24 ก.พ. 2021 เวลา 10:30 • กีฬา
ถ้าหากเอาดาวยิงชื่อดังในอดีตสักคน ข้ามเวลามาเล่นในยุคปัจจุบัน เชื่อว่าคนที่จะทำให้ วีเออาร์ ต้องทำงานหนักมากที่สุด หนีไม่พ้น ฟิลิปโป้ อินซากี้
2
ดาวยิงทีมชาติอิตาลี ที่ได้ฉายาในไทยว่า “พี่กุ้ง” คือศูนย์หน้าในแบบที่ฝั่งตรงข้ามคงไม่มีใครชอบ
เขาเป็นหัวหอกที่เจ้าเล่ห์ พร้อมจะทำทุกอย่างให้ทีมได้เปรียบในกรอบเขตโทษ ไม่ว่าจะเป็นการชอบเอาชนะกับดักล้ำหน้าแบบฉิวเฉียด การพยายามทิ้งตัวพุ่งล้มเอาจุดโทษบ่อยๆ ไปจนถึงสามารถใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายทำประตูได้โดยไม่สนความสวยงาม
2
แม้กระทั่งท่าดีใจของเขา ยังเป็นการระเบิดอารมณ์ฉลองอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าทุกประตูที่เขาทำได้ คือประตูชัยในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
1
ฟิลิปโป้ อินซากี้ คือหนึ่งในกองหน้าที่ยิงประตูได้มากที่สุด เท่าที่วงการลูกหนังเมืองมะกะโรนีเคยมีมา
“ปิ๊ปโป้” ยิงให้ทีมชาติอิตาลีไปถึง 25 ประตู จากการลงสนาม 57 นัด ถือว่าซัดได้มากเป็นอันดับ 6 ในประวัติศาสตร์ของทีมอัซซูรี่
เขาลืมตาดูโลกที่เมืองปิอาเชนซ่า ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1973 ซึ่งเจ้าตัวเคยเผยว่า การที่เขาเกิดวันที่ 9 มันเหมือนพระเจ้ากำหนดโชคชะตาให้เขาเติบโตมาเป็นสุดยอดนักเตะหมายเลข 9 ที่ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ไอดอลของ อินซากี้ ในวัยเด็ก คือตำนานดาวยิงระดับโลกอย่าง เปาโล รอสซี่ และ มาร์โก ฟาน บาสเท่น นั่นทำให้เป้าหมายของเขาชัดเจน ว่าจะต้องเอาดีกับการเป็นศูนย์หน้าในเส้นทางนักเตะอาชีพให้ได้
เส้นทางค้าแข้งของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ เริ่มจากการเล่นให้สโมสรในเมืองที่เขาเกิดอย่าง ปิอาเชนซ่า โดยลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1991 ด้วยวัยเพียง 18 ปี
ด้วยความที่ยังเด็กเกินไป ทำให้ ปิอาเชนซ่า ไม่มีที่ว่างให้ ปิ๊ปโป้ ในทีมชุดใหญ่มากนัก
ในฤดูกาล 1991-92 เขาได้ลงสนามเพียง 3 นัดรวมทุกรายการ นั่นทำให้ ปิอาเชนซ่า ปล่อยตัวเขาให้ อัลบิโนเลฟเฟ่ ยืมใช้งานไปสู้ศึก เซเรีย ซี 1 ตลอดทั้งซีซั่น 1992-93
การย้ายไปเล่นใน เซเรีย ซี 1 นี่เอง ที่ทำให้ อินซากี้ ฉายพรสวรรค์ในการทำประตูออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อยิงไปถึง 13 ประตูจากการลงเล่นให้ อัลบิโนเลฟเฟ่ 21 นัด
ฤดูกาล 1993-94 เขายกระดับไปเล่นแบบยืมตัวในลีกที่สูงขึ้นอย่าง เซเรีย บี กับ เฮลลาส เวโรน่า และทำผลงานยิงไปอีก 13 ลูกจาก 36 เกม
1
ด้วยฟอร์มยอดเยี่ยม 2 ปีติดในการไปเล่นให้ทีมอื่นแบบยืมตัว ทำให้พอถึงฤดูกาล 1994-95 ปิอาเชนซ่า ต้องการเก็บ อินซากี้ ไว้ใช้งานเอง โดยไม่ยอมให้ทีมไหนยืมใช้งานอีกต่อไป
