24 ก.พ. 2021 เวลา 08:25 • ข่าว
EP.97 “The Hunting Game”
สหรัฐอเมริกา ประเทศที่กีฬา outdoor อย่างนึงที่ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมคือกีฬา “ล่าสัตว์” ในแต่ละรัฐกฎหมายที่มีเกี่ยวกับการล่าสัตว์จะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากเลยคือ อยู่ดีๆจะเดินดุ่มๆเข้าป่าไปล่าเลยไม่ได้ ทุกคนต้องมีใบอนุญาตในการล่าสัตว์ เพราะต้องรู้ก่อนว่า จะล่าสัตว์ชนิดไหนได้ ล่าได้เมื่อไหร่ ล่าได้ช่วงไหน และใช้อาวุธแบบไหนล่าได้ ยกตัวอย่าง บางรัฐไม่ให้เปิดไฟรถไฟสูงใส่กวางตอนล่า เพราะกวางจะตกใจและยืนอยู่เฉยๆ มันถือว่าไม่ “fair” บางรัฐห้ามไม่ให้ยิง ไม่ว่าจะปืนหรือลูกดอกใส่สัตว์ในระหว่างที่ผู้ล่านั่งอยู่ในรถ ทั้งนี้แล้ว นอกจากจะเพื่อกำหนดจำนวนสัตว์ที่ให้ล่าได้ในแต่ละปี (เพื่อรักษาสมดุลทางธรรมชาติ) ยังเพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวผู้ล่า และผู้ล่าสัตว์คนอื่นที่อาจจะอยู่บริเวณแถวนั้น หรือแม้แต่คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เปิดให้ล่าสัตว์ได้
4
และด้วยเหตุนี้เอง บางคนก็สนุกกับการล่าสัตว์เหลือเกิน ล่ามันมาแล้วทุกชนิด ทุกประเภท จนเบื่อ หันมาล่าอย่างอื่นแทน
1
*** ตอนแรกเราทำเรื่องนี้แค่เป็นคลิปใน youtube ไม่ได้กะว่าจะเขียน คิดว่าทำสลับกันไปมา และคิดถึงแค่เพียงว่า หากทำเป็นคลิป เพื่อนๆบางคนที่ไม่ชอบอ่าน หรือบกพร่องทางการเห็น จะได้สามารถเข้าถึงได้ นอกเหนือจากเรื่องที่มีบางท่านใจดี อ่านลง app สำหรับคนตาบอดบ้าง
1
แต่เราลืมคิดไปว่า เพื่อนๆบางท่านก็เป็นผู้มีปัญหา หรือบกพร่องทางการได้ยินเหมือนกัน เรามัวแต่คิดถึงอีกกลุ่ม ไม่ได้คิดถึงตรงนี้ไป เป็นความละเลยคิดไม่ถึงของเราเอง ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาบอก ต่อไปนี้เรื่องไหน เราจะเอาไปทำคลิป เราจะมาเขียนด้วย แต่ทุกเรื่องที่เขียนอาจจะไม่ได้เอาไปทำคลิป เพราะบางเรื่องก็สั้น บางเรื่องก็ไม่เหมาะกับการเอาไปทำคลิป และบางเรื่องวกไปวนมา บางเรื่องรายละเอียดล่อแหลมมาก เดี๋ยวช่องเราจะบินก่อน 5555
หากท่านไหนจะเอาเรื่องไปแปล/พิมพ์เป็นอักษรเบร์ล ติดต่อมาได้นะคะ เรายินดีค่ะ
2
เรื่องนี้เราทำเป็นคลิปไว้ หากใครจะชมแบบคลิปติดตามได้ที่ : https://youtu.be/pvT_FXLsgoY
Alaska กับเมืองที่น่าหลงไหล:
รัฐ Alaska สหรัฐอเมริกา เต็มไปด้วยสภาพพื้นที่ที่หนาวเย็น ธรรมชาติสวยงาม ด้วยความที่คนอยู่น้อย ทำให้ธรรมชาติยังไม่ถูกทำลายมากนัก มีป่าทึบที่มีเหล่าสัตว์ป่าน้อยใหญ่มากมาย ทำให้กีฬาล่าสัตว์ที่นี่ค่อนข้างจะมีความหลากหลาย (ให้คิดดูว่าล่าได้ทั้งกวาง เป็ด มูส นก และสัตว์ใหญ่ๆอย่างเช่น หมี หรือหมาป่า)
2
ก่อนหน้านี้รัฐ Alaska เป็นรัฐที่ห่างไกลความเจริญมาก ด้วยสภาพภูมิประเทศ และมีชาวพื้นเมืองที่ยังคงอาศัยอยู่ในชุมชนที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ๆออกไป ความเจริญนั้นเริ่มเข้ามายังรัฐ Alaska ในช่วงยุคปี ‘70 ยุคที่เริ่มสร้างท่อส่งก๊าซนั้นแหละค่ะ พอเริ่มสร้างก็ต้องการแรงงานคนจำนวนมาก คนก็เริ่มอพยพไปอยู่ที่ Alaska เพื่อจะไปทำงานเก็บเงิน พอมีคนส่วนมากย้ายมาอยู่ (ที่ส่วนมากเป็นผู้ชาย) ก็มีบาร์ที่เป็นบาร์ ผับสำหรับผู้ชาย เช่นพวกบาร์ที่มีนักเต้นระบำเปลื้องผ้า ผุดขึ้นมาเยอะมาก เพื่อรองรับ demand เหล่านี้ ผู้หญิงก็จะเดินทางไปที่ Alaska เยอะขึ้นด้วยความที่อยากจะทำงานด้านนี้เหมือนกัน
2
ในวันที่ 13 สิงหาคม ปี 1983 มีนักล่าสัตว์สองคน เดินทางเข้าป่า เพื่อจะล่ากวางมูส ทั้งสองเดินลึกเข้าไปในป่า บริเวณใกล้ๆกับแม่น้ำ Knik ที่อยู่ห่างจากเมือง Anchorage ไปประมาณ 20 ไมล์ นักล่าสัตว์ทั้งสอง เดินไปเดินมา หากวางมูสไม่เจอซักที….แต่ดันไปเจอกับอย่างอื่นแทน
1
สิ่งที่นักล่าสัตว์ทั้งสองเดินไปเจอนั้น คือกองซากศพมนุษย์ ที่มีกระดูกกระจัดกระจาย มีเสื้อผ้าวางอยู่ ทั้งสองคนเดินทางออกมาจากป่า เพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ไปยังที่เกิดเหตุ และเพื่อตรวจสอบหลักฐานต่อไป
1
เจ้าหน้าที่ที่เดินทางขึ้นไปตรวจสอบ และมีหน้าที่เก็บ และพิสูจน์หลักฐานในคดีนี้คือตำรวจที่เป็นหน่วยที่มีชื่อว่า State Trooper เนื่องจากบริเวณที่เจอศพนั้นเป็นป่าเขา ทำให้อยู่ภายใต้ jurisdiction ของตำรวจหน่วยนี้
