 เมตร จากระดับน้ำปกติ สำหรับระดับน้ำที่มีการบันทึกก่อนหน้านั้นคือ ในราชวงศ์ที่ 12 จะสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 11.3 เมตร จะเห็นได้ว่าระดับน้ำในรัชสมัยของอาเมเนมเฮตนั้นสูงกว่าปกติ จึงช่วยยืนยันความคิดของโรห์ลเกี่ยวกับการมีตัวตนของโยเซฟร่วมสมัยกับอาเมเนมเฮตที่ 3 ซึ่งมีช่วงเวลาที่น้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผลการเกษตรให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก
ข้างต้นเป็นร่องรอยที่แสดงถึงน้ำท่าและอาหารบริบูรณ์ ทว่าหลังจากนั้นในรัชสมัยของฟาโรห์องค์เดิมพบว่าระดับน้ำในลำน้ำไนล์ขึ้นสูงจนถึง 21 เมตร จากระดับน้ำช่วงปกติ แต่นั่นเกินระดับของความอุดมสมบูรณ์และเข้าสู่สภาวะอุทกภัย สะท้อนให้เห็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ไร่นาถูกน้ำท่วมไม่สามารถเพาะปลูกได้ แม้จะไม่ใช่ความแห้งแล้งดังที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ ทว่าก็เป็นสภาวะที่ทำให้ขาดแคลนอาหารไม่ต่างกับในพระคัมภีร์ อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ช่วงระยะเวลาระหว่างปีที่น้ำอุดมสมบูรณ์กับปีที่น้ำท่วมนั้นไม่ได้ห่างกันเพียง 7 ปี ตามบทปฐมกาล ทว่าห่างกันถึง 20 ปี อย่างไรก็ตาม โรห์ลไม่ได้อธิบายถึงความแตกต่างเหล่านี้เอาไว้
นอกจากการเฝ้าระวังและสังเกตการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำไนล์อย่างใกล้ชิดแล้ว โรห์ลพบหลักฐานที่พอจะสนับสนุนความเชื่อของเขาอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ในรัชสมัยของอเมเนมเฮตที่ 3 ได้สร้างพีระมิดเอาไว้ถึง 2 แห่ง ได้แก่ พีระมิดแห่งฮาวารา (Hawara) ที่อยู่บริเวณแอ่งไฟยุม (Faiyum basin) และพีระมิดแห่งดาชูร์ (Dashur) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “พีระมิดดำ” (The Black Pyramid) อยู่บริเวณตอนล่างของอียิปต์ โรห์ลเชื่อว่า พีระมิดดังกล่าวนี้นอกจากสร้างเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของฟาโรห์แล้ว ก่อนหน้านั้นยังใช้งานในการเก็บสะสมผลผลิตในที่เก็บเกี่ยวได้ในช่วงปีที่อุดมสมบูรณ์เพื่อสำรองไว้ใช้ในยามที่ขาดแคลน เขายังชื่ออีกว่าผู้ที่ดูแลพีระมิดเหล่านี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “วิเซียร์โยเซฟ” นั่นเอง กระนั้นก็ตาม ข้อสันนิษฐานนี้ของโรห์ลก็ยังไม่ได้รับการยืนยันที่น่าเชื่อถือมากพอแต่ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเมื่อพิจารณาจากร่องรอยที่จะกล่าวถึงต่อไป
หลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่โรห์ลพยายามนำเสนอและสอดคล้องกับเรื่องราวของโยเซฟเป็นอย่างดีก็คือ ระบบการจัดการน้ำในสมัยฟาโรห์อเมเนมเฮตที่ 3 ที่มีการขุดคลองระบายน้ำระหว่างแอ่งไฟยุมไปสู่ทะเลสาบมอริส (Lake Moeris) คลองดังกล่าวขุดคู่ขนานไปกับลำน้ำไนล์เป็นระยะทางยาวกว่า 200 กิโลเมตร นั่นไม่สำคัญเท่ากับชื่อของมัน ที่ชาวอียิปต์รู้จักกันในปัจจุบันว่า “Bahr Yussef” หรือ “waterway of Joseph” ในภาษาอังกฤษ ใช่แล้ว !! พวกเขาเรียกมันว่า “ทางน้ำของโยเซฟ” นี่ช่วยสนับสนุนข้อกล่าวอ้างทั้ง 2 ข้อ ข้างต้นของเดวิด โรห์ล แต่ชื่อเรียกเช่นนี้ ปราฏกตั้งแต่เมื่อไหร่ ? อันนี้เป็นปัญหาสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของข้ออ้างดังกล่าวนี้
ที่ผู้เขียนกล่าวว่าชื่อเรียก “ทางน้ำของโยเซฟ” เริ่มมีการเรียกมาตั้งแต่หนไหนนั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่า นี่อาจไม่ได้เป็นชื่อเรียกดั้งเดิมที่เก่าแก่ถึงสมัยของฟาโรห์อเมเนมเฮตที่โรห์ลเชื่อว่าวิเซียร์โยเซฟมีตัวตนอยู่จริง แต่ถ้ามันเก่าแก่มากพอ ก่อนยุคสมัยที่อารยธรรมโรมันจะแพร่เข้าไปในอียิปต์ก็นับว่าเรื่องราวของโยเซฟเป็นที่เล่าขานมาช้านานและอาจมีมูลความจริง แต่ถ้าหลังจากนั้น น้ำหนักและความน่าเชื่อถือของหลักฐานก็จะลดลง เมื่อพิจารณาว่าครั้งหนึ่งในช่วงยุคที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ยุคโบราณตอนปลาย (Late Antiquity) บริเวณตอนเหนือของแอฟริกาได้รับอิทธิพลของศาสนาคริสต์และศาสนายูดาย แน่นอนว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์ย่อมต้องส่งผลต่อการรับรู้ของชาวอียิปต์ในเวลานั้น และอาจมีการตั้งชื่อคลองดังกล่าวให้สอดคล้องกับชื่อของโยเซฟตามเรื่องราวในพระคัมภีร์ที่อ้างว่าเกิดขึ้นในดินแดนแห่งฟาโรห์
