27 ก.พ. 2021 เวลา 20:37 • นิยาย เรื่องสั้น
ต่อจากตอนที่แล้ว
Chapter 1 งานไหว้ครู (ภาคต่อ)
หลังจากที่นั่งเรียกสติตัวเองอยู่ประมานสอง-สามนาทีเสียงเพลงที่เปิดให้เหล่าญาณเทพได้ร่ายรำนั้นก็หยุดลง แต่ละคนที่ออกไปรำก็กลับมาเป็นปกติแล้วแยกย้ายนั่งที่ตัวเอง ต้นก็เริ่มสวดบทใหม่ เราก็เริ่มร้องไห้อีกแล้วค่ะครั้งนี้ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งเหมือนใครทิ้งน้ำหนักตัวมาที่ต้นคอและบ่า
เราร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ได้กรีดร้องเหมือนก่อนหน้านี้ แล้วคนที่นั่งข้างๆซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าใครเหมือนกันค่ะลืมตาไม่ได้ เขาก็พาเราไปหาพี่เพชรอีกครั้งแบบคลานๆจูงๆไปเพราะเราขยับตัวไม่ได้เหมือนเดิม
แล้วเราก็สัมผัสได้ถึงนิ้วหัวแม่มือสองนิ้วจรดมาที่กลางหน้าผากแล้วลากออกไปทางขมับ จากนั้นมีลมเบาๆเป่ามาที่กลางหน้าผากแล้วพี่เพชรก็พูดว่า
“ลงมาแบบบุญฤทธิ์นะ อย่าลงเต็มร่างมนุษย์รับไม่ไหว ลงมารับของถวายลูกหลาน มาสวยๆ ลูกหลานจะได้ศรัทธา”
แล้วพี่เพชรก็ใช้สองมือตบบ่าเราหนักๆสองสามที เหมือนเรียกสติเราหรืออาจจะความหมายอื่น เราก็ไม่รู้สึกเจ็บและหยุดร้องไห้ แต่ก็ยังขยับตัวและลืมตาไม่ได้ เหมือนคนนั่งหลับ ดูในคลิปที่เหมือนถ่าย ก็เหมือนคนหลับจริงๆแหละค่ะ แล้วไม่กี่อึดใจอยู่ๆก็เหมือนมีใครมาดันข้อศอกของเราสองข้างช้าๆหนักๆเพื่อให้เราพนมมือ เราฝืนอยู่สักพักแต่พอยิ่งฝืนเราก็ยิ่งอยากร้องไห้อีกเราเลยคิดในใจว่า “ลูกไม่ฝืนแล้ว”
จบคำภาวนา เราก็เริ่มยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวแล้วลากกับมาที่หน้าอก เหมือนท่ารำที่เราเคยเรียนๆกันมานั่นแหละค่ะ อยู่อย่างนั้นสลับข้างซ้ายขวาครบสามครั้ง แล้วเราก็หมอบกราบพร้อมกับเพลงที่จบพอดิบพอดี เรามีสติดีอยู่ตลอดค่ะ แต่ร่างกลายเราไม่สามารถบังคับได้เลย
จากที่แค่ไหว้ก็เริ่มแอดวานซ์ขึ้นเรื่อยๆจ้า ไม่ว่าจะระบำ หรือรำแบบไทยเราได้หมดทุกท่า ทั้งๆที่เราไม่เคยเรียนแบบจริงจัง ถ้าจะพูดว่าเรียนก็ตามหลักสูตรประถม ที่ใครๆก็ได้เรียนตามระบบนั้นแหละค่ะ แต่ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล พิธีจบเราไม่จบ เราขยับตัวไม่ได้มาสักพักตั้งแต่พิธียังไม่จบดีระหว่างที่เรานั่งข่มตัวเองอยู่นั้นเราก็ได้ยินความคิดที่ไม่ใช่ความคิดเรา พูดวนๆอยู่ในหัวเป็นประโยคยาวๆ แต่เราจำไม่ค่อยได้แล้ว คำพูดประมานว่า “กูคือบูรพกษัตริย์ กูเป็นปฐมกษัตริย์องค์เหนือหัว” แล้วก็อะไรสักอย่างยาวๆ แต่ก็พูดซ้ำอยู่จนจบพิธี เราก็ยังขยับตัวไม่ได้และเราก็ภาวนาในใจว่า จบพิธีแล้วค่ะให้เราเป็นปกติเถอะ ประมาณนี้ แต่ก็ไม่ได้ผล คนในงานก็ตามต้นให้มาดูเรา
ต้นก็พูดว่าว่า “จบพิธีแล้วถอยได้แล้ว”
เราก็ไม่ยบอมพูด แต่ในใจเราพูดแล้วนะว่า ตบสักที ขยับตัวไม่ได้นานแล้ว ช่วยหน่อยยยยย