เมื่อ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ได้กลับสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรแรกในเส้นทางนักเตะอาชีพของเขา เจ้าตัวตอบแทนความไว้วางใจที่ได้รับทันที ด้วยการซัดไป 15 ประตูในเกมลีก ช่วยให้ ปิอาเชนซ่า คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย บี ไปครอง
อันที่จริง อินซากี้ ควรได้เป็นกำลังสำคัญให้ ปิอาเชนซ่า ในการสู้ศึก กัลโช่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรก แต่เพราะฟอร์มยอดเยี่ยมของเขานั่นแหละ ที่ไปเข้าตาทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง ปาร์ม่า จนยอมทุ่มเงินสูงถึง 3 ล้านยูโร ซึ่งไม่ใช่น้อยๆ สำหรับนักเตะที่ไม่เคยเล่นในลีกสูงสุดมาก่อนในเวลานั้น คว้าตัวเขาไปอยู่ด้วยแทนในช่วงซัมเมอร์ปี 1995
อินซากี้ อาจยิงได้แค่ 2 ประตูจากการลงเล่นให้ทัพ จัลโล่ บลู ใน เซเรีย อา ฤดูกาล 1995-96
แต่ประตูแรกที่เขาทำได้ในการลงเล่นลีกสูงสุด คือการยิงใส่ทีมเก่าของเขาอย่าง ปิอาเชนซ่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1995 และทำให้เจ้าตัวถึงกับหลั่งน้ำตาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ด้วยโอกาสการลงสนามที่มีจำกัด จนทำให้ฟอร์มการยิงประตูไม่สม่ำเสมอ ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ปี 1996 เขาเลือกเซ็นสัญญาย้ายไปอยู่กับ อตาลันต้า ทันที
ซึ่งการย้ายไปเป็นลูกทีมของ เอมิเลียโน่ มอนโดนิโก้ ที่ อตาลันต้า นั่นแหละ ที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตค้าแข้งของ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ไปตลอดกาล
ในฤดูกาล 1996-97 อินซากี้ สร้างความฮือฮาด้วยการซัดใน เซเรีย อา ไปถึง 24 ประตูจากการลงสนาม 33 นัด คว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด แถมยังได้รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปีของ เซเรีย อา ไปครองอีกด้วย
ด้วยฟอร์มแบบนั้น ทำให้ทีมยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศอย่าง ยูเวนตุส ทุ่มเงินสูงถึง 23 ล้านลีร์ หรือราวๆ 12 ล้านยูโร กระชากตัวไปล่าตาข่ายในถิ่น สตาดิโอ เดลเล่ อัลปิ
การที่ทีมม้าลายได้ตัว อินซากี้ ไปเสริมทัพ ทำให้พวกเขายกระดับเกมรุกน่ากลัวขึ้นมาก จากการที่มีคู่กองหน้าเป็น ฟิลิปโป้ อินซากี้ กับ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ และมีเพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์สูงอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน เป็นตัวปั้นเกม
ในช่วงเวลา 4 ฤดูกาลที่ปิ๊ปโป้เล่นให้ยูเว่ เขายิงรวมทุกรายการไปถึง 89 ประตูจาก 165 นัด คว้าสคูเด็ตโต้ได้ 1 สมัยในปี 1998 โดยไม่เคยมีฤดูกาลไหนที่ยิงใน เซเรีย อา ได้น้อยกว่า 10 ลูก
อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 1999-2000 ความสัมพันธ์ของ อินซากี้ กับคู่หูแดนหน้าอย่าง อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และนั่นนำไปสู่สถานการณ์ที่ทำให้ ปิ๊ปโป้ ต้องการย้ายทีม