ภาพที่ 3 แสดงเวิ้งน้ำของ The Bahr Yussef
แนวคิดเรื่องชื่อแม่น้ำหรือคูคลอง อาจปรากฏในภายหลังเลียนแบบชื่อตามตำนานของศาสนาคริสต์ เพราะในช่วงศตวรรษที่ 2-6 ดินแดนอียิปต์โบราณนั้นได้รับอิทธิพลจากคริสต์ศาสนาก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามาแทนที่ ดังนั้น หากสามารถพิสูจน์ช่วงเวลาที่ชาวอียิปต์เริ่มเรียก “ทางน้ำของโยเซฟ” ได้ ก็อาจจะทำให้ข้อกล่าวอ้างมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม โรห์ลไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้เอาไว้ในหนังสือของเขา ไม่ว่าจะโดยที่เขาไม่ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าวหรือข้อมูลไม่สนับสนุนแนวคิดของเขาผู้เขียนก็มิอาจทราบได้ นั่นทำให้การค้นคว้าและนำเสนออันน่าตื่นตาตื่นใจของโรห์ลลดความน่าเชื่อถือลงไป
ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละของโรห์ล ทำให้เขาค้นพบชิ้นส่วนศีรษะของรูปสลักขุนนางคนสำคัญที่สุสานนิรนามในเทล เอ็ด ดาบา (Tell ed-Daba) ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นสุสานของวิเซียร์โยเซฟ หรือนี่จะเป็น โยเซฟจริง ๆ ? โรห์ลเชื่อเช่นนั้น และได้ใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกสร้างภาพรูปปั้นนั้นขึ้นมาใหม่จากชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ (ตามปกหนังสือ A Test of Time ในภาพที่ 1) เขาวิเคราะห์ว่า ในส่วนศีรษะที่พบนั้นไม่ปรากฏให้เห็นร่องรอยของ “เครา” ที่มักพบโดยทั่วไปในรูปสลักฟาโรห์และชาวอียิปต์ทั่วไป นอกจากนี้ ลักษณะทรงผมที่คล้ายรูปเห็ดก็แปลกประหลาดกว่ารูปสลักชาวอียิปต์ทั่วไป ทำให้โรห์ลสรุปว่านี่คือ รูปสลักของคนต่าชาติอย่างแน่นอน ทว่าจะมีเหตุผลอันใดที่ทำให้ต้องมีการสลักรูปของต่างชาติเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง อาจเป็นถึง “วิเซียร์” ก็เป็นได้ และจากเรื่องเล่าขานหรือตำนานต่าง ๆ ก็คงจะมีเพียง “โยเซฟ” เท่านั้น ที่เป็นชาวต่างชาติและได้รับเกียรติสูงส่งเช่นนั้น โรห์ลจึงไม่รอช้าที่จะประกาศว่านี่คือ รูปสลักของโยเซฟ และช่วยยืนยันการมีตัวตนจริงของบุรุษในตำนานผู้นี้ แต่เศษซากรูปสลักเพียงส่วนศีรษะนี้กับบริบทแวดล้อมที่โรห์ลนำเสนอก็ยังไม่ชัดเจนพอที่จะทำให้ทั้งแวดวงวิชาการโบราณคดีอิยิปต์และโบราณคดีพระคัมภีร์ยอมรับแนวคิดของเขาได้ ยังคงมีคำถามและข้อสงสัยอีกมากมายที่โรห์ลและผู้สนับสนุนเขาต้องค้นคว้ามาถกเถียงกันต่อไป
ความพยายามของโรห์ลเป็นเสมือนการจุดประกายความเชื่อที่ว่า พระคัมภีร์เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ เรื่องราวและบุคคลในพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่บันทึกโดยมีพื้นฐานความจริง กระนั้นก็ตาม โรห์ลก็ยังไม่สามารถตอบข้อสงสัยที่นักวิชาการหลายท่านตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่โรห์ลนำมาเสนอ เช่น กรณีชื่อ “ทางน้ำของโยเซฟ” ที่ผู้เขียนตั้งคำถาม เป็นต้น แต่นับว่าเขาได้เปิดพื้นที่การถกเถียงเรื่องความเป็น “บันทึกประวัติศาสตร์” ของพระคัมภีร์ ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในส่วนของพระคัมภีร์เอง โดยพื้นฐานแล้วแม้ว่าจะไม่ได้บันทึกเหตุการณ์ร่วมสมัยกับเนื้อหาในตัวของมันเอง ทว่าเราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์ในยุคที่พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้น เนื่องจากผู้เขียนได้บันทึกสภาพความเป็นอยู่ซึ่งเป็นบริบทร่วมสมัยของเขาลงไปด้วย ดังจะเห็นได้จาก วิถีการใช้อูฐในกองคาราวานสินค้าและภาพของการค้าแถบทะเลอาระเบียในช่วง 800-700 ปีก่อนคริสตกาล ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอไปแล้วตอนต้นนั่นเอง และเรายังสามารถศึกษาสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวยิวในช่วงเวลาดังกล่าวได้อีกไม่น้อยจากคัมภีร์ทางศาสนาที่ถูกปรามาสว่าเป็นเพียงแค่ “ตำนานและนิทานชนเผ่า” นี้เอง
ที่มา ต่วย'ตูน ฉบับพิเศษ
โฆษณา