23 ก.พ. 2021 เวลา 22:07 • ธุรกิจ
สรุปจาก Techsauce Clubhouse: Startup แบบไหนที่ VC จะลงทุน
แนะนำตัว Venture Capital และ Startup
Venture Capital
คุณหนึ่ง: Openspace Ventures - มีขนาดการลงทุนประมาณ $400M ลงทุนใน startup ใน series A และ B ซึ่งจะลงทุนได้ทุก sector แต่อยู่ใน SEA (South East Asia) เท่านั้น - Lead investor Series A ให้ Gojek ในปี 2013-2014
คุณแมท: Openspace Ventures
คุณโน้ต: ECG-Research - เป็นน้องใหม่ในวงการ แต่ลงทุนไปแล้วกว่า 10 startup ตั้งแต่ pre-revenue ไปจนถึง Series A
คุณจอม: Krungsri Finnovate - ขนาดการลงทุน $100M ในธุรกิจ Fintech, E-commerce, Logistic, และอื่นๆ
Startup
คุณเจส: CEO & Founder Finnomena - แพลตฟอร์มบริหารเงินลงทุนครบวงจร
คุณเบล: CEO & Co-founder Freshket - B2B แพลตฟอร์มแหล่งรวมวัตถุดิบคุณภาพส่งตรงสู่ร้านอาหาร
คุณเอิร์น: CEO & Co-founder Ricult - เป็น bloomberg terminal สำหรับวงการเกษตร ที่นำ data มาช่วยเกษตรกรในการเพิ่มรายได้ และก็ยังนำ data มาให้โรงงานหรือธนาคารในการปล่อยสินเชื่อหรือจัดการ supply chain ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1. ปกติ VC เริ่มหา Startup ยังไง?
[คุณหนึ่ง]
เราเริ่มดูทีม เราชอบทีมที่มี backgroud หลากหลาย ดูการศึกษา ดูประสบการทำงาน ก่อนเข้าไปหา Startup เราจะหาข้อมูลจะเช็คข่าว แล้วดูในข้อมูลว่าตอนนี้มี app หรือ web ไหนที่ traffic เยอะหรือมี session การใช้งานที่ยาวถึงจะเข้าไป approach
1
[คุณโน้ต]
ECG (Equality, Community, Governance) research เราเชื่อว่า startup จะต้องตั้งอยู่เพื่อแก้ปัญหาอะไรซักอย่าง ไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะตั้งอยู่ สิ่งที่เรามองคือวันนี้ startup เจ้านั้นๆ เจอปัญหาที่จะสู้รึยัง เจอธานอส (ตัวละครบอสใหญ่ใน Avengers) ของตัวเองรึยัง คือมีปัญหาที่ชัดเจนแล้วอยากจะแก้มัน
[คุณจอม]
ทีมสำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด ที่ผ่านมาเราเข้าไปเจอ founder โดยไปหาดูจากการจัดอันดับ startup ใน SEA ดู report จาก Techsauce บ้าง ดูจากตลาดในแต่ละ sector ว่ามีอะไรใหม่ๆ บ้าง ดูจากลูกค้าว่าเขาพูดถึงใครอยู่ ใช้ใครอยู่ แล้วสาวไปดูว่าคนๆ นั้นเป็นใครค่อยเข้าไป approach
1
2. ในมุม Startup คืออยากให้แชร์ว่าตั้งแต่ช่วง seed เลยมี VC ติดต่อเข้ามายังไง?