ย้อนไปในซีซั่น 1998-99 อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ เจอปัญหาอาการเจ็บเข่าอย่างรุนแรง ในเกมบุกเสมอ อูดิเนเซ่ 2-2 เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 1998 จนพลาดลงสนามตลอดทั้งฤดูกาลที่เหลือ
การบาดเจ็บไปนานเกือบ 1 ปีเต็มๆ ทำให้ฟอร์มการเล่นของ เดล ปิเอโร่ ในฤดูกาล 1999-2000 สนิมเกาะไปพอสมควร
ช่วงครึ่งฤดูกาลแรกของฤดูกาลดังกล่าว “พี่เดล” ยิงในลีกได้แค่ 4 ประตูเท่านั้น แถมมาจากจุดโทษล้วนๆ ซึ่งเป็นเรื่องตรงข้ามกับ อินซากี้ ที่ยิงประตูได้สม่ำเสมอจากจังหวะโอเพ่นเพลย์
นั่นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อสถานะในทีมชาติของ เดล ปิเอโร่ แน่ๆ เพราะศึกยูโร 2000 กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
เหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง อินซากี้ กับ เดล ปิเอโร่ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ปี 2000 เป็นเกมที่ ยูเวนตุส บุกไปเยือน เวเนเซีย
ประตูแรกของเกมมาจากจุดโทษ และเป็น เดล ปิเอโร่ ซัดเข้าไปในนาทีที่ 35 ซึ่ง ยูเวนตุส ก็รักษาสกอร์นำ 1-0 ไว้จนกระทั่งถึงช่วง 10 นาทีสุดท้ายที่มีโอกาสสวนกลับได้ประตูเพิ่มหลายครั้ง จากการที่ เวเนเซีย ต้องกล้าเสี่ยงเปิดเกมรุกเพื่อตีเสมอ
1
เดล ปิเอโร่ อาจจะมีชื่อทำประตูขึ้นนำ แต่เขาต้องการได้ชื่อว่าสามารถทำประตูได้จากสถานการณ์ที่ไม่ใช่ลูกจุดโทษบ้าง นั่นทำให้โอกาสเปิดกว้างช่วงท้ายๆ เกมหลายครั้ง เขาต้องการให้คู่หูอย่าง อินซากี้ ช่วยสนับสนุนเขา
แต่กลายเป็นว่า ฟิลิปโป้ อินซากี้ หมกมุ่นแต่กับผลงานการยิงประตูของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายเกมนั้น อินซากี้ ซัดแฮตทริก ทำให้เกมจบลงด้วยการที่ ยูเวนตุส บุกถล่ม เวเนเซีย 4-0
แต่ เดล ปิเอโร่ ไม่รู้สึกสนุกด้วย เพราะหลายๆ ลูกที่ อินซากี้ ยิงได้ในเกมนั้น “พี่กุ้ง” ควรตัดสินใจจ่ายให้ “พี่เดล” ที่อยู่ในมุมที่โล่งกว่าเป็นคนยิง แถมต้องไม่ลืมอีกว่า ช่วงที่ผ่านๆ มา อินซากี้ สามารถยิงประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ก็เพราะการจ่ายถวายพานให้จาก เดล ปิเอโร่ มานับไม่ถ้วน
1
แทนที่จะร่วมยินดีกับกองหน้าคู่หูที่ได้ลูกบอลกลับบ้าน แต่ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ กลับให้สัมภาษณ์โจมตี อินซากี้ ว่าเป็นกองหน้าที่โชคดีกับหลายๆ จังหวะที่ได้ยิง และไม่เคยคิดจะส่งให้เพื่อนร่วมทีมเลย นอกจากตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ยิงไม่ได้แล้วเท่านั้น
สุดท้ายในซีซั่น 1999-2000 เดล ปิเอโร่ ยิงได้ 9 ประตูใน เซเรีย อา แต่มีเพียงประตูเดียวที่มาจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ ส่วน อินซากี้ กดไป 15 ลูก แต่ตำแหน่งแชมป์กัลโช่ ตกเป็นของ ลาซิโอ ภายใต้การคุมทีมของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน
นั่นส่งผลต่อตำแหน่งตัวจริงในทีมชาติอิตาลีของ เดล ปิเอโร่ ในศึกยูโร 2000 ให้กับ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ ที่ฟอร์มดีกว่ามาก ขณะที่ ฟิลิปโป้ อินซากี้ ยังคงยึดตัวจริงให้ทีมอัซซูรี่ได้ในทัวร์นาเมนต์นั้น
จากนั้นในฤดูกาล 2000-01 เป็นอีกปีที่ อินซากี้ ยิงในลีกได้มากกว่า เดล ปิเอโร่ ทว่ายูเว่ก็ยังคงพลาดสคูเด็ตโต้อีกครั้ง จากการที่ โรม่า ซิวแชมป์ไปครอง
การที่ทีมอย่าง ยูเวนตุส พลาดแชมป์ลีกนานถึง 3 ปีติดต่อกัน ทำให้ช่วงซัมเมอร์ปี 2001 บอร์ดบริหารทีมม้าลายตัดสินใจที่จะปรับเปลี่ยนขุมกำลังครั้งใหญ่
พวกเขาขาย ซีเนอดีน ซีดาน ไปให้ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวสถิติโลก โดยนำเงินที่ได้มา ไปคว้า พาเวล เนดเวด จากทีมอินทรีฟ้าขาวมาเป็นตัวเดินเกมรุกคนใหม่ แถมยังมี ลิลิยอง ตูราม ย้ายจาก ปาร์ม่า เข้ามาเติมความแข็งแกร่งในแดนหลัง
1
เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ถูกโละทิ้งให้ ฟูแล่ม หลังจากที่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ถูกซื้อเข้ามาด้วยค่าตัวสถิติโลกของตำแหน่งผู้รักษาประตู
ส่วนตำแหน่งกองหน้า จากการที่ทีมทุ่มเงินคว้าตัว มาร์เซโล่ ซาลาส มาจาก ลาซิโอ โดยแถม ดาร์โก โควาเซวิช ให้เป็นส่วนหนึ่งในข้อเสนอ
การมี ซาลาส เข้ามาเพิ่ม ทำให้ ยูเวนตุส ต้องตัดสินใจขายกองหน้าทิ้ง เพราะของเดิมก็มีทั้ง อินซากี้, เดล ปิเอโร่, มาร์เซโล่ ซาลาเยต้า รวมไปถึง ดาวิด เทรเซเก้ต์ อยู่แล้ว
จากชื่อทั้งหมดที่ว่ามา ถือว่า ฟิลิปโป้ อินซากี้ มีความเหมาะสมที่จะปล่อยตัวออกไปมากที่สุด สาเหตุก็เพราะ เดล ปิเอโร่ อยู่กับทีมมานานจนเป็นที่รักของแฟนบอล, เทรเซเก้ต์ ก็เพิ่งอยู่กับทีมแค่ปีเดียว ขณะที่ ซาลาเยต้า ก็ไม่น่าจะทำเงินได้มากนัก
สุดท้ายในวันที่ 2 กรกฎาคม 2001 ฟิลิปโป้ อินซากี้ เซ็นสัญญาย้ายไปร่วมทีม เอซี มิลาน ด้วยมูลค่า 70 ล้านลีร์ โดยแบ่งเป็นค่าตัวของ อินซากี้ 45 ล้านลีร์ และอีก 25 ล้านลีร์ เป็นมูลค่าของฟูลแบ็กอย่าง คริสเตียน เซโนนี่ ที่เป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอ
1
หากตีเป็นเงินปอนด์ของอังกฤษ ค่าตัวของ อินซากี้ ในตอนนั้นอยู่ที่ราวๆ 17 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าไม่ใช่น้อยๆ เลยในช่วง 20 ปีที่แล้ว
การย้ายไปค้าแข้งในถิ่น ซาน ซีโร่ กลายเป็นว่าทำให้ ปิ๊ปโป้ อินซากี้ ค้นพบสถานที่ที่จะทำให้เขาเล่นฟุตบอลอาชีพไปจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของอาชีพค้าแข้ง
3
เขาลงสนามให้ เอซี มิลาน นานถึง 11 ปี ระหว่างปี 2001-2012 โดยยิงไปถึง 126 ประตูจากการลงสนาม 300 นัดรวมทุกรายการ
อินซากี้ สามารถคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ครบทุกรายการ เมื่ออยู่ภายใต้เครื่องแบบทีมปีศาจแดงดำ แบ่งเป็นแชมป์ เซเรีย อา 2 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ครั้ง, โคปปา อิตาเลีย 2 ครั้ง, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 ครั้ง และถ้วยสโมสรโลกอีก 1 สมัยในปี 2007
คือหากแฟนบอลคนไหนเคยเห็น อินซากี้ เล่น จะไม่เถียงเลยว่า เขาคือนักเตะที่จับบอลแย่มาก และมีลีลาการทำประตูที่ไม่สง่างามเอาเสียเลย แต่กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำประตูทุกรูปแบบ
1
หากถามแฟนบอลว่านึกถึงอะไรจากเกมนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่กรุงเอเธนส์ เมื่อปี 2007 ซึ่ง เอซี มิลาน ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 แน่นอนว่าพวกเขาต้องนึกถึง อินซากี้ ซึ่งยิงคนเดียว 2 ประตูก่อนคนอื่นๆ
1
แต่ก่อนที่อดีตตำนานดาวยิงทีมชาติอิตาลี จะเป็นฮีโร่พามิลานคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์สโมสร มันมีเรื่องราวเบื้องลึกที่หลายคนน่าจะยังไม่รู้
ในฤดูกาล 2006-07 อินซากี้ ซึ่งอายุ 33 ปี เริ่มอยู่ในช่วงโรยราลงไปพอสมควร
เขายิงประตูใน กัลโช่ เซเรีย อา ได้แค่ 2 ลูกตลอดทั้งซีซั่น โดยที่คนหนุ่มอย่าง อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ ซึ่งกลายเป็นตัวหลักแทน อังเดร เชฟเชนโก้ ที่ย้ายไปเชลซี ดูจะเหมาะเป็นกองหน้าตัวเลือกแรกมากกว่า
ระหว่างการฝึกซ้อมครั้งสุดท้ายก่อนนัดชิงเจ้ายุโรป อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ อดีตซีอีโอของ เอซี มิลาน ได้เข้าไปชมการซ้อมด้วย โดยเรื่องนี้ถูกเปิดเผยผ่านหนังสือ ‘Quiet Leadership’ ของ คาร์โล อันเชล็อตติ ซึ่งเป็นกุนซือของมิลานในเวลานั้น
ในปี 2005 มิลาน เพิ่งโดน ลิเวอร์พูล ทำแสบในเกมนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่อิสตันบูล เมื่อพลิกสถานการณ์จากตามหลัง 3 ประตูในครึ่งแรก กลับมาตีเสมอ 3-3 แล้วชนะไปในช่วงดวลจุดโทษ
นั่นหมายความว่า ถ้าหากปี 2007 ซึ่งคู่นี้กลับมารีแมตช์กันในนัดชิง แล้วทีมหงส์แดงย้ำแค้นได้อีก ทีมจากอังกฤษจะได้แชมป์รายการนี้สมัยที่ 6 เทียบเท่าปีศาจแดงดำทันที
นอกจากนั้นแล้ว ต้องไม่ลืมอีกว่าในฤดูกาล 2004-05 และ 2005-06 มิลานไม่ได้แชมป์รายการใดๆ ติดมือ ถ้าพวกเขาพลาดแชมป์ยุโรปที่เอเธนส์อีก จะถือเป็นช่วงเวลามือเปล่า 3 ฤดูกาลติดต่อกัน
นั่นทำให้ กัลเลียนี่ ไม่มีทางยอมให้สโมสรพลาดในนัดสำคัญแบบนี้แน่ๆ จึงลงไปสังเกตการณ์ซ้อมด้วยตัวเอง และยืนประกบ อันเชล็อตติ ตลอด
ในช่วงระหว่างซ้อม อินซากี้ จับบอลกระดอนเป็นว่าเล่น ไม่สามารถเก็บบอลได้ และดูจะประสานงานกับเพื่อนได้ไม่ลื่นไหล
กัลเลียนี่ ซึ่งยืนดูการซ้อมอยู่ข้างๆ อันเชล็อตติ แนะนำว่าควรให้ อัลแบร์โต้ จิลาร์ดิโน่ เป็นตัวจริงมากกว่า
เพราะนอกจาก จิลาร์ดิโน่ จะมีความสามารถในการเก็บบอลได้ดีกว่า อินซากี้ แล้ว ฟอร์มตลอดทั้งฤดูกาลนั้นก็ยิงไปถึง 12 ประตู ตรงข้ามกับ “พี่กุ้ง” ที่ยิงใน เซเรีย อา ได้แค่ 2 ลูก