แล้วก็ได้ยินพี่เพชรพูดว่า “มีอะไรติดค้างอะไร ก็บอกลุฏหลานไปจะได้รับรู้”
จู่ๆเราก็รู้สึกโมโหแล้วพูดออกไปว่า “มึงไม่ได้พูดชื่อกู ทำไมไม่พูดชื่อกู” พูดออกไปเองนะคะ เราไม่ได้พูดเองถึงแม้มันจะออกมาจากปากเราก็ตาม แต่มันไม่ใช่ความคิดของเราเลยค่ะ
เราได้ยินเสียงต้นถกเถียงกับใครบ้างไม่แน่ใจ ประมานว่า ก็สวดครบเรียกครบนะ แต่ก็ได้ยินตอนท้ายๆว่า ไม่ได้พูดชื่อพระเจ้าอู่ทอง นึกในใจเอาแล้วข้ามไปแม่จามเลย (มาทราบตอนหลังว่าคือพระนางจามเทวี กษัยตริย์หริพูลชัย)
เราได้ยินร่างกายก็เริ่มขยับเปลี่ยนจากนั่งคุกเข่าเป็นชันเข่าแทน ตอนนั้นความคิดเราคือ ขยับแล้วเว้ยยยย
แล้วพี่เพชรก็บอกว่า ให้ต้นขอขมาที่ไม่ได้เอ่ยชื่อท่าน ตอนนั้นเรายังลืมตาไม่ได้เลยไม่รู้ว่าขอขมาแบบไหน อาจจะแค่กราบ ไม่แน่ใจเหมือนกัน พี่เพชรก็บอกให้เอาน้ำมาให้เรากรวดให้พระเจ้าอู่ทอง ตอนนั้นก็มีคนมาช่วยพยุงเราเดินไปพื้นที่เป็นดิน แล้วยื่นแก้วมาให้เรากรวด แต่เรากลับพูดไปว่าเอามาอีก 5 เหยือก ตอนเรากรวดน้ำแก้วนั้นเราก็บอกให้ท่านถอยออกจากเราก่อน เราอยากขยับตัวได้แล้ว ความรู้สึกคือเขินคนในงานด้วยค่ะ แบบว่ามาครั้งแรกก็ซีนเด่นขึ้นมากันเลยทีเดียว แต่ท่านก็ไม่ยอมถอยค่ะ พอได้เหยือกกรวดน้ำ เราก็จับเหยือกแล้วเดินไปที่โต๊ะที่มีขันธ์วางอยู่เยอะๆ เราก็กรวดลงที่พื้นดินตรงนั้นแล้วปากเราก็สวดอะไรไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จริงๆค่ะว่าท่านสวดอะไร หมดห้าเหยือกปุ๊ป เราก็ขยับตัวได้เลย ขยับแบบฟิ้ววววว สะบัดแขนขาได้สบาย แล้วเราก็งงๆว่าแบบ ไปแบบนี้เลยรึ
หลังจากนั้นคนในงานก็เข้ามาปลอบใจเราประมาณว่า ปวดตัวมั้ย รู้สึกกลัวมั้ย เคยเห็นท่านบ้างมั้ย อะไรแบบนี้ เพราะในงานไม่เคยมีใครลงพระเจ้าอู่ทองค่ะ อ่ะกูเด่นไปอีก
แล้วเราก็นั่งพักกับพวกพี่ๆ รอกลับไปนอนที่โรงแรมแถวๆตลาดที่จองไว้ แต่พี่ป้าสร้อยก็เดินมาหาเราแล้วบอกว่า “คืนนี้นอนที่นี่นะ มีคนยืนรอเขาอยู่หน้าบ้าน ไม่ต้องกลับไปแล้วโดนเข้า” พูดจบเราร้องไห้ทันทีเลยค่ะ น้ำตาคลอๆไหลๆแล้วเราก็เอื้อมมือไปจับพี่สาวเราแล้วบอกว่า ของเราเอง แล้วเราก็ร้องไห้ ป้าสร้อยก็เข้ามาตบหลังเราหนักๆ เราก็พยายามเรียกสติ ด่าตัวเองบ้างอะไรบ้างก็หยุดร้อง แล้วก็ตัดสินใจนอนที่นี่แบบไม่ลังเล เพราะกลัวว่าถ้าโดนเข้าจริงๆแบบที่ตอนแรกมาก็คงไม่ไหว ใครจะช่วย เดี๋ยวลำบากเพื่อนลำบากพี่ขนกลับมาบ้านงานอีก พี่สาวกับเพื่อนก็เลยกลับไปที่โรงแรมขนของกลับมา ระหว่างนั้นเราก็อยู่ในบ้านงานไม่ได้ออกไปไหน นั่งเพลินๆกับเพื่อนพี่ กินข้าวรอ