[คุณเจส]
ในช่วง seed round จะเป็นช่วงที่ startup เริ่มมีโปรดักไอเดียแล้ว มีการขึ้น website หรือ platform หรือ app เริ่มมี traction แล้วหลังจากนั้นก็เข้าไปคุยกับ seed investor เวลาคุยก็เตรียม Pitch Deck เริ่มจาก
1. Pain คือ เราแก้ปัญหาอะไร
2. TAM (Total Addressable Market) คือขนาดของตลาด
3. Unfair Advantage คือการที่เราทำสิ่งนี้ได้ดีกว่าคนอื่น แล้วสามารถสร้างคุณค่าที่แตกต่างให้กับลูกค้าของเราได้
1
[คุณเบล]
เริ่มจากตอนนั้นขึ้นไป pitch ที่ idea stage ของ dtac Accelerate สิ่งที่ทำเลยคือ
1. หา Problem หรือ Pain คือดูว่าปัญหานี้เราเป็นคนเดียวรึเปล่า
2. Solution Fit คือดูว่าปัญหานั้นเราแก้ได้ไหม แล้วมันแก้แค่เราคนเดียวรึเปล่า
3. Market Size ดูว่าตลาดใหญ่พอไหม เพราะถ้าเราเป็นคนเดียวที่มี pain และ solution ที่เราทำได้มันตอบโจทย์เราแค่คนเดียว มันก็อาจจะไม่ worth ที่จะเข้าไปแก้ปัญหาเพราะตลาดมันเล็กเกินไป
4. Traction ที่ได้เงินลงทุนมาคือ
Seed round: 500 TukTuks > Pre-Series A: Corporate VC > Series A: Openspace และ ECG-Research
[คุณเอิร์น]
ตอน seed round ไปเข้า dtac Accelerate เหมือนกัน เพราะมองว่าการเข้า accelerator ดีๆ จะทำให้เราเป็นที่รู้จัก ให้เขามาเข้าถึงเราได้ ทีนี้ 3 ปีที่แล้วมันจะมีทุนให้เปล่าเยอะมาก รวมๆ ที่ไปแข่งแล้วได้เงินมาน่าจะประมาณ $200K ทำให้เราไม่ต้อง raise เงินเร็วเกินไป ซึ่งการขอเงินลงทุนในแต่ละช่วงก็จะมีความท้าทายแตกต่างกันไป เช่น
-Seed stage: VC จะดู idea, market size และทีม
-Pre-Series A ถึง Series A: จะดูเรื่องความเป็นจริงมากขึ้น ขายฝันน้อยลง จะดู traction จริงๆ ดู market จริงๆ ดูว่าลูกค้าจริงๆ เป็นยังไง
3. อยากจะเตือนอะไร startup บ้าง เวลาจะขอ raise fund แล้วมีอะไรที่ทำให้ deal diligence (การสอบทานธุรกิจ) ไม่จบ?
[คุณหนึ่ง & คุณแมท]
1. ดูเรื่องตัวเลข คือเลขที่เขาส่งมาไม่ละเอียดก็จะมีปัญหา คือเขาจะต้องมีเลขรายเดือนให้เราดูทุกเดือน founder ต้องตอบคำถามได้ดีมากในระดับหนึ่งว่าทำไมเดือนนี้ขึ้น ทำไมเดือนนี้ลง ถ้าตอบไม่ได้เลยใน 1-2 ครั้งแรกที่เจอกันแล้วเราเห็นได้ไม่ชัดว่าเขาสามารถเข้าใจธุรกิจของตัวเองได้ดี เราก็จะตัดออกเลย
2. ดู founder และทีม ว่าเราสามารถที่จะโค้ชเขาได้ไหม มุมมองของเขาเป็นยังไง เขายอมที่จะให้เรา feedback รึเปล่า เพราะเวลาเราลงทุนเราจะเข้าไปทำงานใน board ด้วย และเราจะเป็น lead investor จนกว่าจะ exit ซึ่งอาจจะใช้เวลาถึง 3-5 ปีที่ต้องทำงานด้วยกัน ดังนั้นถ้าเขาเอาแต่ passion ไม่ดู reality ก็ไม่น่าจะทำงานด้วยกันได้นี่ก็จะเป็น red flag
1
[คุณโน้ต]
20% ของงานจะเป็นก่อนลงทุน แล้วงานใหญ่ๆ 80% เลยจะเป็นหลังเราลงทุนไปแล้ว ถ้าเราไปลงทุนกับเขาแล้ว เราจะเข้าไปเป็น co-founder ร่วมกับเขาทันที นี้คือคอนเซปของเราเลย ก่อนลงทุนเราต้องเถียงกันให้มากที่สุด อย่าเอาช่วงแรกเป็นช่วงโปรโมชั่น เราต้องรู้สไตล์กันตั้งแต่แรก