แมตช์ฟิตเนสของ อินซากี้ ที่อยู่ในช่วงวัย 33 ปีก็น่ากังวล เขาลงสนามไปแค่ 87 นาทีเท่านั้นในช่วงเกมลีก 14 นัดสุดท้าย ดูไม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ไว้ใจได้เอาเสียเลย
แต่ว่า อันเช่ ยังยืนยันว่าเขาได้ตัดสินใจเลือกกองหน้าตัวจริงไปแล้ว และตอบกลับ กัลเลียนี่ แบบเรียบเฉยว่า “อินซากี้ คือสัตว์ประหลาด พรุ่งนี้มันอาจเป็นคืนของเขา”
“ใช่! จิลาร์ดิโน่ มีฟอร์มที่ดีกว่า แต่ ปิ๊ปโป้ ก็คือ ปิ๊ปโป้”
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ อันเชล็อตติ คิดแบบนั้น เพราะ ฟิลิปโป้ อินซากี้ คือนักเตะที่ถูกโฉลกในเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก มากๆ สำหรับ เอซี มิลาน
เขาคือดาวซัลโวประจำทีมใน UCL ซีซั่น 2002-03 ด้วยการยิงตลอดรายการ 10 ประตู ก่อนที่ทีมปีศาจแดงดำจะดวลจุดโทษดับ ยูเวนตุส ได้ในเกมนัดชิง
ส่วนในเกมรอบชิงเจ้ายุโรปปี 2005 ที่อิสตันบูล เขาไม่มีชื่อแม้กระทั่งเป็นตัวสำรอง เพราะเป็นช่วงที่ต้องพักฟื้นจากอาการเจ็บเข่าที่รุนแรง
ซึ่ง เอซี มิลาน ที่ไม่มีเขาลงเล่น ก็พลาดท่าโดน ลิเวอร์พูล สร้างปาฏิหาริย์เอาชนะไปได้ในช่วงดวลจุดโทษอย่างที่รู้กัน
สถิติบอกว่า ในฤดูกาล 2006-07 มิลานไม่เคยแพ้ใครใน แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบน็อคเอาต์ ถ้าหากส่ง ฟิลิปโป้ อินซากี้ ลงสนาม
ในนัดที่ออกไปแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-3 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด คนที่ได้ลงตัวจริงคือ จิลาร์ดิโน่ โดยที่ อินซากี้ เป็นตัวสำรองที่ไม่ถูกเปลี่ยนลงไปเล่น
บางที อันเชล็อตติ เชื่อว่าหัวหอกที่เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมชาติอิตาลีชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 อาจเป็นตัวนำโชคให้ทีมในการล้างแค้นหงส์แดงก็ได้
ในเกมนัดชิงเจ้ายุโรปกับ ลิเวอร์พูล เมื่อปี 2007 อันเชล็อตติจัดทีมในระบบ “ต้นคริสต์มาส” หรือ 4-3-2-1
แน่นอนว่ากองหน้าตัวเป้าที่ อันเชล็อตติ เลือกไว้คือ ฟิลิปโป้ อินซากี้ อย่างที่เขามีเซ้นส์ก่อนเกมว่าชายคนนี้จะทำในสิ่งที่พิเศษ
ตลอดครึ่งเวลาแรก อินซากี้ แทบจะช่วยอะไรทีมไม่ได้เลย เขาเก็บบอลไม่ได้ ขึ้นดวลลูกโหม่งก็ไม่ชนะ ยังดีที่ ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสยิงเน้นๆ ทั้งจาก เจอร์เมน เพนแนนท์ และ ชาบี อลอนโซ่ สกอร์จึงยังคงเสมอ 0-0 จนถึงช่วงท้ายครึ่งแรก
แต่นาทีสุดท้ายก่อนเข้าช่วงพักครึ่ง มันกลายเป็นโมเมนต์ที่ อินซากี้ ทำในสิ่งที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขา เมื่อ เอซี มิลาน ได้ฟรีคิกระยะหวังผล อันเดรีย ปีร์โล่ ปั่นบอลเข้าไปในกำแพง แล้วเป็น อินซากี้ ที่วิ่งหลุดกับดักล้ำหน้า เอาตัวเองเปลี่ยนทางบอลเข้าไปตุงตาข่าย ชนิดที่ไม่มีใครในสนามคิดว่าเขาจะทำแบบนั้น
ซึ่งแม้ประตูดังกล่าว จะดูเหมือนบอลโดนแขนของพี่กุ้ง แต่สมัยนั้นยังไม่มี วีเออาร์ ทำให้ มิลาน นำ 1-0 ก่อนหมดครึ่งแรกแบบมีโชคนิดๆ
1
จากนั้นในครึ่งหลัง อินซากี้ โชว์ความสามารถที่เขาเก่งมากๆ มาตลอดอาชีพ จากการสปีดหลุดเดี่ยวไปยิงประตูนำห่าง 2-0 ในช่วงท้ายเกม เมื่อ กาก้า แทงทะลุช่องแบบเหมาะเจาะให้เขาหลุดไปแตะหลบ โฆเซ่ เรน่า แล้วตวัดยิงเข้าไปโล่งๆ
แม้ ลิเวอร์พูล จะตีไข่แตกไล่มาเป็น 2-1 ในช่วงท้ายเกม แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมที่ เอซี มิลาน คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 โดยที่ ฟิลิปโป้ อินซากี้ คือฮีโร่ได้
นอกจาก 2 ประตูที่ อินซากี้ ยิงใส่ ลิเวอร์พูล พา เอซี มิลาน ผงาดครองเจ้ายุโรปสมัยสุดท้าย หลายๆ ครั้งที่เขายิงได้ เหมือนกับว่าเขาเป็นกองหน้าที่แทบไม่ต้องใช้ทักษะอะไรเลย นอกจากพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ถูกเวลา
วินเชนโซ่ มอนเตลล่า อดีตศูนย์หน้าทีมชาติอิตาลีรุ่นๆ เดียวกับ ปิ๊ปโป้ เผยว่า แม้กระทั่งเล่นตำแหน่งเดียวกัน, สัญชาติเดียวกัน และลีกเดียวกัน เขาก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไม ฟิลิปโป้ อินซากี้ ถึงยิงประตูได้เยอะกว่าเขาแบบไม่น่าเชื่อ
“จนถึงวันนี้ ผมก็ยังอธิบายไม่ได้ว่าทำไมเขายิงประตูได้มากมายขนาดนั้น”
2
“เขาเลี้ยงบอลไม่เป็น ยิงจากนอกเขตโทษก็ไม่ได้ เขามีความเก่งแค่ครึ่งเดียวของนักเตะเก่งๆ หลายคนที่ได้แชมป์ไม่ถึงครึ่งของเขา”
2
ทางด้าน ยาป สตัม อดีตปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเคยเล่นร่วมกับ อินซากี้ ในถิ่น ซาน ซีโร่ ก็เคยเผยว่า “ที่มิลาน พวกเราเล่นลิงชิงบอลกันทุกวัน แต่ว่า อินซากี้ ไม่ยอมเล่นด้วย เพราะเขารู้ว่า เขาจะต้องกลายเป็นลิง และต้องวิ่งไล่บอลมากกว่าคนอื่นแน่”
1
หลายต่อหลายครั้ง ที่ อินซากี้ ยืนเฉยๆ บอลก็มาโดนเขาเปลี่ยนทางเข้าประตูไปเอง, บางครั้ง ลูกบอลก็ไปชนเสา ชนคานหรือติดเซฟ แล้วก็มาเข้าทางให้เขาซ้ำง่ายๆ
เอมิเลียโน่ มอนโดนิโก้ อดีตกุนซือ อตาลันต้า ระหว่างปี 1994-1998 ซึ่งเคยคุม อินซากี้ ในฤดูกาลที่เขาคว้าดาวซัลโวของ กัลโช่ เซเรีย อา ได้ให้คำจำกัดความที่น่าสนใจของตำนานกองหน้าผู้นี้เอาไว้
“อินซากี้ ดูไม่น่าจะตกหลุมรักกับประตูของเขาเองสักเท่าไร แต่ประตูต่างหาก ที่ตกหลุมรัก อินซากี้”
คำพูดของ มอนโดนิโก้ ถือว่าพูดไม่ผิด เพราะเรานึกไม่ออกเลยว่า ลูกยิงลูกไหนของ อินซากี้ ที่สวยลากไส้ระดับที่ต้องเอาคลิปมาดูซ้ำบ่อยๆ
1
เขาไม่ใช่กองหน้าที่ยิงประตูสวยๆ ได้เยอะ บางฤดูกาลอาจจะฟอร์มฝืดไปดื้อๆ แต่สิ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธก็คือทักษะการหาโอกาสจบสกอร์ของเขา มันคือของจริง ชนิดที่ไม่มีใครเลียนแบบได้
บางทีพรสวรรค์ของนักฟุตบอล มันอาจไม่ได้มาในรูปแบบของการเลี้ยงบอลติดเท้า, การเปิดด้วยน้ำหนักอันแม่นยำ หรือการสับไกยิงที่เฉียบขาด
แต่ ฟิลิปโป้ อินซากี้ แสดงให้เห็นว่าการมีพรสวรรค์เป็น “สัญชาตญาณ” ก็ทำให้คุณเป็นนักเตะระดับโลกได้เหมือนกัน แม้เบสิคอาจไม่แน่นเท่าแข้งระดับโลกคนอื่นก็ตาม...
โฆษณา