เรื่องราวของบรรพบุรุษชาวอิสราเอลผู้ซึ่งได้รับเกียรติยศสูงส่งบนแผ่นดินฟาโรห์ ข้อความในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่าในตอนท้ายของบทปฐมกาลถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และการ์ตูนหลายครั้ง ได้แก่ Joseph (1995) และ Joseph: King of Dreams (2000) เรียกได้ว่าไม่แพ้ตอนยอดฮิตที่มีเนื้อเรื่องตามบทอพยพตอนต้นอย่าง The Ten Commandments เลยทีเดียว แต่สำหรับนักวิชาการโดยเฉพาะนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีพระคัมภีร์ ตลอดจนนักโบราณคดีที่สนใจอาณาบริเวณซีเรีย-ปาเลสไตน์ (Syro-Palestinian archaeology) แล้ว เรื่องราวของโยเซฟนั้นไม่ได้ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินและคติสอนใจดังในหนังและการ์ตูน ทว่านามของ “บุรุษ” ผู้นี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งปริศนาและก่อให้เกิดข้อถกเถียงตามมาอย่างไม่สิ้นสุด
ยาโคบ หรือ อิสราเอล ผู้เป็นบุตรของอิสอัคซึ่งเป็นบุตรของอับราฮัม ยาโคบมีบุตร 12 คน โยเซฟเป็นบุตรคนรองสุดท้องที่บิดารักมาก ก่อให้เกิดความริษยาในหมู่พี่ ๆ จนเกิดการสมคบคิดกันกำจัดเขา โดยการขายโยเซฟให้ชาวอิชมาเอล (มุสลิม) เพื่อไปเป็นทาส ซึ่งชาวอิชมาเอลกลุ่มที่ซื้อตัวเขามานั้นได้เดินทางต่อไปยังอียิปต์และขายเขาให้เป็นทาสรับใช้ของโปทิฟาร์ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของฟาโรห์
ต่อมา นายหญิงภรรยาของโปทิฟาร์พอใจในตัวโยเซฟและพยายามลักลอบมีความสัมพันธ์กับเขา ทว่าเขาปฏิเสธและสั่งสอนนาง จนนางเกิดความไม่พอใจกล่าวหาว่าโยเซฟพยายามปลุกปล้ำ เป็นเหตุให้เขาถูกขังลืมในคุก จนกระทั่งวันดีคืนดีฟาโรห์ทรงสุบิน รับสั่งหาคนทำนายฝัน จากกิตติศัพท์อันลือชื่อของโยเซฟในการทำนายฝันให้กับหัวหน้าพนักงานขนมของฟาโรห์ที่เคยต้องโทษ จึงได้รับโอกาสให้เข้าเฝ้าและทำนายความฝันของฟาโรห์ ที่ว่า ขณะทรงประทับอยู่ริมน้ำไนล์ มีโคสมบูรณ์ขึ้นมาจากแม่น้ำ 7 ตัว และยืนกินใบอ้ออยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่โคซูบผอมอีก 7 ตัว ขึ้นมาจากน้ำและกินโคสมบูรณ์ทั้งหมด แต่ปรากฏว่าโคก็ยังคงซูบผอมอยู่ดี นอกจากสุบินถึงโคแล้ว ยังมีเรื่องต้นข้าว 1 ต้น ที่ออกรวง 7 รวงด้วยกัน ซึ่งงามสมบูรณ์ดี แต่แล้วข้าวอีกต้นหนึ่งก็ออกรวง 7 รวงเช่นเดียวกัน ทว่ากลับเหี่ยวแห้งและข้าวนี้ก็กลืนรวงดีไปจนหมดสิ้น
โยเซฟตีความแล้วทูลว่าหมายถึง ตลอด 7 ปี ต่อไปนี้ดินแดนอียิปต์จะมีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ไปทั่วอาณาบริเวณ ทว่าหลังจากนั้นต่อไปอีก 7 ปี จะตามมาด้วยความกันดารแล้งแค้นไปทั่วแผ่นดิน ดังนั้น ฟาโรห์จึงให้เขาจัดการรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โยเซฟดำเนินการเรียกเก็บผลผลิตทางการเกษตรบางส่วนในปีที่อุดมสมบูรณ์มาเก็บสะสมไว้เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ในยามแล้ง ทำให้ชาวอียิปต์สามารถผ่านพ้นช่วงแห้งแล้งยาวนานไปได้ นั่นเป็นเหตุให้โยเซฟได้รับความไว้วางใจจากฟาโรห์และได้ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของอียิปต์ คือ “วิเซียร์”