[คุณจอม]
1. Founder ชอบพูดแต่เรื่องดีๆ เป็น red flag เลยที่ทำให้เราถอยการลงทุน ซึ่งช่วงเวลาระหว่างที่ startup เจอกับ VC ก่อนที่จะถึงเวลาลงทุนค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 14 เดือนทั่วโลก ถือว่าเป็นเวลาที่เยอะมากพอที่เราจะเห็น traction ว่าสิ่งที่เขาบอกว่าจะทำได้ เขาทำได้จริงอย่างที่พูดรึเปล่า จริงๆ สิ่งที่ VC อยากได้ยินคือ คุณ fail อะไรมาบ้าง คุณเรียนรู้อะไรมาบ้างจากการกระทำที่ผิดพลาดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่อง HR, business model, tech, go-to-market strategy ต่างๆ แล้วจะทำใหม่ให้ดีขึ้นอย่างไรได้บ้าง ส่วนใหญ่คนที่ได้รับเงินจากเราจะเป็นคนที่กล้าพูดจุดอ่อนของตัวเอง
2. Culture ที่เป็นแบบ founder เป็น super hero คนเดียวเลยไม่เวิร์ค เราต้องการเห็นคนที่ทั้งทีมมี passion ที่ร่วมกับ founder ด้วย อยาก solve problem ให้กับลูกค้า ไม่งั้นไปไม่รอด
4. อยากให้แชร์ในมุมของผู้ถือหุ้นใน startup ว่าควรจัดการอย่างไร?
[คุณแมท]
Cap table คือตารางผู้ถือหุ้น ในนั้นจะมีว่า shareholder เรามีใครบ้าง ใครถือกี่ % ถือกี่คน ซึ่งคนที่เป็น management หลัก และ CEO ต้องมี shareholding ที่ใหญ่พอสมควร ส่วนคนอื่นที่มีแชร์น้อยลงไปเราก็จะไม่ได้เข้าไปดูมาก
5. เราควรจะเตรียมความพร้อมอะไรบ้างก่อนไปคุยกับ VC?
[คุณเจส]
ต้องดูว่าเราอยู่ที่ stage ไหนถ้าเป็น Seed stage จะดูเป็น product กับ idea แต่ถ้า round ใหญ่ขึ้นก็จะมีความซับซ้อนขึ้นอย่างใน Series A ปกติจะมีการจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน มีการทำ deal diligence และขอเตือนในสิ่งที่ห้ามทำเลยคือ อย่ามีหลายบัญชี มีบัญชี 1 บัญชี 2 นี้ไม่ได้เลย และระวังอย่าไปกู้ยืมเงิน โดยเฉพาะ Seed round เพราะ VC เค้าจะมี เอ๊ะว่า นี่ฉันเข้ามาใช้หนี้ให้เธอเหรอ การทำ data room (เป็นที่รวมเก็บข้อมูล data ให้ VC ดู) แนะนำให้ใช้ google drive หรือ dropbox แล้วแยกข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ หรือว่าหากคุณไม่เก่งเรื่องการเงิน แนะนำให้หา consult ไปเลย เพราะบางคนไอเดียดีมากแต่ไม่สามารถแปลงไอเดียออกมาเป็นแผนธุรกิจได้ก็แนะนำให้ใช้ consult
[คุณเบล]
การทำบัญชีให้ดีตั้งแต่แรกสำคัญมากเพราะเราจะได้ไม่ต้องมาปวดหัวทีหลังเวลา raise ในรอบใหญ่ๆ ถัดๆ ไป
[คุณเอิร์น]
ตอน Seed round คือ VC ไม่ได้ดูอะไรเยอะ มีขอดูแค่ business model เบื้องต้น กับขอดู growth plan ว่าจะไปยังไง แต่พอมาเป็น Series A process จะยาวขึ้น 4-6 เดือน เขาจะเช็คว่าสิ่งที่เราโชว์เขาจริงหรือไม่จริง เรื่องบัญชีสำคัญมาก ตอนนั้นที่เริ่มแรกๆ เราไม่จ้างนักบัญชี พอไป raise ใน Series A คือมันวุ่นวายมาก ผมแนะนำเลยว่าให้จ้าง ส่วนการคุยดีลไม่ค่อยนานแต่การเตรียม data room ให้ investor คือนานสุดเลย