1
**State Trooper เป็นตำรวจของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลในรัฐนั้นๆ หรือบางทีก็รวมทางหลวง เนื่องจากตำรวจธรรมดา จะประจำการที่เขตใดเขตนึง หรือสถานีใดสถานีนึง ไม่เหมือนกับ State Trooper ที่พูดง่ายๆคือมีพื้นที่รับผิดชอบมากกว่า
Cr:https://www.adn.com/alaska-news/2018/09/02/the-public-seems-to-love-the-new-alaska-state-troopers-look-retired-troopers-dont/
เจ้าหน้าที่เก็บซากศพ และเศษเสื้อผ้าที่อยู่ในบริเวณนั้นกลับลงมาทำการตรวจสอบหาตัวผู้ตาย โดยได้หลักฐานสำคัญคือส่วนกรามล่างของศพ มาสืบหาตัวได้จากหลักฐานทางทันตกรรมว่า ผู้ตายนั้นคือ Sherry Marrow นักเต้นระบำเปลื้องผ้าวัย 23 ปี ที่หายตัวไปเมื่อ 10 เดือนก่อน โดยแฟนหนุ่มของ Sherry ยืนยันเสื้อผ้าที่เจออยู่กับศพว่าเป็นเสื้อผ้าของ Sherry ที่ใส่ในวันที่เธอหายตัวไป นอกจากนั้นแล้ว ในบริเวณที่พบศพ เจ้าหน้าที่ยังพบเข้ากับปลอกกระสุนขนาด .223 ตกอยู่สองอันด้วยกัน สิ่งที่ตำรวจหาไม่เจอดูเหมือนจะเป็นสร้อยคอ ที่ Sherry มักจะใส่เป็นประจำไม่เคยขาด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะอาจจะมีสัตว์ป่าไปคุ้ยบริเวณที่ศพถูกฝังแล้วเอาสร้อยคอ หรือชิ้นส่วนอื่นติดไปทิ้งที่อื่นแล้วก็เป็นได้
Sherry Marrow Cr: The Alaskan State Trooper
เมื่อตำรวจ State Trooper เจอเข้ากับศพของ Sherry ก็เริ่มคิดว่า เรื่องมันคุ้นๆ เหมือนเคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน และย้อนกลับไปดูคดีเก่าๆที่หน่วยของตัวเองเคยทำหรือเคยเจอมาก่อนหน้านี้
คดีอันน่าสงสัย:
ย้อนกลับไปก่อนที่จะมาเจอกับศพของ Sherry นั้น ตำรวจเจอกับศพผู้หญิงอีกหลายศพ ที่ถูกฝังอยู่ในหลุมตื้นๆในพื้นที่ห่างไกลมาก่อน ในเดือนกันยายน ปี 1980 บนถนนที่อยู่ในเมือง Eklutna มีคนงานก่อสร้าง กำลังทำการไถปรับหน้าดิน แล้วดันไปเจอเข้ากับโครงกระดูกเข้าโครงนึง ตำรวจถูกตามตัวมายังสถานที่เกิดเหตุ และกระดูกนั้นถูกนำไปให้หน่วยนิติเวชพิสูจน์หลักฐานและหาตัวผู้ตาย สิ่งที่เจ้าหน้าที่รู้ มีเพียงว่า ผู้ตายเป็นผู้หญิง ถูกแทงจนเสียชีวิต และเสียชีวิตมาน่าจะเกิน 1 ปีแล้ว
2
ภาพจำลองของ Etlukna Annie Cr: Investigation Discovery
น่าเสียดายที่ตั้งแต่ตอนที่เจอศพจนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครทราบได้เลยว่า ผู้หญิงที่ตายคนนี้เป็นใคร มาจากไหน ชื่ออะไร ผู้คนและเจ้าหน้าที่จึงพากันเรียกเธอว่า “Eklutna Annie” ตามชื่อสถานที่ที่พบเจอกับศพของเธอ ภายในปีเดียวกันนั้นเอง นักล่าสัตว์ก็ดันไปเจอเข้ากับศพของผู้หญิงอีกคนนึง ที่ถูกฝังอยู่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากบริเวณที่เจอกับศพของ Sherry มากนัก โดยเจ้าหน้าที่สามารถสืบหาเจอว่าผู้ตายนั้นมีชื่อว่า Joanna Messina สิ่งที่น่าสนใจคือ Joanna นั้นมีอาชีพเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าเหมือนกัน และภายในบริเวณที่พบศพ Joanna เจ้าหน้าที่ยังเจอเข้ากับปลอกกระสุนขนาด .223 อีกด้วย รูปการณ์ของคดีเหล่านี้ มีส่วนคล้ายคลึงกันไม่มากก็น้อย ตำรวจตัดสินใจส่งปลอกกระสุนที่ได้มาจากสองคดีไปยังหน่วยงานของ FBI ใน Washington DC เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบทีว่า ปลอกกระสุนนั้นถูกยิงออกมาจากปืนกระบอกเดียวกันหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ แสดงว่าในตอนนี้ตำรวจกำลังเจอเข้ากับฆาตกรต่อเนื่องเข้าให้แล้ว
1
**ซึ่งในภายหลังผลจากการตรวจสอบยืนยันนะคะว่า ปลอกกระสุนที่เจอจากสองคดีนั้น ถูกยิงออกมาจากปืนกระบอกเดียวกัน
นอกจากนี้แล้วตำรวจยังค้นหาจากในระบบคนหายก็พบว่าในช่วงปี 1980 - 1983 มีรายงานว่ามีผู้หญิงหายตัวไปจำนวนมาก ในตอนนั้นจำนวนผู้หญิงที่หายตัวไปในระบบก็มีประมาณ 12 คนด้วยกัน เกือบทุกคน มีอาชีพที่้เป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าบ้าง ผู้หญิงที่ทำงานขายบริการทางเพศบ้าง บางทีตำรวจก็ไม่แน่ใจว่า ผู้หญิงที่หายตัวไปนั้น สมัครใจย้ายที่อยู่ไปเอง คือนึกอยากจะย้ายก็ย้าย นึกอยากจะหายก็หาย หรือจริงๆแล้วพวกเธอ ถูกใครลักพาตัวไปกันแน่? และที่สำคัญ ผู้หญิงที่หายตัวไป แต่ยังไม่มีใครมาแจ้งความคนหาย มีมากอีกเท่าไหร่?