ดินแดนคานาอันซึ่งได้รับผลกระทบจากความแห้งแล้งเช่นเดียวกับอียิปต์ เป็นเหตุให้ชาวอิสราเอลอพยพเข้ามาในอียิปต์รวมถึงครอบครัวของโยเซฟ ซึ่งนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวในบทอพยพ ความจริงเรื่องของโยเซฟถูกเปิดเผยต่อหน้ายาโคบ พ่อและลูกได้พบหน้ากันอีกครั้งหนึ่งหลังจากพลัดพรากมานาน ชาวอิสราเอลก็ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ต่อไป นั่นเป็นเรื่องราวที่ปรากฏในพระคัมภีร์ แต่เรื่องราวสำหรับนักประวัติศาสตร์ไม่ได้จบลงแค่นั้น
ย้อนกลับมาพิจารณาข้อมูลในพระคัมภีร์กับร่องรอยหรือเบาะแสที่นักโบราณคดีจะนำไปใช้เพื่อไขข้อข้องใจเกี่ยวเรื่องราวและตัวตนของโยเซฟวิเซียร์แห่งอียิปต์ คือ ความอุดมสมบูรณ์และความแห้งแล้งของอียิปต์ในช่วงเวลาเดียวกับที่ปรากฏในพระคัมภีร์ ร่องรอยการอพยพของชาวอิสราเอลจากคานาอัน และเบาะแสชาวอิสราเอลในอียิปต์ นอกจากร่องรอยเรื่องราวของโยเซฟแล้ว นักโบราณคดีพระคัมภีร์ก็มีความพยายามพิสูจน์การมีตัวตนของอับราฮัมผู้เป็นปฐมอัครบิดร (Patriarch) ของชาวอิสราเอลด้วย
นักโบราณคดีพระคัมภีร์อเมริกันนาม วิลเลียม อัลไบรท์ (William F. Albright) ผู้เชื่อมั่นในพื้นฐานประวัติศาสตร์จากเรื่องราวในพระคัมภีร์ได้ออกสำรวจดินแดนพื้นที่สูงคานาอัน เพื่อเสาะหาร่องรอยของกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ของอับราฮัมและทายาท ซึ่งประมาณการอายุอยู่ในช่วง 2,100 ปีก่อนคริสตกาล คำนวณจากระยะเวลาที่ระบุในพระคัมภีร์ นั่นคือ การอพยพเกิดขึ้นก่อนที่กษัตริย์โซโลมอนจะสร้างวิหารในปีที่ 4 ของรัชกาล (นี่ถือเป็นจุดอ้างอิงเพราะทราบระยะเวลาที่แท้จริง โดยเปรียบเทียบจากหลักฐานในดินแดนอื่น ๆ ที่มีการอ้างถึง) เป็นเวลา 480 ปี และการที่ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสในอียิปต์ก่อนหน้าการอพยพอีกกว่า 430 ปี บวกเพิ่มด้วยค่าประมาณอายุของอัครบิดร 200 ปี เราจะสามารถคำนวณเวลาคร่าว ๆ ช่วงที่อับราฮัมมีชีวิตเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ดุจเดียวกับชาวเบดูอินได้ตามที่อัลไบรท์อ้างอิง
แต่ความพยายามของอัลไบรท์ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อไม่พบร่องรอยของการอพยพออกจากเมโสโปรเตเมียมาทางทิศตะวันตกยังดินแดนคานาอัน ตามเรื่องราวการอพยพของอับราฮัมในพระคัมภีร์ เมื่อไม่สามารถหาหลักฐานทางโบราณคดีมายืนยันการอพยพดังกล่าวได้ ทำให้ความน่าเชื่อถือในการเป็น “บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์” ของอับราฮัมแทบหมดสิ้นไปโดยปริยาย นั่นรวมถึงลูกหลานของเขาด้วยซึ่งก็คือ โยเซฟด้วย แม้จะมีความพยายามของนักโบราณคดีอีกหลายท่านที่เสาะหาร่องรอยในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ได้ผลที่น่าผิดหวังเช่นเคย