[คุณหนึ่ง]
เห็นด้วยว่าจ้าง financial advicer ได้ แต่สุดท้าย founder ต้องสามารถรู้ทุกอย่างแล้วอธิบายออกมาได้ เราต้องเล่า story base on cash flow projection นั้นได้ อย่านั่งเทียนมา และในส่วนของ legal ถ้าเราจะดูเองก็อาจจะยากนิดนึง แต่ถ้าจ้างอาจจะให้ไปถาม startup คนก่อนๆ ที่เคย raise fund มาเพราะเขาจะรู้ดีกว่า แนะนำทนายได้ดีกว่า ส่วนใหญ่จะมีราคาที่จับต้องได้เพราะอยู่ในวงการ
[คุณโน้ต]
Startup ต้องสร้าง trust ให้เกิดขึ้นใน VC ให้ได้
1. ต้องให้ VC เห็นว่าเราเป็นคนดี
2. หาปัญหาให้ได้ เพราะเราจะไม่เปลี่ยน pain แต่เราจะเปลี่ยน how
3. ตอบคำถามให้ได้ว่าทำไมต้องเป็นเรา
6. อยากให้แชร์เรื่อง legal term กับ finance ว่าทำยังไง?
[คุณเจส]
ถ้าไม่รู้เรื่องการเงินจริงๆ ให้หาที่ปรึกษา แต่ไม่ต้องไปหาแบบบริษัทใหญ่ๆ แค่หาคนรอบตัวที่เข้าใจงบการเงิน กระแสเงินสด งบดุลกำไรขาดทุนก็พอแล้วสำหรับ Seed ถึง Series A สำหรับ legal แล้วเราต้องเข้าใจทุก clause ต้องเข้าใจทุกสิทธิ ส่วนใหญ่ผมก็ถาม VC เลยว่าไม่เข้าใจอะไร ทั้งๆที่เขาจะเป็นคนมาลงทุน ความสัมพันระหว่าง VC กับ startup สำคัญมากเราต้องดูด้วยว่าเขาคือใคร ใครจะมาเป็น board แล้ว structure จะเป็นยังไง ต้องรู้ไว้เลยว่าเขาจะมาทำงานกับเราอย่างน้อย 5 ปี เราควรศึกษาให้ดี
[คุณโน้ต]
เห็นด้วยกับการที่ไม่จ้างคนแล้วให้ไปหาคนรอบตัวมาช่วย เพราะเราจะเห็นเลยว่า founder มีสกิลในการแก้ปัญหา เพราะถ้าใครที่แบบจ่ายเงินจ้างคนแพงๆ มันจะสะท้อนว่าจริงๆ แล้วความสามารถในการแก้ปัญหาของเค้าอาจจะไม่สูง คือเขาต้องทำได้ด้วยตัวเองก่อนในระดับหนึ่ง
7. เลือก VC จากอะไร?
[คุณเบล]
เราต้องแพลนก่อนว่าเราอยากได้ support ตรงไหน สำหรับเรา เราอยากได้ Financial VC แล้วเขาต้อง add value ให้เรา เขาต้องช่วยให้เรา scale นอกจากเงินต้อง add value อะไรเข้ามาบ้าง เราอยากได้ operation team คือลงมาทำงานกับเราจริงๆ ถือว่าเราได้เงินแล้ว ได้แรงมาช่วยกันอีกด้วย
[คุณเอิร์น]
เราหา smart money คือเราต้องหา VC ที่ช่วยเราได้ เพราะว่าเงินใครให้ก็ได้แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเงินคือ เขาต้องช่วยเรา scale up และโตต่อไปได้ เช่น ของ Krungsri ก็ช่วยเราได้เยอะมาก เพราะผมขาย data เพื่อช่วยโรงงานน้ำตาลเพื่อ manage supply chain ในการซื้ออ้อย แล้วประจวบเหมาะว่าโรงงานน้ำตาลใหญ่ๆ ในไทยเนี่ยเป็นลูกค้า Krungsri เกือบหมดเลย เลยเป็นอีก strategic move ที่เราเลือกให้เขาเข้ามาลงทุนในเรา แล้วเขาก็พาเราไปรู้จักกับลูกค้าของเขาทั้ง port เลย
ช่วง Q&A
8. [คุณ A]: อยากรู้ว่า startup มันจะมี unfair advantage บางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้ เพราะว่าถ้าบอก VC ไปแล้ว เขามีเงินมากกว่า มีคนพร้อมที่จะทำ เขาอาจจะเอาไปทำเองได้ แล้วเราจะปกป้องตัวเองยังไง?