6
ในช่วงที่ตำรวจ State Trooper กำลังค้นหาตัวผู้หญิงเหล่านี้ และสืบคดีที่เจอศพ 3 ศพดังกล่าว ก็มีเรื่องเกิดขึ้นในเมือง Anchorage ทำให้การสืบคดีของตำรวจนั้น ดูเหมือนจะต้องหันเหไปอีกทางเลยทีเดียว
1
Cindy Paulson, the one that got away:
ในเดือนมิถุนายน ปี 1983 Cindy Paulson วัย 17 ปี ทำงานเป็นหญิงขายบริการทางเพศ Cindy เดินหาลูกค้าอยู่ในค่ำคืนนึง จนมีชายคนนึง ขับรถยนต์เข้ามาจอด ชายผู้นั้นใส่แว่นหนาใหญ่ ฟันหน้าบิ่น พูดจาติดอ่าง ดูยังไงก็ไร้พิษภัย เพราะดูเป็นผู้ขายที่ nerd มากๆคนนึงเท่านั้นเอง Cindy ตกลงขึ้นรถไปกับลูกค้าคนดังกล่าว
1
Cindy Paulson
เมื่อรถขับออกมาได้ไม่นาน ชายที่ไร้พิษสง อยู่ดีๆก็เอากุญแจมือมาคล้องข้อมือของ Cindy และชักปืนออกมาขู่เธอ ชายคนร้ายขับรถพา Cindy มาที่บ้านหลังนึง บังคับ Cindy ลงไปยังห้องใต้ดิน ก่อนจะเอากุญแจมือที่รัดข้อมือของ Cindy อยู่ แขวนไว้กับโซ่ที่ผูกไว้กับขื่อไม้บนเพดาน ชายคนร้ายลงมือทำร้ายและข่มขืน Cindy อย่างวิตถาร ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนและหลับไปบนโซฟาที่อยู่ใกล้ๆในห้องดังกล่าวในที่สุด เขาหลับไปถึง 5 ชั่วโมง ทิ้งให้ Cindy ห้อยอยู่กับโซ่ต่องแต่งอยู่แบบนั้น Cindy พยายามจะหนี แต่ก็ไม่สามารถปลดตัวเองให้หลุดจากกุญแจมือได้ เธอใช้เวลานี้ มองไปรอบๆห้องเพื่อสังเกตดูรายละเอียดต่างๆ รอบๆห้องของชายคนร้ายคนนี้ มีแต่ซากสัตว์ต่างๆ ที่น่าจะได้มาจากการล่าสัตว์ บนเพดาน ผนังห้อง มีหัวสัตว์ เขาสัตว์ติดโชว์อยู่ บนพื้นก็มีหนังหมี ที่มุมห้องยังมีหนังหมาป่า กองอยู่อีกด้วย
2
เมื่อชายคนร้ายตื่น เขาบอกกับ Cindy ว่า อยากจะพา Cindy ไปที่กระท่อมในป่า เมื่อไปแล้ว ก็จะกลับมา พา Cindy ไปส่งยังสถานที่ที่รับ Cindy มาเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นอย่าขัดขืน (ใครเขาอยากไปกับแก) เขาทำเหมือนเดิมคือ เอาปืนออกมาจี้ ขู่ Cindy และพา Cindy ขึ้นรถ ขับออกไป
2
ชายคนร้ายพา Cindy มาจอดในสนามบินเล็กๆแห่งนึงในเมือง Anchorage ก่อนที่จะทิ้ง Cindy ไว้ในรถ เมื่อ Cindy มองขึ้นมาก็เห็นชายคนร้าย กำลังโหลดเอาของ และที่สำคัญคืออาวุธต่างๆ ใส่เครื่องบินเล็กลำนึงไว้ เมื่อเห็นอย่างนั้น Cindy คิดได้ว่า หากเธอขึ้นเครื่องบินลำดังกล่าวไปกับเขา เธอจะไม่มีวันได้กลับมาอีกเลย คิดได้ดังนั้น Cindy ตัดสินใจเปิดรถแล้ววิ่งออกมาจากสนามบิน
เครื่องบินของ Robert Cr: The Alaskan State Trooper
**สนามบินในเมืองเล็กๆมันจะไม่เหมือนสนามบินที่เรารู้จักกันกันนะคะ สภาพมันเหมือนเป็นโกดังที่เก็บเครื่องบินมากกว่า มันจะไม่มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะคนที่อยู่ที่นั้นก็คือคนที่มีเครื่องบินเล็กๆ หรือคนที่ทำงานในโกดังเก็บเครื่องบิน ซึ่งแน่นอน ไม่เยอะค่ะ
เมื่อ Cindy ตัดสินใจวิ่งออกมา เธอวิ่งออกนอกสนามบิน และเริ่มวิ่งไปตามถนน วิ่งทั้งๆที่มีกุญแจข้อมือคล้องอยู่ และร่างกายนั้นกึ่งเปลือย โดนมีชายคนร้าย วิ่งตามมาติดๆ เป็นโชคดีของ Cindy ที่ในขณะที่วิ่งนั้น มีรถกระบะขับมาพอดี และคนขับรถตัดสินใจจอดรับ Cindy ขึ้นมา เมื่อชายคนร้ายเห็น Cindy โบกรถกระบะได้ ก็วิ่งหนีไปอีกทาง
1
ชายคนขับรถกระบะ พยายามเกลี้ยกล่อม Cindy ให้ไปยังสถานีตำรวจ แต่ Cindy ยืนยันให้เขาขับพาเธอไปส่งที่ Motel แห่งนึงในเมือง Anchorage ก็พอ เมื่อปล่อย Cindy ลงจากรถไปแล้ว ชายคนขับรถกระบะนั้นไม่รอช้า เขาแวะไปที่โทรศัพท์สาธารณะที่ใกล้ที่สุด ก่อนจะโทรแจ้งตำรวจเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองเห็นมา ไม่เพียงแค่ชายคนขับรถกระบะเท่านั้น reception ที่ Motel ดังกล่าว เห็นสภาพที่ Cindy เดินเข้ามาก็ตกใจ โทรเรียกตำรวจเหมือนกัน
1