ระหว่างที่รอต้นก็หันมาถามว่า เราจะรับขันธ์มั้ย จะได้ทำไว้ให้ เราก็นิ่งไปสักพัก คิดอยู่ว่าต้องรับมั้ยวะ รับแล้วยังไง ป้าๆในงานก็บอกว่า ตามใจนะลูกแล้วแต่เลยไม่มีใครบังคับ ไม่รับก็ได้ รับก็จะได้มีครูบาอาจารย์คอยเตือน เราก็ลังเลอยู่แปปนึง แล้วก็บอกต้นว่า รับก็ได้ ความคิดในตอนนั้นคือกันไว้ดีกว่าแก้ จนตอนนี้เราก็คิดว่าดีแล้วที่ตัดสินใจรับ เพราะหลังจากนั้นเจออะไรที่น่ากลัวมาก แล้วครูมาช่วยตลอด เลยไม่เสียใจที่รับค่ะ
แล้วพอพี่สาวมาเราก็บอกพี่เราว่าเราตกลงรับขันธ์นะ พี่ก็บอกว่า “ดีแล้ว อย่างมึงอ่ะรับไปเลย เดี๋ยวผีเข้าอีก” ตอนนั้นเราก็ยังไม่เข้าใจหรอกค่ะ ว่าที่เข้าๆเนี่ย ผีหรืออะไร แล้วค่ำคืนที่แสนงงงวยนั้นก็ผ่านพ้นไปค่ะ พวกเราก็นอนที่บ้านงานกันหมด
เช้าวันต่อมา ไม่สิ ตี 3 ของวันต่อมา ทุกคนคือตื่นหมด ถ้าปกตินี่เราก็คือยังไม่นอน แต่ก็ต้องลุกเพราะถ้านอนอยู่คนเดียวมันจะเขิน อิอิ
แน่นอนว่าเซ็ตแรกที่ตื่นเช้าขนาดนี้คือแม่ครัว ทุกอย่างต้องเสร็จก่อนตักบาตรพระ เราเป้นแขกในงานก็เลยอาบน้ำคนหลังๆหน่อย แต่งตัวเสร็จก็ออกมาช่วยงานก๊อกๆแก๊กๆว่าไป พอใส่บาตรเสร็จ ก็ตั้งวงกินข้าว เราชอบบรรยากาศแบบนี้เพราะตอนเด็กๆเราก็ได้เจอการกินข้าวหลังพระฉันเสร็จบ่อยๆ กับข้าวใส่บาตรอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้จะได้ลิ้มรสข้าวก้นบาตรอย่างเรารึเปล่า ครั้งนึงในชิตอยากให้ลองค่ะ การล้อมวงกินข้าวตอนเช้าๆเป็นอะไรที่ฟิลกู๊ดมากๆ
พอกินเสร็จก็เก็บกวาด ก็ได้ฤกษ์พิธีอันเป็นมงคลของเหล่าลูกศิษย์ลูกหาที่มาจากทุกสารทิศ เหนือใต้กลางออกตกมาหมดเลยค่ะ วันนี้คนเยอะกว่าเมื่อวาน มีวงปี่พาทย์และพ่อพราหม มาในงานอีกด้วย บอกได้เลยค่ะวันนี้อ่ะวันจริง เมื่อคืนแค่มึนงง แค่เทรนงานค่ะบอกเลย
พิธีช่วงแรกก็คล้ายๆเดิมป้าสร้อยจุดธูปเทียนทุกจุด พราหมสวดบทที่ยาวกว่าเมื่อคืน มีคำขอขมา มีบทอธิษฐานต่างๆ แล้วพอเข้าใกล้เริ่มบทเชิญพระแม่ธรณี เราก็มีใจสั่นๆหวิวๆบ้าง แต่ก็ผ่านไปค่ะไม่ได้ออกไปรำ แต่เมื่อเริ่มบทใหม่ พ่อพรามเริ่มว่า “โอม นมัส ศิวะ” พูดปุ๊ปเราวิ่งปั๊ป แบบวิ่งเอง งงเองนักเลงพอ พอวิ่งถึงหน้าปรัมพิธี ตัวเราก็หมุนตัวหนึ่งทีหลังจากนั้นก็ตามเพลงไปค่ะ เราก็ปล่อยเลย ไม่ได้มีความคิดด่าตัวเองเหมือนเมื่อคืน ทำความเข้าใจตัวเองไปแล้วค่ะว่า ในเมื่อท่านลงก็คงมีเหตุผลอะไรสักอย่าง จบงานค่อยถามพี่เพชรแล้วกัน เพราะตั้งใจจะดูดวงกับพี่เพชรอยู่แล้วด้วย อะไรจะเกิดก็ให้เกิด คนอยู่เยอะแยะเราไม่กลัว คือเราเป็นคนค่อนข้างใจเด็ด แต่ก็ไม่ได้จิตแข็งแบบท้าทายอะไรที่เรามองไม่เห็นขนาดนั้น
พอเพลงใกล้จะจบ จากที่เรารำๆก็ค่อยๆช้าลง แล้วก็หยุด แต่พอหยุดเราก็ร่วงลงไปเลยค่ะ คือมีสติแต่ขยับตัวไม่ได้ แล้วก็ได้ยินเสียงพี่เราเรียกชื่อเราเขย่าตัว ตีๆนิดนึงเราก็ลืมตาขยับตัวได้ปกติ แล้วพี่ก็บอกว่า เห็นใครเป็นแบบนี้ก็เรียกๆตีๆตบๆไปเลย เดี๋ยวกลับมาไม่ได้
ทีนี้เองค่ะทุกคน เมื่อเราเปิดแล้ว อะไรก็เปิด บทไหนขึ้นเราก็อยู่หน้าปรัมไปทุกบทจนเราไม่กลับมานั่งข้างหลังแล้วค่ะนั่งมันข้างหน้านั่นแหละ มีบางบทนี่เราไม่รู้สึกอะไรก็นั่งดูคนอื่น แล้วก็ขอพรไปด้วย สนุกดีเหมือนกัน แต่ถ้าให้บอกจากใจเลยก็คือ พักเห้อออออออ ไม่ให้ลูกได้พักเลย ทั้งความร้อนแดด ทั้งหัวเข่าก็คือช้ำไปหมด เรามีสติดีทุกอย่างแน่นอนแบบล้านเปอร์เซ็นต์นะคะ บางองค์ก็รู้ว่าองค์ไหนผ่านร่างเราบ้างเพราะจะมีการพูดชื่อในทุกบทของแต่ละองค์นั้นๆ บทไหนขึ้นชื่อใคร แล้วลงใครก็คือองค์นั้นลง มีบทรวมอย่างเทพจีน ถ้าพูดรวมๆก็ไปแยกกันเองค่ะว่าองค์ไหน อย่างของเราท่านเดินพาเราไปชี้แล้วเป็นเสียงให้เราได้ยินคนเดียวว่าท่านคือองค์นี้นะ ให้พูดง่ายๆคือ รับรู้ได้เองว่าองค์นี้ พร้อมกับเราถามพี่เพชรเพื่อความชัวร์อีกที แต่ของแบบนี้ แค่ถามสองครั้งคนแบบเราไม่เชื่อหรอกค่ะ เดี๋ยวเราจะเล่าในตอนต่อไปให้อ่านกัน ว่าเรามีวิธีคอนเฟิร์มยังไง
ส่วนเพื่อนเราที่ไปด้วยกันก็มีนั่งน้ำตาซึมบ้าง แต่ก็ไม่ยอมลุกมา มาคุยกันทีหลังเพื่อนก็บอกเราว่า แต่ใจสั่นๆหวิวๆน้ำตาไหน มันก็ตีแขนตัวเองให้มีสติไว้ ยังไม่อยากเป็นอะไร
จบพิธีครึ่งวัน พักกินข้าวเสร็จ พิธีรอบบ่ายก็เป็นการส่งครูค่ะ ไม่เหนื่อยเท่าตอนช่างเช้าแต่ช่วงนี้พิเศษมีการเชิญนางฟ้านางสวรรค์มาส่งองค์เทพ แล้วก็ล้อมวงกันรำเหมือนรำรอบกองไฟในสมัยก่อนเลยค่ะ น่ารักดี เราก็ไปรำเล่นๆถวาย แล้วก็เป็นอันจบพิธี ลูกศิษย์ลูกหาก็เข้าไปหาพี่เพชรเพื่อดูดวง เพื่ออวยพรบ้างว่ากันไป ส่วนเรารอพรุ่งนี้ค่อยดูเพราะวันนี้เหนื่อยแล้วให้คนอื่นที่เขารีบกลับได้ดูไปก่อน
ตัดภาพมาที่วันรุ่งขึ้น ตัวเราระบมมากกกกกกกก ปวดไปทุกสัดส่วน เหมือนฟิตเนสทุกท่าในเวลา สิบชั่วโมงต่อกันอะค่ะ หัวเข่านี่เขียวไปหมด สภาพคือล้ามาก หลังจากกินข้าวเสร็จ ป้าสร้อยก็เตรียมตัวจะขึ้นธูปเชิญพี่เพชรมาประทับ เราก็เริ่มใจสั่น ขยับขาไม่ได้อีกแล้ว แต่เราก็เริ่มโมโหแล้วค่ะ แบบว่าอะไรนักหนา ครูเขายังไม่ลงเลยจะมาแล้วหรอไรงี้ พี่เราก็บอกว่าเพิ่งๆ ยังทำงานกันไม่เสร็จ ห้ามมาลง เราก็ฝืนๆจนกระทั่งเชิญพี่เพชรเรียบร้อยแล้ว พี่เพชรก็เรียกให้เราเข้าไปบอกว่า เขามารอนานแล้วจะได้รีบกลับบ้าน แล้วก็มาลงเราแบบเต็มๆเลยค่ะ ตอนนั้นเราไม่มีความคิดอะไรเป็นของตัวเอง แต่ก็ร้องไห้แบบไม่หยุด พี่เพชรก็ค่อยๆคุยให้ทีละองค์ ต่อคิวกันแบบยาวๆตามลำดับชั้น มีที่คุยตอบก็เป็นปู่ฤาษี มาลงก็ชันเข่าเลยแล้วก็ให้เราเคี้ยวหมาก บอกเลยว่าขมมากแม่ พี่เพชรก็คุยอะไรหลายอย่างจนถอยออกไปทุกองค์แล้วพี่เพชรก็บอกเราว่า “ใจต้องให้เขาจริงๆนะ ปฏิบัติให้ดี นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ แล้วจะได้ไม่เป็นแบบวันนี้”
เราก็พยักหน้าแล้วก็ถามเรื่องส่วนตัวนิดหน่อย ก็ปล่อยเป็นคิวคนอื่น