[คุณโน้ต]
VC ไหนก็ตามที่ทำแบบนี้จะอยู่ไม่ได้แน่นอน เพราะวงการมันเล็กมากและเขาก็จะไม่ได้โอกาสในการลงทุนอะไรเลย
[คุณเจส]
ในมุมของ startup เราต้องดูด้วยว่าไม่ใช่ idea ที่ดีอย่างเดียวถึงจะรอด เราต้องดูด้วยว่าเราจะทำได้ดีกว่าคนอื่นอย่างไร ดูตัวอย่างขนาด Clubhouse เอง Twitter ยังลงมาทำแล้วเลย แต่เขาเป็น first mover เขาทำก่อน ได้เปรียบกว่า ได้ establish แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักก่อน
[คุณจอม]
Idea is nothing, execution is everything ในโลกนี้มีคนอยู่เยอะมากแล้วก็อาจจะมีคนทำไอเดียเหมือนเราไปแล้วก็ได้ ดังนั้นเราต้องทำไปเลย ทำให้เร็วที่สุด
[คุณหนึ่ง]
Steve Jobs ก็ไม่ได้เป็นคนแรกที่คิดโทรศัพท์ที่ไม่มีปุ่ม Facebook ไม่ใช่คนแรกที่ทำ social app แต่เขาต่างเพราะเขาทำได้ดีกว่า idea จด IP (Intellectual Property) ไม่ได้ แต่สิ่งที่จดได้คือ วิธีที่ execute, เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมา, แพลตฟอร์มที่สร้างขึ้นมา
9. [คุณ A]: ถ้าเราอยากขอเงินไปทำ marketing ไปทำ feature เราควรทำอะไรต่อ ไปประกวด ไปหา crowdfunding หรือไปหา VC?
[คุณเบล]
ก่อนคุย raise fund กับ VC อาจจะต้องกลับไปดู pain ก่อนว่ามีจริงไหม มี business model รึยัง ถ้ามันชัดเจนแล้วเราถึงจะรู้ว่าเราควรไปคุยกับใคร แล้วก็อยู่ที่ stage ด้วยว่าเราควรเข้าหา investor กลุ่มไหน แล้วสิ่งที่เราทำมันตอบโจทย์เขารึยัง
10. [คุณ B]: ต้องเตรียมตัวหรือปรับตัวยังไงให้ทำงานกับ VC ได้ดี?
[คุณแมท & คุณหนึ่ง]
พูดในฐานะ Openspace เราจะดู strategy เป็นหลักก่อน หลังจากนั้นจะไปดูว่าคุณมี product/market fit ไหม คุณควรทำ partnership รึเปล่า แล้วจะช่วยสร้างทีมต่อไป ให้คำปรึกษาว่าต้อง raise เงินต่อไปตอนไหน ซึ่งตรงนี้ Openspace จะมี 100 days plan จะเกิดการคุยกันไว้ก่อนที่จะทำการลงเงิน
[คุณจอม]
VC risk สูงที่สุดเทียบกับการลงทุนอื่นๆ ที่เราลง เราจึงต้องมีกรรมการเข้าไปนั่งใน startup เพื่อป้องกันความเสี่ยง มันจะมีเรื่องที่ต้องจ้างคนแพงๆเข้ามา หรือจะขอเข้าไปปรับ structure ต่างๆ VC ก็จะขอเข้าไปช่วยตัดสินใจในตรงนี้
11. [คุณ B]: สามารถมอง debt แบบอื่นได้มั้ยที่ไม่ใช่ VC?