สำหรับเรื่องราวของโยเซฟ ตามพระคัมภีร์กล่าวถึง การที่เขาถูกขายให้กับกองคาราวานสินค้าของชาวอิชมาอิลที่ใช้อูฐเป็นพาหนะลากจูง และจากหลักฐานทางโบราณคดีทำให้เราทราบว่าอูฐไม่เคยถูกนำมาเลี้ยงและใช้งานจนกระทั่งหลัง 2,000 ปีก่อนคริสตกาลไปแล้ว และไม่นิยมใช้แพร่หลายในดินแดนตะวันออกกลางจนกระทั่ง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล นั่นสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องราวของโยเซฟนั้นไม่ว่าจะมีพื้นฐานความจริงทางประวัติศาสตร์หรือไม่ก็ตาม แต่ได้ถูกเขียนขึ้นหลัง 1,000 ปีก่อนคริสตกาลอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่พระคัมภีร์อธิบายถึง เป็นภาพของการค้าแถบทะเลอาระเบียในช่วง 800-700 ปีก่อนคริสตกาลนั่นเอง เห็นได้จากการขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่เทล เจ็มเมแฮ่มน์ (Tell Jemmeh)
จากความพยายามดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าเรื่องราวของอับราฮัมจนกระทั่งเรื่องราวของโยเซฟวิเซียร์แห่งอียิปต์นั้น ดูยากที่จะเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานทางโบราณคดีมายืนยันได้ ทั้งยังพบหลักฐานที่ขัดแย้งกันจนเป็นเหตุให้แวดวงวิชาการเริ่มจะยอมรับว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียง “ตำนานของชนเผ่าอิสราเอล” มากกว่าจะเป็นบันทึกประวัติศาสตร์
แต่ไม่ใช่สำหรับนักโบราณคดีอียิปต์ผู้พยายามปลุกกระแสความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ในฐานะ “บันทึกประวัติศาสตร์” อย่าง เดวิด โรห์ล (David Rohl) เขามุ่งโจมตีลำดับเวลาทางประวัติศาสตร์เดิมที่บรรดานักโบราณคดีอียิปต์ยึดถือ ถึงกับกล่าวว่า “เรากำลังเดินทางค้นหาร่องรอยตามพระคัมภีร์ได้ถูกที่แล้ว แต่ทว่าผิดเวลา” ดังนั้น แหล่งโบราณคดีและเรื่องราวในพระคัมภีร์สอดคล้องต้องกันเพียงแต่ขยับเวลาให้ตรงกันมากขึ้น กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายก็คือ ตามลำดับเวลาเดิมนักวิชาการเชื่อกันว่า ฟาโรห์รามเสสที่ 2 หรือ รามเสสมหาราชแห่งราชวงศ์ที่ 19 ของอียิปต์นั้นเป็นองค์เดียวกับฟาโรห์แห่งการอพยพ (pharaoh of the exodus) นั่นเท่ากับว่าพระองค์ทรงเกิดร่วมสมัยกับโมเสส (หากเชื่อว่าโมเสสมีตัวตนทางประวัติศาสตร์จริง) ในช่วงเวลา 1294-1213 ก่อนคริสตกาล แต่โรห์ลเชื่อว่า รามเสสมหาราชไม่ใช่ฟาโรห์แห่งการอพยพ แต่เป็นฟาโรห์ผู้กรีฑาทัพเข้าทำลายกรุงเยรูซาเล็มในสมัยกษัตริย์โซโลมอน โดยอ้างหลักฐานสำคัญคือ จารึกที่ปรากฏคำว่า “Shalem” (Sh-a-l-m) หรือ Jerusalem (เยรูซาเล็ม) เป็นหนึ่งในสถานที่ที่รามเสสยกทัพเข้ารุกราน โดยจารึกดังกล่าวอยู่ที่วิหารของรามเสสที่ 2 ในลักซอร์ อีกหนึ่งข้อกล่าวอ้างของเขาคือ เรื่องชื่อของ Ramesses ในภาษาฮิบรูสอดคล้องกับชื่อฟาโรห์ Shishak ที่ปรากฏในพระคัมภีร์ ดังนั้น ตามลำดับเวลาใหม่ของเขารามเสสที่ 2 จะมีชีวิตอยู่ในช่วง 943- 877 ก่อนคริสตกาล นั่นทำให้ช่วงเวลาก่อนหน้ารัชสมัยของรามเสสต้องได้รับการพิจารณาใหม่ทั้งหมด (ในหนังสือ Pharaohs and Kings A Biblical Quest หรือ A Test of Time: The Bible—from Myth to History ของโรห์ลมีคำอธิบายและโน้มน้าวใจเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ)