25 ก.พ. 2021 เวลา 00:05 • การศึกษา
#การกระทำผิดวินัยร้ายแรง #ฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
" ชนใดประพฤติธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว​ ชนเหล่านั้นจักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยาก" (พุทธภาษิต)
ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคสอง บัญญัติว่า
“กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักว่าโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าโทษจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เป็นความผิดวินัยร้ายแรง”
ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ยกเลิกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 85 บัญญัติว่า
“มาตรา ๘๕ การกระทำผิดวินัยในลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
(๔) กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
(๖) กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักว่าโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าโทษจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ”
ตามผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงทั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 (ที่ถูกยกเลิก) นั้น มีความผิด 2 ฐาน คือ
1. กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
2. กระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักว่าโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าโทษจำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ในที่นี้จะขออธิบายความผิดฐานที่ 1 ก่อนเพราะจะเป็ฯฐานความเข้าใจในองค์ประกอบคยามผิดฐานที่ 2 ต่อไป
1. ความผิดฐานกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักว่าโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่าโทษ
ความผิดฐานนี้เป็นการประพฤติชั่วร้ายแรงที่ค่อนข้างจะชัดแจ้งว่า ถ้าเป็นการกระทำความผิดอาญา เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก (คือ ประหารชีวิตนั้นเอง) และได้รับโทษโดยมีการจำคุกจริง (ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 36/2542 และที่ 1/2556) ถ้าศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แต่รอการลงโทษหรือรอการรับโทษ ไม่ถือเป็นการกระทำความผิดฐานนี้ แต่ถ้าพฤติการณ์การกระทำความผิดอาญาร้ายแรงแม้จะศาลพิพากษาถึงที่สุดรอการลงโทษหรือรอการรับโทษ แต่ก็อาจจะถือว่าเป็นความผิดฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงก็ได้ ซึ่งจะต้องพิจารณาพฤติการณ์เป็นรายๆกรณีไป
2. ความผิดฐาน กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 ไม่ได้ให้คำนิยามความหมายคำว่า ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงไว้ จึงเป็นดุลพินิจของฝ่ายปกครองที่จะพิจารณาว่าพฤติการณ์อย่างไรที่เข้าข่ายเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งฝ่ายปกครองจะต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และเมื่อพิจารณาจากมาตรา 98 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 เห็นได้ว่า มาตราดังกล่าวได้บัญญัติถึงพฤติการณ์ที่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงไว้ว่า เป็นการกระทำผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือรับโทษที่หนักกว่าจำคุก การกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงควรเป็นการกระทำที่มีระดับความรุนแรงของพฤติการณ์เทียบเคียงได้กับการกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก ดังนั้น การพิจารณาว่า การกระทำใดเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงที่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงนั้น โดยพิจารณาจากองค์ประกอบ 3 ประการ ร่วมกันดังนี้
(1) ตำแหน่งหน้าที่ราชการ หน้าที่ความรับผิดชอบ
(2) ความรู้สึกหรือเจตนาในการกระทำนั้นเป็นสำคัญ และ
(3) พิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เป็นเรื่องๆ ไป ว่ามีผลกระทบต่อเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งข้าราชการ และความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไป หรือความรู้สึกของสังคมว่ารู้สึกรังเกียจต่อการกระทำนั้นๆ ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือไม่ ทั้งนี้ตามแนวคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 354/2551, อ.63/2549, อ.360/2549
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้นแล้วก็ต้องเปรียบเทียบว่า พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวมีความใกล้เคียงเทียบที่เป็นลักษณะการกระทำที่มีระดับความรุนแรงของพฤติการณ์เทียบเคียงได้กับการกระทำความผิดอาญาจนได้รับโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 151/2554)
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.132/2553
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2545 เวลาประมาณ 02.20 น. ผู้ฟ้องคดี ถูกจับกุมและส่งตรวจปัสสาวะที่ร้านกรีนฟิวผับ และแจ้งชื่อของตนเองอันเป็นเท็จต่อเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมว่าชื่อนาย น. ผลการตรวจปัสสาวะเป็นสีม่วง พนักงานสอบสวน จึงดำเนินคดีกับผู้ฟ้องคดี แต่พนักงานอัยการจังหวัดประจำศาลจังหวัดพัทยามีคำสั่ง ไม่ฟ้องเพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แจ้งชื่อและสกุล อันเป็นเท็จและได้ให้การรับสารภาพไว้ในบันทึกการจับกุม จึงเป็นพิรุธว่าหากผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทำความผิดก็ไม่จำต้องให้การรับสารภาพ การกระทำของผู้ฟ้องคดีเห็นได้ว่า มีเจตนาเสพยาเสพติดให้โทษ อันมีลักษณะเป็นการไม่รักษาชื่อเสียงตนและรักษาเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดหลักเกณฑ์การ ลงทัณฑ์ข้าราชการตำรวจผู้กระทำผิดวินัยฐานมี (มีไว้เพื่อเสพ) หรือเสพหรือติดยาเสพติดให้โทษ กำหนดระดับทัณฑ์คือปลดออกก็ตาม แต่การเสพยาเสพติด ในสถานที่ชุมชนท่ามกลางคนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งแจ้งชื่อตัวและชื่อสกุลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน เป็นพฤติการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรกระทำ ทั้งยังละเว้นไม่จับกุม ผู้เสพยาเสพติดให้โทษอันเป็นความผิดตามมาตรา 152 แห่งประมวลกฎหมายอาญา การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่ง ลงโทษไล่ออกจากราชการและคำสั่งยกอุทธรณ์ของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.84/2553
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สั่งการให้คณะกรรมการสอบสวนวินัยดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมตามความเห็นของกองนิติการ จึงเป็นการดำเนินการโดยชอบตามข้อ 33 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา เมื่อผลการสอบสวนพยานเพิ่มเติมจำนวน 7 ราย ให้การสอดคล้องกันว่ามีการเรียกรับค่าตอบแทนจริง โดยมีผู้รับจ้างจำนวน 3 ราย คือ นาย ม. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. นาย ญ. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ว. และนาย ธ. กรรมการผู้จัดการของบริษัท ศ. จำกัด ให้การเพิ่มเติมตรงกันว่าใช้เงินส่วนตัวจ่ายให้กับผู้ฟ้องคดี ประกอบกับคำให้การของพยานบุคคลรายอื่นๆ ที่ให้การเพิ่มเติมมิได้มีประเด็นใดขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกับคำให้การเดิมที่เคยให้การไว้กับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและคณะกรรมการสอบสวนวินัย แต่อย่างใด พฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการอาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตน หาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยเรียกร้องรับเงินจากผู้รับจ้างอันเป็นการกระทำที่ผิดวินัยตาม ข้อ 30 ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2537 และถือเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามข้อ 46 แห่งระเบียบเดียวกัน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อาศัยอำนาจตามข้อ 52 ของระเบียบดังกล่าว สั่งลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นการใช้อำนาจดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (อ.ก.พ.กระทรวงคมนาคม) ที่ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี จึงชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.38/2553
ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ (งานธุรการคดี) สถานีตำรวจภูธรตำบลโพทะเล จังหวัดสิงห์บุรี ได้ถูกพันตำรวจเอก ส. ผู้กำกับการ 2 ประจำกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด กับพวก เข้าจับกุมตัวโดยแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาม้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต และได้ยึดโทรศัพท์มือถือยี่ห้อเทคโนโฟน หมายเลข 0-1431-8954 ไว้เป็นของกลาง ตามที่นาย บ. ผู้ต้องหาในข้อหาเดียวกันได้ให้การรับสารภาพพร้อมทั้งให้การเพิ่มเติมว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้นำยาม้าของกลางมาให้ขาย ผู้ฟ้องคดีให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ต่อมา รองผู้บังคับการ หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดสิงห์บุรี มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้แจ้งและอธิบายข้อกล่าวหาให้ผู้ฟ้องคดีทราบ รวมทั้งแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบถึงสิทธิที่จะได้รับแจ้งสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาและมีสิทธิที่จะให้ถ้อยคำหรือชี้แจง แก้ข้อกล่าวหา ตลอดจนอ้างพยานหลักฐานหรือนำพยานหลักฐานมาสืบแก้ข้อกล่าวหาได้ ผู้ฟ้องคดีให้การปฏิเสธ แต่ยังไม่ขออ้างพยานเพื่อมาสืบแก้ข้อกล่าวหา เมื่อพิจารณาคำให้การของนาย บ. และเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับผู้ฟ้องคดี ประกอบกับการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย หมายเลข 0-1438-9400 ที่ยึดได้จากนาย บ. กับโทรศัพท์มือถือยี่ห้อเทคโนโฟน หมายเลข 0-1431-8954 ที่ยึดได้จากผู้ฟ้องคดี ปรากฏว่าโทรศัพท์ทั้งสองหมายเลขมีการติดต่อกันถึง 101 ครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ติดต่อกับนาย บ. ตลอดเวลา เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดี ประกอบกับพยานหลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว เชื่อได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้นำยาม้าไปมอบให้กับนาย บ. เพื่อขายและให้โทรศัพท์มือถือเอาไว้สำหรับติดต่อเรื่องดังกล่าว อันเป็นการร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 2 ไว้ในความครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ในทางคดีอาญา ศาลอาญาจะได้มี คำพิพากษาให้ยกฟ้องผู้ฟ้องคดีและศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลอาญา คดีถึงที่สุดแล้วก็ตาม แต่การดำเนินการลงโทษทางวินัยมีหลักเกณฑ์และกระบวนการที่กำหนดไว้โดยเฉพาะต่างหากจากการดำเนินคดีอาญา ผลของการพิจารณาดำเนินการทางวินัยจึงไม่จำเป็น ที่จะต้องตรงกับผลทางคดีอาญาเสมอไป อีกทั้งกรณีการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้โทษถือเป็นนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการโดยเคร่งครัดและจริงจัง การที่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในเรื่องดังกล่าวกลับเป็นผู้มีพฤติกรรมกระทำผิดเสียเองย่อมมีผลกระทบต่อภาพพจน์และชื่อเสียงของตนเองและก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.6/2553
ผู้ฟ้องคดีเคยเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ได้รับยศครั้งสุดท้ายเป็นร้อยตำรวจโท กองบังคับการฝึกพิเศษ ค่ายพระยาสุรสีห์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ถูกฟ้อง เป็นจำเลยในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อน ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (นายกรัฐมนตรี) มีคำสั่งยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี เมื่อสำนวนการสอบสวนไม่มี ประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ กรณีมีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงร้อยตำรวจโท ส. (ผู้ตาย) 3 นัด ถึงแก่ความตาย คงมีแต่นาง อ. ภรรยาของผู้ตาย ซึ่งอ้างว่าผู้ตายบอกชื่อคนร้ายว่าเป็น ผู้ฟ้องคดี แต่กลับไม่ได้แจ้งเกี่ยวกับคำพูดของผู้ตายที่ระบุชื่อผู้ฟ้องคดีให้แก่พนักงานสอบสวนที่มาในที่เกิดเหตุในเวลาที่ใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุทราบเลย จึงเป็นพิรุธน่าระแวงสงสัย ทั้งยังปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้มายังที่เกิดเหตุด้วย เจ้าพนักงานตำรวจจึงได้จับกุมดำเนินคดีโดยง่ายและรวดเร็ว แต่นาง อ. เพิ่งมาให้การถึงถ้อยคำของผู้ตายหลังจาก เกิดเหตุแล้ว 3 วัน และเมื่อพิจารณาประกอบกับสถานที่เกิดเหตุ วิถีกระสุนและเวลา ที่เกิดเหตุ แสดงว่าคนร้ายดักซุ่มยิงระยะไกล อีกทั้งคำเบิกความต่อศาลในคดีอาญา ของนายแพทย์ น. ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตายแล้ว จากลักษณะบาดแผลของผู้ตายประกอบสภาพแวดล้อมในขณะเกิดเหตุไม่น่าเชื่อว่าผู้ตายจะทันเห็นตัวคนร้ายและสามารถบอกชื่อคนร้ายให้นาง อ. ทราบได้ ส่วนพยานปากอื่นเช่นจ่าสิบตำรวจ ส. ดาบตำรวจ อ. และสิบตำรวจตรี ป. ซึ่งอ้างว่าเห็นชายเหมือนจำเลย (ผู้ฟ้องคดี) ขับรถจักรยานยนต์ออกจากป่ายูคาลิปตัสข้างทางขณะที่พยานทั้งสามกำลังนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลนั้น ก็ยังไม่อาจเป็นยุติว่า ชายคนดังกล่าวจะใช่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่ แม้จะฟังว่าเป็นผู้ฟ้องคดีจริงก็เป็นเหตุการณ์คนละช่วงตอนอันห่างจากขณะเกิดเหตุ ทั้งเวลา และระยะทางซึ่งไม่อาจชี้ให้เห็นความเกี่ยวพันกับการกระทำผิดได้ อีกประการหนึ่ง วิสัยผู้กระทำผิดมักรีบร้อนหลบหนีทันทีที่กระทำผิดแล้ว พยานหลักฐานที่นำสืบมายังไม่พอฟังลงโทษผู้ฟ้องคดีได้ เมื่อไม่ปรากฏการกระทำหรือพฤติการณ์อื่นใดของผู้ฟ้องคดีที่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอีก กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทำการอื่นใดอัน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 หรือมีมลทินหรือมัวหมอง ตามมาตรา 52 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521 กรณียังฟังไม่ได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการพิจารณายกอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยอาศัยเหตุดังกล่าวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคำสั่งยกอุทธรณ์ของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และให้คืนสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายที่ผู้ฟ้องคดีพึงได้เสมือนหนึ่ง ไม่มีคำสั่งไล่ออกจากราชการ
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.222/2552
คดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ตำรวจภูธรภาค 9) มีคำสั่งไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ เนื่องจากกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณียิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมชน และทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว พฤติการณ์การกระทำจึงเป็นความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงฟ้องขอให้เพิกถอนและให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้ารับราชการตามยศและตำแหน่งเดิมต่อไป เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังจากคำให้การของร้อยตำรวจเอก ป. ว่า ขณะปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวร ได้รับแจ้งเหตุ จึงได้ออกไปตรวจสอบพบผู้ฟ้องคดีมีอาการมึนเมาสุราพูดจาเอะอะโวยวายอยู่ที่หน้าบ้านพักของผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดีรับว่าเป็นผู้ยิงปืน เอ็ม 16 โดยยิงขึ้นฟ้า แต่ไม่ทราบว่ายิงไปกี่นัด ประกอบกับเมื่อพิจารณาคำให้การของนาย ช. ซึ่งเป็นกำนันได้ให้การว่า ตามวันและเวลาเกิดเหตุตนอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จึงได้เดินทางไปที่บ้านของผู้ฟ้องคดี พบผู้ฟ้องคดียืนอยู่หน้าบ้าน มีอาการมึนเมาสุรา ร้องเอะอะโวยวายตะโกนด่า ผู้ฟ้องคดีได้ให้นาย ช. ไปเรียกนาย ส. ซึ่งเป็นคู่กรณีที่เคยพิพาทกันออกมาเจรจา ปรากฏว่านาย ส. ไม่อยู่บ้าน มีแต่ภรรยาและบุตร จากการให้ถ้อยคำของบุคคลดังกล่าวซึ่งมีความเป็นกลาง จึงน่าเชื่อว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทำตามที่ถูกกล่าวหาจริง ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าหกล้ม อาวุธปืนตกจากมือ ทำให้กระสุนปืนดังขึ้นหลายนัด นั้น เห็นว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะอ้างว่ามีนาย ม. และนาย อ. รู้เห็นเหตุการณ์ นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า บุคคลทั้งสองมิได้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีสะดุดก้อนหินแล้วล้มลงทำให้ปืนลั่นแต่อย่างใด ประกอบกับอาวุธปืน เอ็ม 16 มีระบบการยิง 2 จังหวะ ยิงครั้งละ 1 นัด กับยิงระบบอัตโนมัติ และอาวุธปืน เอ็ม 16 เป็นอาวุธสงครามที่มีอานุภาพร้ายแรง จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตำรวจได้รับการฝึกใช้อาวุธปืนมาแล้วจะนำซองบรรจุกระสุนที่บรรจุกระสุนเรียบร้อยแล้วใส่ไปในปืน เอ็ม 16 โดยปลดล็อคไปที่ระบบยิงอัตโนมัติ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นหมายความว่าผู้ฟ้องคดีเตรียมที่จะใช้อาวุธปืน เอ็ม 16 ยิงแล้ว ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในภาวะจำเป็นต้องทำเช่นนั้น คำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีที่ว่าหกล้ม อาวุธปืนพลัดตกจากมือ ทำให้ปืนลั่น จึงไม่อาจรับฟังได้ ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายแล้ว ทั้งนี้ตามมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.221/2552
ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์เสพสุราในเวลาราชการจนมีอาการมึนเมาและทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายผู้อื่น อันถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่สังคมรังเกียจและเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ในหน้าที่ จึงมีความผิดฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 ซึ่งมาตรา 104 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้ ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดระดับการลงทัณฑ์ (โทษ) ข้าราชการตำรวจเป็นแนวทางไว้ตามบัญชีแนบท้ายหนังสือ ตร. ที่ 0522.41/7366 ลงวันที่ 6 มิถุนายน 2538 โดยระบุระดับการลงทัณฑ์ (โทษ) ข้าราชการตำรวจในความผิดเกี่ยวกับการเสพสุราไว้ในลำดับที่ 8 แบ่งเป็น 4 กรณี ดังนั้น การพิจารณากำหนดโทษทางวินัยหรือ ระดับการลงโทษแก่ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ จึงต้องพิจารณาตามมาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติข้างต้น และหนังสือแนบท้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจากพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำผิดวินัยหลายประการกล่าวคือเสพสุราในเวลาราชการและกระทำความผิดในระหว่างเสพสุราด้วยการใช้ไม้ตีทำร้ายร่างกายสิบตำรวจโท อ. จนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำผิดทั้งทางวินัยและทางอาญา ความร้ายแรงแห่งกรณีจึงไม่อาจพิจารณาแต่เพียงว่าเป็นความผิดตามลำดับที่ 8.1 ซึ่งกำหนดว่าเสพสุราในขณะปฏิบัติหน้าที่หรือเมาสุราเสียราชการหรือเมาสุราในที่ชุมชนจนเกิดเรื่องเสียหายหรือเสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ แต่เพียงประการใดประการหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งพฤติการณ์ในการทำร้ายร่างกาย เป็นกรณีที่มีความร้ายแรงเกินกว่าที่กำหนดไว้ในลำดับ 8.1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 จึงต้องพิจารณาระดับโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 104 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดแนวทางในการลงทัณฑ์ (โทษ) ข้าราชการตำรวจในความผิดเกี่ยวกับการเสพสุรา เป็นเพียงแนวทางประกอบการพิจารณาใช้ดุลพินิจในการลงโทษของผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจพิจารณาตามกฎหมายเท่านั้น ทั้งพฤติการณ์ในคดีนี้ก็ไม่ต้องด้วยแนวทางการลงทัณฑ์ (โทษ) ตามบัญชีแนบท้ายหนังสือสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อพฤติการณ์และการกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทำความผิดวินัยที่มีความร้ายแรงแห่งการกระทำ ซึ่งผู้บังคับบัญชาอาจสั่งลงโทษ ไล่ออกจากราชการได้ การที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณามีมติให้เพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีจากปลดออกจากราชการเป็นไล่ออกจากราชการแล้วรายงานนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วสั่งให้ดำเนินการตามมติ ก.ตร. จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และดังนั้นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีคำสั่งเพิ่มโทษผู้ฟ้องคดีตามคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.196/2552
เมื่อผู้ฟ้องคดีได้ร่วมกับนางสาว ท. และนาย อ. ออกโฉนดที่ดิน โดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามมาตรา 82 วรรคสาม และมาตรา 98 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ และคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
ที่มา​ : เพจหลักกฎหมายปกครองวันละเรื่อง.​ 2557.
ผู้เรียบเรียง เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล.2564.https://www.facebook.com/profile.php?id=100003743725944
ผู้เรียบเรียง ผศ.ดร.เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้รับจากการเผยแพร่บทความวิชาการทุกบทความอันเป็นวิทยาทานและธรรมทานให้แด่ดวงจิตคุณพ่อศักดา โชควรกุล (บิดาผู้ล่วงลับของผู้เรียบเรียง)
โฆษณา