สรุปคือ มีองค์เทพผ่านร่างเราประมาน 9 องค์ มาแบบให้เราทำมิชชั่นพอสำเร็จลุล่วงก็หมดพันธะต่อกันประมานนี้ บางองค์มาช่วยเรา มาองค์มาเพื่อฝึกเรา บางองค์ก็มาร่วมสร้างบารมี และบางองค์ก็มาเพื่อให้เราทำหน้าที่ช่วยคนอื่นๆต่อไป แต่เมื่อหมดพันธะก็เท่ากับว่าเราก็จะส่งท่านคืน ไม่ขอผูกพันต่อได้ ให้เรานุ่งขาวห่มขาวและกินมังสวิรัติสามเดือนเพื่อชำระล้างร่างกาย และปฏิบัติทุกวันพระวันโกนห้ามขาด ประมาณนี้
ส่วนที่เรามีอาการครั้งแรกเมื่อตอนพิธีวันแรกนั้น นั่นคือเจ้ากรรมนายเวรของเราเอง หนักพอสมควรเลยค่ะ พี่เพชรยังบอกเลยว่า เขาก็มาเอาไปเยอะแล้วเหมือนกัน ครั้งนี้ก็ทำบุญแล้วส่งเขาไปเกิดได้แล้ว ให้เราใส่บาตรติดกันสามวัน แล้วกรวดน้ำให้เขา
แล้วพี่เพชรก็บอกว่า อดีตชาติเราเลยไปผ้าบ้านเผาเมืองเอาบ้านเมืองเขามา ให้เราถวายสังฆทานพร้อมบ้านไม้เล็กๆแล้วกรวดน้ำคืนเขาไป
ตอนที่เรารู้เราก็คิดเหมือนกับหลายๆคนแหละค่ะว่า ทำไมเราต้องมาทำหน้าที่อะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้รู้แล้วค่ะ ไม่ว่าจะคำตักเตือนจากป้าสร้อย คำอธิบายจากน้องต้น แล้วก็จากคนในตำหนัก ก็ไปในทิศทางเดียวกันคือให้เราอยู่ในศีลในธรรม ท่านมาเพื่อให้เราหยุดทำสิ่งที่ไม่ดี ปรับเปลี่ยนตัวเองให้ไปในทางที่ถูกดต้องมากขึ้น ส่วนมิชชั่นอื่นๆก็แล้วแต่ชะตาของคนนั้นๆ ในเคสเราก็ถือว่าหนักค่ะ สำหรับองค์ที่มาเพื่อร่วมสร้างบารมี ท่านก็จะกดเราให้ปฏิบัติดี เช่นสวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน กินมังสวิรัติ กินเจในเทศกาล ทำบุญ องค์ที่มีพันธะต่อกันเมื่อถึงเวลาก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี
ส่วนเจ้ากรรมนายเวรก็ทำตามคำแนะนำของพี่เพชรซึ่งยากมาก เราจะเล่าในตอนต่อไปเช่นกันค่ะ
จบการดูดวงครบทุกคนแล้ว เราก็ลาป้าสร้อยแล้วก็กลับกรุงเทพในวันนั้น
หลังจากนั้นเราก็เริ่มทำตามคำแนะนำจากพี่เพชรก่อนเลยค่ะ เริ่มจากนุ่งขาวห่มขาวก่อน แต่เรายังไม่ได้เริ่มกินมังสวิรัตินะเพราะต้องปรับร่างกายสายแดกของเราก่อน อยู่ๆกินเลยเดี๋ยวป่วย แล้วก็เริ่มหาบทสวดมนต์ไว้สวดประจำ และเราก็ได้บทสวดมา เป็นบทปกติทั่วไปค่ะพวกอิติปิโส อะไรแบบนี้ ไม่สรรหาบทแปลกๆ หรือบทในพิธีนะคะ เรากลัวคุมตัวเองไม่ได้ มีเพิ่มแค่บทพาหุงฯ และแผ่เมตตากับบทกรวดน้ำเพราะจำเป็นค่ะ
เมื่อเครื่องมือปฏิบัติพร้อม เราเอ้อละเหยอยู่ประมานอาทิตย์นึงเพราะเรียกสติตัวเองอยู่ ในหัวเราช่วงนั้นเอาแต่นึกถึงตอนอยู่ในพิธี เลยต้องพักเรียกสติกันหน่อย แล้วเราก็เริ่มจากนุ่งขาว และสวดมนต์ก่อนค่ะ คืนแรกเรานั่งสวดบนเตียงไม่ได้สวดในห้องพระเพราะห้องพระอยู่ในห้องพี่สาวอีกที เราไม่ค่อยสะดวก เมื่อสวดบทหลักจบเราก็จะเริ่มแผ่เมตตตา เริ่มจากแผ่ให้ตัวเองก่อน แล้วถึงจะแผ่ให้สรรพสัตว์ พอเราจะเริ่มแผ่ให้สรรพสัตว์เราก็เห็นผู้หญิงผมยาวใบหน้ารูปไข่ผิวขาวนวลใส่เดรสยาวสีขาวนั่งพับเพียบคุกเข่าอยู่ที่พื้น