นายตำรวจ Greg Baker เป็นตำรวจที่ได้รับผิดชอบให้มาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ในตอนที่เขามาถึงห้องที่ใน Motel ของ Cindy ก็พบเข้ากับ Cindy ผู้ยังมีกุญแจมือติดที่ข้อมืออยู่ มีอาการตกใจ หวาดผวา นายตำรวจ Greg Baker ต้องเอากุญแจที่ไขกุญแจมือของตัวเองนั้น ช่วยไขและปลดล็อกกุญแจมือของ Cindy ก่อนที่ Cindy จะมีอาการผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้กับตำรวจฟัง (ในตอนนั้น Cindy มาที่ Motel เพื่อจะหา “แฟน” ของตัวเอง และเมื่อตำรวจมาถึง แฟนของ Cindy นั้นออกไปข้างนอก เพื่อจะหากุญแจมาไขปลดล็อกกุญแจมือของ Cindy นั้นเองค่ะ แต่จริงๆแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แฟนของ Cindy หากแต่เป็นแมงดาของเธอต่างหาก)
Cindy เล่าเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟัง ในตอนแรกตำรวจเหมือนจะไม่เชื่อ Cindy เพราะเรื่องมันดูน่าเหลือเชื่อมากเหลือเกิน แต่ตัดสินใจ เอา Cindy ใส่รถ เพื่อเดินทางไปที่สนามบินดังกล่าวด้วยกัน เมื่อไปถึง Cindy สามารถชี้เครื่องบินเล็กลำนึงที่เป็นของคนร้ายได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อมูลชื่อเจ้าของเครื่องบิน มาจากยามที่ทำงานในสนามบิน เจ้าของเครื่องบินลำนี้มีชื่อว่า “Robert Hansen” นั้นเองค่ะ
2
Robert Hansen Cr:https://murderpedia.org/male.H/h/hansen-robert-photos.htm
นอกจากจะได้ชื่อแล้ว ยังได้ที่อยู่ ตำรวจตัดสินใจขับรถไปตามที่อยู่ที่ได้จากยาม ในคราวนี้ไม่ได้มี Cindy ไปด้วย เมื่อไปถึงบ้านหลังดังกล่าว ตำรวจก็พบว่าลักษณะภายนอกของบ้าน ตรงตามกับคำให้การของ Cindy และเมื่อรอได้ไม่นานก็มีผู้ชายคนนึงขับรถเข้ามาจอด นอกจากรถจะตรงกับคำให้การของ Cindy ถึงรถที่คนร้ายใช้ในการลักพาตัวเธอไป ชายคนขับที่ก้าวลงมาจากรถก็ยังหน้าตาเหมือนกับรูปร่างหน้าตาคนร้ายที่ Cindy ได้บอกตำรวจไว้
ชายคนขับรถนั้นยอมรับว่า เขานี่แหละ Robert Hansen แถมยังให้ความร่วมมือกับตำรวจเป็นอย่างดี เขาเชื้อเชิญตำรวจเข้าบ้านและให้ตำรวจตรวจค้นบ้านได้เต็มที่ ตำรวจลงไปที่ห้องใต้ดิน ก็พบเข้าพับซากสัตว์ต่างๆ ตามที่ Cindy บอก และพบเข้ากับปืนหลายกระบอกด้วยกัน (แต่ก็ไม่แปลก เพราะ Robert ก็ยอมรับว่าเป็นปืนของเขาทั้งหมด และมีไว้เพื่อทำการล่าสัตว์ต่างๆ) เจ้าหน้าที่ไม่พบหลักฐานอื่นเช่น โซ่ที่ห้อยลงมาจากขื่อเพดาน และหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้แค่เพียงว่า Cindy เคยมาอยู่ที่นั้น แต่ไม่มีอะไรระบุว่า Cindy โดนข่มขืน ลักพาตัว หรือโดนทำร้ายแต่อย่างใด
2
สภาพห้องใต้ดินของ Robert Hansen Cr: The Alaskan State Trooper
นอกจากนั้นแล้ว Robert ยังปฏิเสธ และบอกว่า เขาอาจจะเคยพา Cindy มาที่บ้าน แต่ไม่ได้ทำเรื่องดังกล่าวแน่นอน มิหนำซ้ำในคืนเกิดเหตุนั้น เขายังมีพยานอีกด้วย เพราะในช่วงกลางวัน เขาไปดื่มเบียร์อยู่กับเพื่อนบ้าน พร้อมกับทำการซ่อมเบาะหนังเครื่องบินด้วยกันจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นก็ไปดื่มกินสังสรรค์กับเพื่อนอีกคนจนเกือบเช้า พอออกจากบ้านเพื่อน เขาก็เอาเบาะเครื่องบินไปติดกลับใส่ในเครื่องบิน แล้วก็ขับรถเข้ามาจอดที่บ้าน แล้วก็เจอเข้ากับเจ้าหน้าที่นี่แหละ ตำรวจไปเช็คกับพยานทั้งสองปากที่ Robert อ้าง และพบว่าเรื่องทั้งหมดนั้นตรงกันกับการให้ปากคำของ Robert ทุกอย่าง
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ตำรวจเชิญ Cindy มาให้ปากคำเพิ่มเติมที่โรงพัก และขอให้ Cindy เข้าเครื่องจับเท็จ Cindy ปฏิเสธ และไม่ดำเนินการอยู่ เธอกลัวมาก จนตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นแทน (เป็นเรื่องปรกติในสมัยนั้น คนที่ทำงานลักษณะนี้ จะไม่ไว้ใจตำรวจ ตำรวจก็เหมือนกัน ไม่ค่อยถือสาคดีที่เกิดกับคนที่ทำงานประเภทนี้เท่าไหร่ เพราะในสมัยนั้น มันเหมือนกับว่า เขาเป็นคนที่อยู่ในมุมมืดของสังคม คนที่ถูกลืม ประมาณนั้นเลยค่ะ) พอเรื่องเป็นแบบนี้ ไม่มีเจ้าทุกข์ ไม่มีการสืบเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงสั่งปิดคดีนี้และยุติการสืบสวนทั้งหมดไว้นั้นเอง
2
แต่ก็มิได้หมายความว่าตำรวจทุกคนจะเป็นเหมือนกันหมด….