[คุณแมท]
ถ้ามี CAPEX (Capital Expenditure - รายจ่ายเพื่อลงทุนซื้อสินทรัพย์ที่มีระยะเวลาใช้ได้นาน) สูงมองว่าใช้หนี้ก็ไม่เลว เดี๋ยวนี้มันมี tool ใหม่ๆ ที่ออกมาให้ starup เช่น venture debt, convertible note หรือ กู้เงินธรรมดาที่คิดดอกเป็น % ก็น่าจะใช้ได้
12. [คุณ C]: ถ้าก่อน raise fund แล้วเคยมี convertible note ติดมาทาง VC จะมองว่าเป็น red flag มั้ย?
[คุณจอม]
ขอเสริมว่า convertible note ที่ติดมา VC จะดู discount rate ว่า discount ไปไกลแค่ไหน เพราะมันคือการออกตราสารให้กู้ยืมเงิน แล้วเงินที่ให้กู้ยืมนั้นภายหลังเวลามีการ raise fund รอบหุ้น เงินเหล่านั้นจะถูกใช้ในการเข้ามาซื้อหุ้นพร้อมกับนักลงทุนใหม่ แปลว่าผู้ถือหุ้น note นั้นจะสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกกว่า, VC ก็จะเข้ามาดูแล้วว่านักลงทุนในตอนนั้นเขาจะซื้อถูกกว่าเท่าไหร่ เช่น VC จะเข้าซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น แต่ผู้ถือตราสารหุ้นเหล่านั้นจะซื้อได้ในราคา 8 บาท ถ้า discount rate อยู่ที่ 20% ที่นี้เราก็ต้องมาดูว่าก่อนหน้านี้ startup ให้ discount rate เยอะหรือมากน้อยเท่าไหร่ แล้วถ้า VC คิดว่าไม่คุ้มจริงๆ อาจจะขอซื้อ note ออกมาเลย แล้วให้ IRR ไปเพื่อตัดปัญหา ก็คือ VC ยังลงเงินได้ ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงอะไร
[คุณหนึ่ง]
การที่มีคนเข้ามาลงทุนเป็น convertible note ก็เป็นคนที่มาช่วย startup ในตอนที่เราไม่สามารถ raise เงินได้ตอนนั้น คือไม่ได้เป็น super red flag แต่ถ้า discount มัน deep มากอาจจะทำให้ founder มีแชร์น้อยกว่า 20% - 25% ซึ่งมองว่ามันจะไม่ incentivize ให้ founder ทำงานได้ดีแล้ว เพราะในรอบต่อๆ ไปที่ raise แชร์ก็จะน้อยลงไปอีก
[คุณโน้ต]
Convertible note จะทำให้ startup ได้เงินมาใช้ก่อนโดยที่ไม่ต้องมีการทำ valuation ทีนี้มันอาจจะเกิด red flag ที่ว่าทำไมในรอบ convertible note นั้น บริษัทจึงไม่อยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่จะทำ valuation ถ้าคำตอบคือ ยังหา product/market fit ไม่เจอ หรือ management คนสำคัญพึ่งออกไป หรือมีการ pivot business model แล้วการทำ valuation มันไม่แฟร์ในสายตาของ 2 ปาร์ตี้ มันจะเป็น red flag ได้
13. สำหรับ Startup ที่เป็น pre-revenue จะทำ valuation ยังไง
[คุณหนึ่ง]
ถ้ายังไม่มี valuation เลยส่วนมากจะเป็น Seed stage ซึ่งมันไม่ได้มีอะไรให้ VC จับต้องได้ ดังนั้นหลายๆ ที่เลยตั้ง minimum holding ไว้ 15% - 25% และมูลค่าของ valuation ที่รับได้จะอยู่ที่ประมาณ $700K - $1.5M แต่ถ้าไม่ใช่ Bio Tech, Med Tech valuation ก็จะไม่แฟนซีมาก
1
14. ฝากอะไรถึง startup หน้าใหม่ที่กำลังจะเข้ามา raise fund?
[คุณหนึ่ง]
ให้หาข้อมูลของ VC ให้ดี เพราะแต่ละอันจะมี mandate ต่างกัน บาง VC จะลงเฉพาะ Seed stage บางคนลงแค่ Series A กับ B บางคนลงใหญ่กว่านั้น เช่น ถ้าเราอยู่ Seed stage แล้วมาคุยกับ VC ที่ลงแต่ Series A กับ B อาจจะอยู่ใน context ที่ว่า ถ้าเกิดว่าเค้าจะโตไปแล้วจะ raise ใน Series A เนี่ยเราอยากเห็นอะไร traction ต้องถึงไหน เพราะบาง startup เค้าจะเหนื่อยมากกับการคุยกับ VC ที่ไม่ match กัน เจอคน say no เยอะมาก แต่พอมาดูรายชื่อของ VC ที่เขาเข้าไปคุยด้วยแล้วมันไม่ match ถ้าอยากดูว่า VC ไหนสนใจลงทุนใน stage ไหนจะมีเว็บไซต์ชื่อว่า mapofthemoney.com ที่เขาจะเก็บข้อมูลของ VC ไว้หมดคือสามารถเริ่มที่ตรงนั้นได้
1
[คุณโน้ต]
ให้มอง VC เหมือน partner ไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวมาก เราสบายๆ แล้วก็ทำตัวเองให้เข้าถึงได้ง่าย ไปคุยกับทุกโอกาสที่เข้ามาจะทำให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขามอง อะไรคือสิ่งที่เราต้องเติมให้เต็ม ไม่ต้องกลัวติดต่อไปคุยเลย อยากจะฝากว่าในประเทศไทย อยากเห็น Unicorn แล้วตัวแรกจะยากที่สุดเพราะพอมันมีตัวแรกมันจะมีตัวถัดๆ ไป ตอนนี้ VC มีเยอะมากเลยแต่ฮีโร่ที่สำคัญยังขาดอยู่คือ startup ที่จะโตไปเป็น Unicorn
[คุณจอม]
ฝากถึง founder ที่กำลังจะ raise fund ว่าให้เตรียมใจไว้เลยเพราะมันจะเป็นงานที่หนักมากกับการไล่คุยกับ VC แต่ละคน พยายามดูว่าเขาลงทุนกับ startup แบบไหน เขาลงกับ founder คนไหนไปแล้วบ้าง พยายามติดต่อหา network ของตัวเองแล้วเข้าไปคุยกับ founder ที่เคยทำสำเร็จเพื่อศึกษาเตรียมตัวให้ดี
[คุณแมท]
1. ต้องมั่นใจว่าคุณ passionate จริงๆ กับสิ่งที่คุณทำ เพราะ VC ดูออกว่าเขาจะพร้อมยอมทำทุกอย่างให้ไม่ fail และสู้เต็มที่ในทางสายนี้
2. ฝึก communication ต้องพยายามซ้อม elevator pitch ของสิ่งที่เราทำอยู่ให้ได้ภายใน 3 นาที ถ้าทำได้ จะมี VC มาสนใจอีกเยอะเลย
[คุณเบล]
เพราะว่าเราเป็น startup ที่ต้องการจะสร้าง impact ให้อะไรบางอย่าง เราต้องตั้งมั่นกับสิ่งนั้น แล้ว VC จะเป็นตัวที่เข้ามา support ในตัวของเงินและในมุมอื่นๆ ดังนั้นถ้าเราจะ raise fund เราก็ต้องเลือก VC ที่จะพร้อมมาลงเรือลำเดียวกับเราด้วยเช่นกัน
[คุณเจส]
หาสิ่งที่ชอบให้เจอ พอเจอแล้วทำไปเรื่อยๆ คุณจะเชี่ยวชาญ แล้วพอคุณจะ raise fund คุณจะมีแรงที่จะสู้กับมัน มีแรงที่จะ pitch กับ VC ต่อเนื่อง 12 เดือน บางทีนอนตี 2 ตี 3 แล้วพอคุณตั้งใจกับมันมากๆ คุณจะดื้อและจะไม่ยอมแพ้ทำให้ VC เห็นความตั้งใจของเราเอง