1
ชายผู้มีประวัติไม่ธรรมดา:
เจ้าหน้าที่ตำรวจ Greg Baker คนที่ไปเจอเข้ากับ Cindy ที่ห้องใน Motel ไม่คิดที่จะหยุดสืบ ถึงแม้ว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่นจะคิดว่า Cindy นั้นโกหก และหัวหน้าสถานี (หรือผู้กำกับ) สั่งให้ยุติการสืบคดีแล้วนั้น แต่ Greg เชื่อว่า Cindy พูดความจริง เพราะในวันนั้นที่เห็น Cindy ผู้ที่เป็นคนที่ค่อนข้างจะ “เจนโลก” หรือ street smart พอสมควร กลับกลัวจนลนลาน ตัวสั่น เขาเชื่อ Cindy และคิดว่า Robert Hansen คนนี้ น่าจะมีอะไรแปลกๆ และน่าจะมีอะไรอยู่เบื้องหลัง Greg เลยตัดสินใจ ลองสืบดูว่า Robert Hansen คนนี้เป็นใคร และมีประวัติยังไงบ้าง
Robert Hansen
Robert Hansen จริงๆแล้วไม่ได้เกิดและเติบโตที่ Alaska เขาเกิดและเติบโตในครอบครัวผู้อพยพจากประเทศ Denmark ในรัฐ Idaho ครอบครัวของ Robert ค่อนข้างมีฐานะ เพราะพ่อของ Robert เป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ แต่ชีวิตในวัยเด็กของ Robert นั้นดันเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่มีแต่ปมและปัญหา เนื่องจาก Robert ไม่ค่อยมีเพื่อน เข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง และมักจะโดนล้อบ่อยๆ เหตุเนื่องจากเป็นเด็กผู้ชายที่ค่อนข้างจะรูปร่างเล็ก บอบบาง ลักษณะเนิร์ดๆหน่อย ที่ดูจะแย่ไปกว่านั้นคือ Robert มีปัญหาสิวเต็มหน้า และเขาพูดติดอ่าง
4
พอเติบโตมาไม่เท่าไหร่ Robert ก็เริ่มส่อแววว่าจะมีปัญหา เขาเริ่มก่อเหตุลักเล็กขโมยน้อยเรื่อยมา แต่ก็ไม่ได้ถูกจับหรือแจ้งความเป็นเรื่องเป็นราว แต่เรื่องที่ใหญ่ที่สุด เห็นจะเป็นการที่ Robert พยายามจะเข้าไปลอบวางเพลิงรถโรงเรียน ที่จอดอยู่ในโรงจอดรถแห่งนึง เดชะบุญที่มีคนรู้ และจับตัวเขาไว้ได้ก่อนที่เขาจะก่อเหตุสำเร็จ Robert จึงถูกส่งเข้าสถานกักกัน (หรือสถานพินิจ) แต่เข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกปล่อยตัวออกมา
5
หลังจากนั้น Robert แต่งงานกับภรรยาที่พบเจอกันในรัฐ Idaho และเข้าเรียนที่โรงเรียนสอนทำขนมเพื่อจะได้ทำงานเป็น Baker เหมือนพ่อของตัวเอง ในปี 1967 Robert ตัดสินใจพาครอบครัว ย้ายมาที่เมือง Anchorage รัฐ Alaska เพื่อมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ พอมาถึงที่รัฐ Alaska แล้ว Robert ก็เปิดเบเกอรี่ เล็กๆแห่งนึง ร้านเบเกอรี่ ของ Robert ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เขาเป็นที่รู้จักของคนในเมือง ว่าเป็นนักธุรกิจ เป็น family man และเป็น “model citizen” ของเมืองนั้นเอง
4
แต่นายตำรวจ Greg Baker นั้นคิดไม่ผิด ถึงแม้ฉากหน้าของ Robert จะดูใสสะอาด แต่จริงๆแล้ว Robert นั้นดันมีประวัติอาชญากรรมที่ดูแล้วน่ากลัวมากเลยทีเดียว
2
ในปี 1971 Robert นั้นโดนตำรวจจับถึงสองครั้งภายในเดือนเดียวกัน ในครั้งแรก เขาลักพาตัวหญิงขายบริการวัย 17 ปี ไปขัง ทรมานและข่มขืนที่ในกระท่อมในป่า และครั้งที่สอง Robert พยายามลักพาตัวหญิงสาววัย 18 ปี จากหน้าบ้านของเธอเอง แต่โชคดีที่ผู้หญิงรายนี้หนีรอดไปได้ เมื่อไปขึ้นศาล Robert เข้าทำสัญญาประนีประนอมกับรัฐ และถูกตัดสินให้จำคุกทั้งสิ้น 5 ปี ด้วยกัน แต่อยู่ในคุกได้เพียงแค่ 6 เดือน ก็ถูกปล่อยออกมาภายใน work release program หรือพูดง่ายๆ ดูประพฤติตัวดี ก็ให้ปล่อยออกมาลองใช้ชีวิตกับสังคมภายนอกอีกครั้ง (5 ปี VS. 6 เดือน พระเจ้าช่วย)
4
หลังจากนั้นมาในปี 1976 Robert ไปขึ้นศาลอีกครั้ง ด้วยข้อหาขโมยเลื่อยไฟฟ้าและพยายามจะวางเพลิง คราวนี้ เขาถูกส่งเข้าคุกและโดนคำพิพากษาให้จำคุกทั้งสิ้น 5 ปีด้วยกัน แต่ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกายกเลิกคำพิพากษาที่ลงโทษเขา 5 ปี ด้วยเหตุเพียงเพราะเห็นว่า โทษที่เขาได้รับนั้น “แรงไป”
3
เมื่อรู้ถึงประวัติดังกล่าวนั้น นายตำรวจ Greg Baker คิดว่า Robert Hansen นั้นน่าสงสัยเป็นอย่างมาก แต่เขาจะทำยังไงดี? เพราะเจ้านายก็สั่งปิดคดีไปแล้ว หากดื้อดึงส่งเรื่องไปสืบต่อ ท่าจะไม่ดีแน่ๆ เขาจึงรวบรวมเอาไฟล์และประวัติทั้งหมด….ไปส่งให้ตำรวจ State Trooper ที่กำลังสืบคดีหญิงสาวที่ตายและคดีคนหายอยู่นั้นเองค่ะ
4
FBI กับ Behavior Profile:
หลังจากที่ได้ข้อมูลมาจาก Greg Baker พวกตำรวจ State Trooper คิดว่า Robert Hansen นี่ละเป็นผู้ต้องสงสัยหลัก พวกเขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ FBI อีกครั้ง โดยการขอร้องให้ เจ้าหน้าที่ FBI สร้าง “Behavior Profile” ของฆาตกรที่ออกล่าหญิงสาวเหล่านี้ขึ้นมา (โดยไม่ได้ให้ข้อมูลของ Robert Hansen ไปนะคะ เจ้าหน้าที่ FBI จะขอแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่เอาการวิเคราะห์ หรือชื่อผู้ต้องสงสัยอะไรทั้งสิ้น)
2
**หากใครชอบดูซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง “Criminal Mind” น่าจะคุ้นเคยกับเรื่อง Behavior Profile เป็นอย่างดี การสร้าง Behavior Profile นี้ คือการสร้างลักษณะนิสัย หรือประวัติปูมหลังความน่าจะเป็นของคนร้าย หรืออาชญากร โดยไม่รู้ว่าคนร้ายคนนั้นเป็นใคร ทำมาเพื่อที่จะพยายามตีวงในการหาคนร้ายให้แคบลงนั้นเองค่ะ
2
ในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ FBI “John Douglas” (คนที่เป็นคนเริ่มต้นสร้างทฤษฎี Behavior Profile ของ FBI) ช่วยวิเคราะห์และส่ง Behavior Profile ของคนร้ายกลับมาประมาณนี้
🚨 คนร้ายเป็นคนที่มีวัยเด็กไม่ค่อยดีนัก ไม่ค่อยรู้จักวิธีเข้าหาหรือพูดจากับผู้หญิง แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกสังคมเสมอ
2
🚨 เป็นคนขี้อาย ไม่สามารถทำงานกับคนส่วนใหญ่ได้ อาจจะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็กๆ และมีประวัติวางเพลิงมาก่อน
และที่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการพูด หรือเป็นคนพูดติดอ่างนั้นเอง <<อันนี้น่าทึ่งนะ รู้ได้ไง
2
State Trooper เมื่อได้ข้อมูลกลับมา ก็ยิ่งมั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และแผนเลยคือ จะพาตัว Robert Hansen มาสอบสวน ในขณะที่ส่งอีกทีมเข้าไปค้นบ้านของเขา
***ประเด็นเลยคือจะขอหมายค้นยังไง? เพราะปรกติแล้วการขอหมายค้น หรือหมายจับ ต้องมีเหตุทางกฎหมายนะคะ คำร้องขอหมายค้นนี้ต้องสามารถอธิบายให้ศาลเข้าใจและเชื่อว่า สถานที่ที่เราจะไปค้นนั้นนะมีความเกี่ยวโยงกับคดี หรือมีของที่น่าจะเกี่ยวโยงกับคดีอยู่ และต้องทำแบบให้ถูกกฎหมาย สามารถค้นแล้วเอาหลักฐานมาใช้ได้จริงๆ ถ้าทำผิดนิดเดียว หากเอาตัวผู้ต้องหาขึ้นศาล แล้วหลักฐานที่ได้มา ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง หลักฐานนั้นอาจจะตกไปไม่ถูกนำมาประกอบการพิจารณาในคดีค่ะ
1
แต่เจ้าหน้าที่ไม่มีหลักฐาน หรืออะไรที่บ่งชี้ว่า Robert Hansen เป็นฆาตกร มีเพียงแค่ความสงสัยของเจ้าหน้าที่เท่านั้น เจ้าหน้าที่ FBI เลยมาช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเขียนคำร้องขอหมายค้นเพื่อยื่นต่อศาลอีกแรงค่ะ โดยคำร้องนี้มีสาระอยู่ถึง 48 หน้าด้วยกัน และหลักๆเลยคือพยายามให้ศาลเชื่อว่า Robert Hansen นั้นน่าจะเก็บพวกสร้อย แหวน หรือเครื่องประดับของเหยื่อที่ฆ่าไปแล้วไว้ดูต่างหน้า (เหมือนกับที่ชอบล่าสัตว์แล้วเก็บ Trophy ไว้นั้นเองค่ะ) และใช้ Behavior Profile มาเป็นหลักของการขอหมายค้นในครั้งนี้ค่ะ
4
จริงๆแล้วอ่านผ่านๆเหมือนจะธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาค่ะ เพราะคดีนี้เป็นคดีแรกที่ใช้ Behavior Profile ของฆาตกรในการขอหมายค้น และในที่สุดศาลก็อนุมัติและออกหมายค้นบ้านและ ร้านเบเกอรี่ ของ Robert ให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อไปดำเนินการต่อ
2
กระบวนการสืบสวนสอบสวน:
1
ในวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่เชิญตัว Robert Hansen มาสอบปากคำที่โรงพัก และส่งอีกทีม เข้าไปตรวจค้นบ้านและร้านเบเกอรี่ของ Robert โดยที่ Robert นั้นให้การปฏิเสธอย่างเดียว และร้องขอทนายในทันที ทำยังไงก็ไม่ยอมปริปากพูดเลย
2
ส่วนอีกทีมที่ไปที่บ้าน เจอเข้ากับภรรยา ลูกและแม่ของ Robert พอดี ภรรยาของ Robert ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งพาแม่กับลูกๆออกนอกบ้าน ให้เจ้าหน้าที่ตรวจได้เต็มที่
หลังจากที่เข้าไปในบ้านแล้ว ตรวจรอบๆบ้านๆก็ไม่เจออะไร ทุกอย่างเหมือนกับตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ Greg Baker มาตรวจในตอนแรก แต่ที่มันต้องพิเศษมากกว่านั้นคือ เจ้าหน้าที่ขึ้นไปถึงห้องใต้หลังคา เท่านั้นไม่พอ ไปเจอเข้ากับกระเบื้องแผ่นนึง ซึ่งดูขัดหูขัดตาเหลือเกิน มาอยู่อะไรตรงนี้ ทั้งๆที่ทั้งห้องมีแต่ไม้ เลยเอามือแงะ แงะไปแงะมาได้เรื่องค่าาาาา ภายใต้กระเบื้องแผ่นนั้นมีปืนซ่อนอยู่หลายกระบอก หนึ่งในปืนพวกนั้นคือปืนขนาด .223 นั้นเอง
4
ปืนที่เจอในห้องใต้หลังคา https://murderpedia.org/male.H/h/hansen-robert-photos.htm
ในช่องที่ใส่ปืนตำรวจพบกับห่อที่เก็บเอา สร้อย แหวน นาฬิกา เครื่องประดับของใช้ผู้หญิงไว้มากมาย และหนึ่งในนั้นคือสร้อยคอของ Sherry Marrow ที่หายไปนั้นเอง (มาถึงตอนนี้แล้วขนลุก) พอยิ่งเจอก็ยิ่งคุ้ย ยิ่งหา และยิ่งค้น ในห้องนอนของ Robert Hansen ตำรวจไปค้นที่หัวเตียง เจอกับช่องที่ใส่แผนที่ทางอากาศไว้ บนแผนที่นั้นมีรอยกากบาทไว้เยอะถึง 17 รอยด้วยกัน (บางข่าวบอก 24) ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ State Trooper ดูแผนที่ทางอากาศดังกล่าวถึงกับตะลึง เพราะจำได้ว่า อาณาบริเวณที่กากบาทไว้บนแผนที่ เป็นแถวๆที่เจอศพของ Sherry Marrow, Etlukna Annie และ Joanna Messina มิหนำซ้ำแล้ว บริเวณอีกแห่งที่พบบนแผนที่ เจ้าหน้าที่เคยพบศพหญิงสาวอีกคนนึง ที่มีชื่อว่า Paula Golding ในปี 1983 นั้นเองค่ะ
1
ภาพแผนที่ทางอากาศที่เจ้าหน้าที่ไปเจอ https://murderpedia.org/male.H/h/hansen-robert-photos.htm
มิหนำซ้ำนะคะ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ค้นเอกสาร พยานหลักฐานต่างๆออกมาจากบ้านของ Robert ก็มีเพื่อนบ้านคนนึงเดินเข้ามาถามเจ้าหน้าที่ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อทราบว่า Robert เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม เพื่อนบ้านคนนั้นตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า เธอคิดว่าสามีของเธอมีเรื่องจะสารภาพกับตำรวจ
1
สามีของเพื่อนบ้านคนดังกล่าวโทรติดต่อกลับมายังตำรวจ พร้อมสารภาพว่า เขาเป็นหนึ่งในพยานที่ยืนยันที่อยู่ของ Robert ในคืนที่เกิดเรื่องขึ้นกับ Cindy Paulson แต่จริงๆแล้ว Robert ไม่ได้มาหาเขาที่บ้านจริงๆหรอก เขาแค่ช่วย Robert “โกหก” เพราะมั่นใจว่า คนอย่าง Robert ไม่มีทางทำเรื่องดังกล่าวได้แน่ๆ (น่าตบไหม) และพยานอีกคนก็ให้การในแบบเดียวกัน
2
เมื่อตำรวจเจอหลักฐานมากมายท่วมท้นขนาดนี้ ก็ไปบอก Robert Hansen ค่ะ ในตอนนี้ Robert นั้นไม่มีข้อแก้ตัวอื่นได้ เขาบอกกับตำรวจว่า จะรับสารภาพก็ได้ แต่ก่อนที่จะสารภาพนั้น เขามีเงื่อนไขยื่นให้กับเจ้าหน้าที่รัฐดังนี้ค่ะ
⭕️ ตำรวจและเจ้าหน้าที่จะต้องไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับ แม่ ภรรยา และลูกๆของเขา
⭕️ เขาจะรับสารภาพและพาตำรวจไปยังจุดที่เขาฝังศพเหยื่อ แต่ Robert จะต้องโทษจากคดีฆาตกรรม จากแค่ 4 คดีที่ตำรวจพบศพของเหยื่อแล้วเท่านั้น
⭕️ เขาจะไม่ได้รับโทษประหาร และเมื่อถูกจำคุก เขาจะถูกส่งไปจำคุกที่ในรัฐอื่น นอกเขตรัฐ Alaska
เมื่อเจ้าหน้าที่ตกลง Robert Hansen ก็สารภาพ และคำสารภาพของ Robert นั้นอาจจะทำให้ทุกคนอ้าปากค้าง แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ??? (หรืออาจจะคิดว่า ทำไมฉากนี้คุ้นๆ มันคุ้นเพราะเรื่องของเขา ถูกนำไปดัดแปลงเป็นส่วนหนึ่งของหนัง หรือซีรี่ส์มากมายนั้นเองค่ะ)
1
คำสารภาพของฆาตกร:
Robert มักจะออกหาเหยื่อที่เป็นผู้หญิงค้าบริการทางเพศ หรือผู้หญิงที่ทำงานในคลับที่เป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้า โดยจะรับมาจากข้างถนน หรือทำตัวตีสนิทกับเหยื่อ นัดเหยื่ออกมาเจอกันที่ข้างนอก เพื่อจะคุยเรื่องงานถ่ายแบบ โดยเสนอค่าบริการให้เหยื่อเป็นจำนวนมาก
หากเป็นเหยื่อที่นัดมาเจอกันที่สถานที่สาธารณะ Robert จะนั่งอยู่ในรถ เพื่อรอเหยื่อให้มาถึงแล้วเดินเข้าไปในร้านก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า เหยื่อมาคนเดียว พอเหยื่อตายใจขึ้นรถไปกับเขา เขาก็จะเอากุญแจมือล็อกข้อมือเหยื่อแล้วเอาปืนมาจี้ให้เหยื่อทำตาม
เหยื่อบางรายจะถูกนำไปที่กระท่อมกลางป่า (น่าจะเป็นกระท่อมของเขาเอง หรือกระท่อมนักล่าสัตว์ที่ไม่มีใครอยู่) หรือพามาที่บ้าน ในช่วงที่ Robert ส่งภรรยาและลูกไป vacation ที่อื่น (ในคราวของ Cindy Paulson นั้น Robert ส่งภรรยาและลูกไปเที่ยวยุโรป)
หากเหยื่อคนไหนทำตัวดี และรอดกลับมาได้ Robert จะข่มขู่ด้วยการบอกว่า เขามีเส้นสายมากมาย และสามารถเอาผิดผู้หญิงคนดังกล่าวได้ จากข้อหาขายบริการทางเพศ และหากไปบอกใคร ไปแจ้งตำรวจก็จะไม่มีใครเชื่อพวกเธอหรอก เพราะเขาสามารถหาพยานได้เสมอ หากเหยื่อคนไหน พูดจาไม่ถูกหู หรือพยายามขึ้นราคาค่าตัว Robert จะบังคับพาผู้หญิงคนนั้นขึ้นเครื่องบินเล็กส่วนตัว บินไปยังแถวเขตแม่น้ำ Knik