15. Start up แบบไหนที่ VC จะไม่ลงทุนด้วย
[คุณหนึ่ง]
ก่อนจบขอถามคำถามขำๆ แต่ก่อนถามขอแชร์ก่อนว่า มันจะมีคนที่ชื่อ Marc Andreessen ที่เป็น VC ใหญ่ใน US เค้าจะบอกเลยว่าก่อนที่เขาจะลงทุนใหญ่ๆ ลงใน startup ตัวไหนแล้วเนี่ย เขาจะเชิญ founder มาทานข้าวที่บ้านก่อน แล้วถ้า founder คนไหนที่ทานเสร็จแล้วไม่ช่วยเก็บจานจะไม่ลงเงินด้วยเลย เพราะเขาถือว่าคนคนนั้นไม่ clean your mess เลยจะขอถามขำๆ นะคะว่ามี VC คนไหนในห้องนี้ที่มีอะไรเป็น red flag แบบนี้รึเปล่า ส่วนตัวขอแชร์ก่อนว่า จะไม่ชอบลงทุนใน startup founder ที่ไปเป็น mentor บ่อยๆ เพราะจะรู้สึกว่าบริษัทเขาคงไม่ยุ่งพอรึเปล่า
[คุณจอม]
ของผมถ้าเขามีไปเข้า accelerator เยอะมากเกิน 3 ที่ จะไม่ค่อยโอเค อีกอย่างคือถ้า founder ไม่เข้าใจในลูกค้าสุดๆ หรือเวลาก่อนที่เราจะเข้าไปลงทุน เราจะไปทำ survey กับ partner และลูกค้าของเขาแล้วพอได้ feedback มาแล้วเราจะลองไปถามกับ founder ว่าเขารู้ insight อะไรพวกนี้บ้างรึเปล่า แล้วบางทีพอเราเข้าไปทำแล้วกลายเป็นว่าเรารู้จักลูกค้าเขามากกว่าเขาเองด้วยซ้ำแบบนี้ก็ไม่โอเค
[คุณโน้ต]
ผมจะเพ่งเล็ง founder ที่พูด big word ใน presentation ของเค้าบ่อยๆ เช่น คำว่า AI, big data, machine learning, blockchain เพราะการที่ founder ค่อนข้างจะตามเทรนด์อะไรบางอย่าง แปลว่าเขาอาจจะไม่ได้ stay focus กับปัญหาเริ่มต้นหรือ pain point ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ turn off สุดๆ
16. นักลงทุนแบบไหนที่ startup จะ say no?
[คุณเจส]
บ่อยครั้งจะเจอ VC สายป๊อป ที่ชอบออกงานบ่อยๆ เน้นแบบ network relationship บ่อยๆ แต่ไม่ได้อินกับตัว business มากแล้วก็ไม่ได้สนใจกับการที่จะเข้ามาช่วย drive องค์กรมาก ก็จะเลี่ยง VC พวกนี้ไว้
[คุณเบล]
จะเลี่ยง VC ที่ลงเงินในคู่แข่ง หรือมาถามเพื่อไปทำอะไรต่อประมาณนี้
Date: 23 FEB 2021 (20:00 - 21:45)
Moderator: @mimeetechsauce คุณมิหมี (Techsauce)
Speaker:
@nicha_ark คุณหนึ่ง (Openspace Ventures)
@kpnvss คุณจอม (Krungsri Finnovate)
@notepatchalit คุณโน้ต (ECG-Research)
@bellponglada คุณเบล (Freshket)
@aukritu คุณเอิร์น (Ricult)
@fundtalk คุณเจส (FINNOMENA)
#Clubhouse #ClubhouseTH #ClubhouseThailand #Techsauce #OpenspaceVentures #KrungsriFinnovate #ECGResearch #Freshket #Ricult #FINNOMENA #startup #startupTH #startupthailand #VCTH #VCThailand #todayigoto #todayigototext #วันนี้สรุปมา
โฆษณา