3
ซึ่งทำเลแถบแม่น้ำนี้เป็นทำเลที่เหมาะมากสำหรับ Robert มันมีชายฝั่งที่ยาวและกว้าง สามารถเอาเครื่องบินลงจอดได้อย่างง่ายดาย มันอยู่ไม่ห่างจากเมือง Anchorage มากนัก แต่ไม่มีใครสามารถเข้ามาได้ เว้นแต่จะมีเครื่องบิน หรือเรือส่วนตัว เมื่อลงจอดแล้ว Robert จะลากเอาตัวเหยื่ออกมาจากเครื่องบิน ปลดกุญแจมือ และปล่อยให้เหยื่อเริ่มวิ่ง เพราะวิ่งไปเท่าไหร่ หรือจะร้องตะโกนอย่างสุดเสียงก็ไม่มีใครได้ยิน
หลังจากที่เหยื่อวิ่งออกไปแล้ว Robert จะเริ่มเอาอาวุธออกมา ไม่ว่าจะเป็นปืน หรือมีด แล้วเริ่มสะกดรอยตามเหยื่อ ก่อนจะตัดสินใจปลิดชีวิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ไม่ว่าจะด้วยปืนหรือมีดที่เตรียมมา แล้วเอาเหยื่อไปฝังไว้ในหลุมตื้นๆแทน
1
**Robert แบ่งผู้หญิงออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้หญิงที่เขาปฏิบัติด้วยความสุภาพ เช่นภรรยา เพื่อนบ้าน หรือลูกค้า แต่อีกกลุ่มที่เป็นผู้หญิงขายบริการทางเพศ หรือนักเต้นระบำเปลื้องผ้าเหล่านี้ Robert จะคิดกับพวกเขา เหมือนกับว่า “ไม่ใช่คน”
3
ระหว่างที่ต้องเข้าคุกเพื่อรอการขึ้นศาล Robert ยังพาเจ้าหน้าที่ขึ้นเครื่องบิน บินออกไปยังบริเวณแถบแม่น้ำ Knik หลายครั้ง เพื่อไปขุดเอาศพเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายขึ้นมา Robert สามารถจำได้แม่น แบบไม่ต้องใช้แผนที่ว่าเหยื่อคนไหนถูกฝังไว้ที่ไหนบ้าง เจ้าหน้าที่สามารถขุดศพขึ้นมาเพิ่มได้อีก 11 ศพ (Robert เริ่มทำการฆ่ามาตั้งแต่ปี 1973) และอีกหลายศพ ไม่สามารถขุดเจอได้ โดยคาดเดาว่า เนื่องจาก Robert ชอบฝังศพเหล่านี้ไว้ในหลุมศพตื้นๆ เลยอาจจะโดนสัตว์ป่า ลากเอาศพพวกนี้ไปกัดแทะ แล้วหายไปแล้วก็เป็นไปได้ ที่น่าเศร้าคือเหยื่อบางราย ไม่มีชื่อ ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตราบจนถึงทุกวันนี้ เพราะ Robert เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วผู้หญิงพวกนั้นเป็นใครมาจากไหน
ภาพแผนที่และคนที่อาจจะเป็นเหยื่อที่เจ้าหน้าที่โยงเข้าด้วยกัน Cr:https://heavy.com/.../serial-killer-robert-hansen-victims/
ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ปี 1984 ศาลลงโทษ สั่งพิพากษาตัดสินจำคุก Robert จากคดีฆาตกรรม 4 คดีด้วยกัน (ตามข้อตกลง) โดยสั่งให้ Robert ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต + 461 ปีด้วยกัน (เป็นการลงโทษตามกฎหมายนะคะ เหมือนที่ไทย บางทีลงโทษเป็นเดือน มากกว่าจะบอกเป็นปี เพราะมันเป็นการนับโทษตามข้อหา ตามกฎหมายค่ะ) Robert Hansen เสียชีวิตในคุก เมื่อปี 2014
3
เรื่องของ Robert Hansen ถูกนำไปสร้างเป็นหนังที่มีชื่อว่า “The Frozen Ground” ปี 2013 มี John Cusack เล่นเป็น Robert Nicholas Cage เล่นเป็นนายตำรวจ และ Vanessa Hudgens เล่นเป็น Cindy Paulson ค่ะ
2
🌞🌞🌞 >>>ในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า คนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจนะคะ และอย่าตัดสินคนจากภายนอก คนที่มีหน้ามีตาทางสังคม มีรูปร่างลักษณะภายนอก ที่เป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัย กลับกลายเป็นคนที่เหี้ยมโหด ออกล่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ต่างจากสัตว์ ในขณะที่เหยื่ออย่าง Cindy ผู้ซึ่งในตอนนั้นถือได้ว่าเป็นผู้เยาว์ด้วยซ้ำ กลับโดนปฏิบัติเยี่ยงผู้ต้องหา หรือคนร้าย เหตุเพียงแค่เพราะตัวเธอนั้นทำอาชีพที่สังคมตั้งแง่เหยียดหรือรังเกียจ ไม่เท่านั้นนะคะ เพราะรูปร่างหน้าตา และสถานะทางสังคมของ Robert เมื่อ Robert ขึ้นศาลหรือถูกส่งไปจำคุก เจ้าหน้าที่ยังผ่อนโทษหนักของเขาให้เป็นโทษเบา ทั้งๆที่อาชญากรรมที่เขาก่อมันไม่ได้เบาเลย
2
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ Greg Baker ผู้ซึ่งไม่โอนอ่อนตามลม ทำงานด้วยหน้าที่ ด้วยความซื่อตรง ทั้งๆที่ Cindy ไม่มีอะไรมาให้เขาเลย หากไม่ได้ Greg ไม่แน่ ป่านนี้เราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ฆาตกรรายนี้เป็นใคร และเขาจะฆ่าคนไปอีกซักเท่าไหร่?
2
EP. เก่าๆดูได้อีกทางที่นี้ค่ะ
1
Facebook Page:
🐝Subscribe To My Youtube Channel🐝
Blockdit:
โฆษณา