เราก็รู้สึกได้เองว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรเรา เพราะเราเคยเห็นเขามาก่อนหลายครั้ง ไม่ว่าจะในฝัน หรือตอนรถชน เลยไม่ได้รู้สึกกลัว เราก็เรียกเค้าว่าพี่ฟ้า เราก็อุทิศบุญให้ แล้วบอกเขาว่า เราจะทำบุญให้จนกว่าเขาจะได้ไปเกิด อะไรที่เราเคยทำไม่มีกับเขา เราขอให้เขาอโหสิกรรมให้เรา เมื่อพูดจบเราก็เห็นเขาก้มลงกราบแล้วก็หายไป เราเจอเขาทุกครั้งที่เราสวดมนต์ จนหลังๆมานั่งด้วยตั้งแต่เริ่มนะโมเลยจ้า แต่มาสวยขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกไม่กลัวเพราะสวยค่ะ 5555555 จากแต่ก่อนที่ยืนเอาผมปิดหน้าบ้าง ตอนนี้ก็คือเห็นแบบเหมือนคนปกติ ก็เลยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย เวลาเราทำบุญก็จะให้พี่ฟ้าไปด้วย
พอเราเริ่มปรับสติตัวเองได้แล้วประมานเดือนนึง เราก็ตัดสินใจเริ่มใส่บาตรสามวันตามคำแนะนำพี่เพชร แต่เนื่องจากหน้าหมู่บ้านไม่มีพระเดินเลย เราต้องออกไปตลาดเพื่อใส่บาตร ตอนนั้นเราก็ไม่ค่อยมีเงินค่ะ เลยพยายามใส่บาตรเท่าที่มี ซื้อข้าวเหนียวหมู 25 บาท น้ำ 5 บาท และวุ้น อีก 10 บาท บางวันก็ใส่แค่ข้าวเหนียวหมูค่ะ ช่วงนั้นไม่ได้ทำงานประจำก็เลยไม่มีรายได้ สตรีมก็ไม่ได้ไปได้ดีแบบคนอื่น ก็เลยจนค่ะพูดง่ายๆ วันแรกใส่บาตรลุล่วงไปด้วยดี เดินไปกลับก็กิโลนึง รู้สึกถึงความผอม
พอวันที่สองเราตื่นสายค่ะ จบ เริ่มใหม่ อีกวันเราไปใหม่ ยืนรอพระประมานชั่วโมงนึง ไม่เห็นพระสักรูปเลยค่ะ เศร้ามาก แต่เราก็ไม่คิดอะไร อีกวันนึงเอาใหม่ค่ะ ใจสู้สุดๆ และก็สำเร็จไปหนึ่งวัน นับเป็นวันที่หนึ่ง วันที่สองไปตั้งแต่ตี 5 เลยจ้า แล้วก็ได้ใส่บาตรละโล่งใจ สำเร็จไปสองวัน พอวันที่สาม ฝนตกหนักมากกกกก ตกยันสิบโมง โอ้วแม่เจ้า อะไรกับกูนักหนาคะเนี่ย !
ไม่เป็นไรไปต่อค่ะ เริ่มใหม่ ฝนตกอยู่สองสามวัน และตกตอนเช้าทุกวัน เราเลยออกไปไหนไม่ได้ อีกอาทิตย์ก็เริ่มใหม่เราเริ่มจากจุดธูปหน้าหิ้งขอให้เราใส่บาตรติดกันสามวันสำเร็จ แล้วเราก็มิชชั่นคอมพรีทค่ะทุกคน รู้สึกโล่งมากกกก
ไม่คิดว่าแค่ใส่บาตรติดกันสามวันมันจะกินเวลาเกือบเดือนขนาดนี้ อุปสรรคเยอะจริงๆ ที่เขาว่าทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรมันยาก มันเป็นแบบนี้นี่เอง แต่พี่ฟ้าก็ยังไม่ได้ไปเกิดนะคะ เขาก็ยังอยู่ แต่ก็เบาลง จากที่เราเจ็บนั่นนี่ ก็ไม่ค่อยเป็นแล้ว แล้วเขาก็บอกเราว่าเขาก็อยากไปเกิดแล้วแต่บุญยังไม่ถึง แต่ก็ยืนยันตามสัญญาค่ะ ว่าเราจะสวดมนต์และทำบุญจนกว่าเขาจะได้ไป
โล่งใจไปหนึ่งมิชชั่นกับเจ้ากรรมนายเวรแล้ว คนบาปอย่างเราขอย้อนไปตอนเริ่มปฏิบัติวันแรกก่อน เราได้เห็นอะไรมากมายระหว่างที่เรานั่งสมาธิ ได้ยินเสียง ได้รู้สิ่งที่ตัวเองสงสัย และหนักข้อขึ้นคือ เรามีการต่อรองแลกเปลี่ยนกับองค์ของเราค่ะ
วันแรกเราขึ้นธูป16ดอกหน้าหิ้ง เพื่อขอเริ่มการปฏิบัติแบบจริงจัง แล้วก็กลับมานั่งปฏิบัติที่ห้องตัวเอง เราสวดมนต์เสร็จเราก็นั่งสมาธิต่อเลย พอเริ่มหลับตาเราก็ท่องพุทโธ กำหนดลมหายใจตามหลักปกติ แล้วเราก็ได้ยินเสียงเย็นๆ นุ่มๆ เป็นเสียงเหมือนคนหนุ่มๆ ไม่ชายไม่หญิง หวานๆ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ เอาเป็นว่าเสียงเพราะ ฟังแล้วดูใจดี
บอกเราว่า “เมื่อตั้งใจเริ่มแล้ว ก็ต้องเดินไปให้สุดทาง ฟังเสียงเราไว้ อย่าฟังเสียงอื่นนับจากนี้ เมื่อหมดวันนี้จะเป็นหน้าที่ของแต่ละองค์ที่มีหน้าที่ต่อกัน แล้วเราจะมาพาไปอีกครั้งเมื่อถึงเวลา”
เมื่อสิ้นเสียง เราก็ลืมตาเลยค่ะ เช็คตัวเองก่อนว่าเป็นบ้ามั้ย คิดเองอ๊ะป่าว ไรงี้ แล้วเราก็หายใจเข้าลึกๆ นั่งต่อ ในใจก็บอกตัวเองว่า ลองดูสักครั้ง
พอหลับตาอีกครั้ง เสียงเดิมก็พูดขึ้นต่อว่า “ครั้งนี้เราจะพาไปดูที่ที่นึง” แล้วเราก็เห็นภาพพื้นที่สีขาวโล่ง เหมือนสตู ไม่มีสิ่งของใดๆวาง ไม่มีลม ไม่มีคน ไม่มีใคร มันเหมือนเราฝันแหละค่ะ ที่มันเห็นเอง โดยที่เราไม่เคยไปเห็นจากไหนมา
แล้วก็เหมือนว่าเราเดินไปเรื่อยๆ ก็ยังคงเป็นพื้นที่สีขาวอยู่ดี แล้วสักพักเราก็เห็นทางน้ำ มันเป็นเหมือนรางน้ำไหล ที่เป็นร่องน้ำสีขาวอยู่ที่พื้น ในน้ำมีอะไรไม่รู้วิ้งๆ ระยิบระยับอยู่
เสียงเดิมก็พูดว่า “นี่เป็นที่แรก ที่คนที่มีหน้าที่เหมือนกันต้องมา ลองมองไปที่น้ำ เห็นอะไรในน้ำนี้” ในความเข้าใจของเราคือเค้าจะสื่อว่าคนที่มีหน้าที่อะไรสักอย่างเหมือนเรา ต้องมาที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก
เราตอบกับเสียงนั้นไปว่า “ไม่เอาอ่ะค่ะ ทำไมหนูต้องมองลงไปด้วย” แล้วเราก็รู้สึกเหมือนมีใครยิ้มให้เรา
แล้วภาพรางน้ำก็ตัดไปเปลี่ยนเป็นขั้นบันไดหนึ่งขั้น ยังคงสีขาวเหมือนเดิม แล้วขั้นนั้นก็เป็นลานกว้างๆมีเสาเหมือนเป็นศาลา บ้านเราคงเรียกศาลาแหละ เราก็ไม่รู้ชื่อที่แท้จริงนะคะ แต่ภาพมันเป็นแบบนั้น ในศาลามีดวงไฟมีขาวแต่ขอบๆแสงเป็นที่ทองๆเหลืองๆ ดวงใหญ่ๆ แบบใหญ่เลยค่ะ เท่าศาลานั้นได้ แล้วเสียงเดิมก็พูดว่า “ที่นี่จะมีทางให้เจ้าไปสองทาง ซ้ายกับขวา ต้องไปทั้งสองที่” เรารู้สึกเหมือนเสียงนั้นมาจากดวงไฟที่เรามองอยู่ แล้วจู่ๆก็มีทางให้เดินไปทางขวาจากศาลานั้น เราก็ถามเค้าว่า “ทำไมเราต้องเดินไป” เราไม่ได้กวนประสาทนะ แต่เราสงสัย รวมถึงเรากลัวว่าเดินไปแล้วเจออะไรน่ากลัวด้วย
เสียงนั้นก็ตอบเรามาว่า “ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรหรอก”
เราก็เอาวะ ไปก็ไป เราก็เดินไปตามทางที่เพิ่งโผล่ขึ้น แล้วก็มีทางแยกออกไปทางซ้ายมือ เราก็เดินตามไป แล้วเราก็เห็นอ่างน้ำ เหมือนอ่างน้ำพุ สูงประมานเอวเรา ในน้ำมีดอกบัวสีขาวลอยอยู่หลายดอก แล้วก็มีควันๆ เหมือนใครฉีดสโมกไว้อะคะ ใครนึกไม่ออกก็นึกถึงหนังจีน CG ดีๆสักเรื่องแล้วกัน
แล้วเสียงนั้นก็บอกว่า “เลือกดอกบัวมาสักดอกสิ”
เราฟังเราก็แบบ มาไม้ไหนวะ กลัวทำไปแล้วผีโผล่มาหัวใจวายตายพอดี
เราตอบเสียงนั้นว่า “ไม่เอาอ่ะค่ะ ของที่นี่ก็คือของที่นี่ หนูขอไม่จับอะไรทั้งนั้น”
พอพูดจบอ่างน้ำก็หายไปเลยค่ะ แล้วเสียงนั้นก็บอกว่า “ดีแล้ว เพราะถ้าหยิบไปแขนที่หยิบดอกบัวจะหายไป” แล้วเราก็รู้สึกว่ามีคนยิ้มอีกแล้ว แต่ยิ้มแบบอบอุ่น บอกไม่ถูกกับความรู้สึกนี้
แล้วแสงสีขาวก็นำเราไปอีกทาง ตอนแรกเรามาทางขาว ดวงไฟก็นำเรากลับไปทางเดิมแล้วเลยศาลาไปทางซ้าย
พอเดินผ่านไปเราก็เห็นประตูสีแดงสดใส ทรงออกจีนหน่อยๆตั้งอยู่ เราเดินไปใกล้ๆ ประตูก็เปิดเอง ข้างในเป็นพื้นยกสูงสองขั้นแล้วก็มีใครไม่รู้นั่งอยู่หนึ่งคนชุดเหมือนนักรบจีน บนหัวใส่รัดเกล้าสีทองมีขนนกหรือขนอะไรสักอย่างยาวๆทัดรัดเกล้าอยู่ แล้วคนนั้นก็พูดขึ้นว่า “มาอีกคนแล้วหรอ”
เราก็นิ่งเงียบ คือกลัวจินตนาการไปเอง ขอไม่ตอบอะไรดีกว่า แล้วในมือคนนั้นก็มีกระบองหรือหง้าว อะไรสักอย่างเขาเอามาเคาะพื้นหนึ่งที แล้วด้านหลังเขาก็เป็นโถงทางเดินสีแดงยาวๆทอดไป เขาบอกให้เราเดินไปทางนั้น เราตอบเขาว่าเราไม่เดิน เรากลัว แล้วอยู่ๆเราก็ไปอยู่หลังเขาเฉยเลยค่ะ แล้วเขาก็พูดย้ำอีกครั้งว่าให้เราเดินไป เราก็จำใจเดินแล้วบอกตัวเองว่าถ้ากลัวก็ลืมตาเลย เรานั่งสมาธิอยู่ ไม่ได้หลับ คอยเตือนตัวเองตลอดว่าเราอยู่ในขณะทำสมาธิ
เราเดินไปไม่กี่ก้าวข้างหน้าเราก็เป็นโดมทรงกลม คนนั้นมาอยู่ข้างๆเรา เขาเคาะพื้นเหมือนเดิมอีกครั้ง พื้นโดมตรงนั้นก็กลายเป็นเหวลึก มีไฟดีแดงลุกขึ้นตลอดเวลา แล้วก็มีเสียงกรีดร้องออกมาจากตรงนั้น
เราก็คิดแบบ เห้ย นรกหรอ ไรงี้ ไม่ได้จะผลักกูลงไปใช่มั้ย แค่คิดนะคะ แค่คิด แต่คนข้างๆกลับตอบเรามาเฉยเลยว่า “ไม่ต้องห่วง ยังไม่ถึงเวลา เดี๋ยวครั้งหน้าจะมีคนมาพาไปเอง” เราก็โล่งใจนึกว่าจะได้ไปเจอเพื่อนๆที่รออยู่
แล้วเขาก็พูดกับเราต่อว่า “วันนี้มาให้เห็นแค่นี้ จะได้ตั้งหลักปฏิบัติได้ถูก เราจะได้เจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลา”
พูดจบเขาก็เคาะพื้นหนึ่งที แล้วก็กลับมายืนที่หน้าศาลา เหมือนตอนแรก ดวงไฟสีขาวออร่าสีทองก็ยังอยู่ที่เดิม
เสียงจากดวงไฟบอกเราว่า “วันนี้ได้เห็นแล้ว จงเชื่อในสิ่งที่ตนรับรู้ จงดูทุกสิ่งให้ถึงเนื้อใน ใครจะว่าเราแบบไหนให้ว่าไป หลายอย่างที่สงสัยวันหนึ่งจะกระจ่าง จงเชื่อคำครู จงเชื่อตัวเอง ให้สิ่งที่เห็นนำพาให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ดี เมื่อบุญถึงแล้วครั้งหน้าเราจะเจอกันอีก”
แล้วเราก็ลืมตาขึ้นเลยค่ะ เรายังอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิเหมือนเดิม แล้วเราก็นั่งถามตัวเองอยู่สักพักใหญ่ๆเลยว่า คิดไปเองปะวะ คือจินตนาการไปเอง หรือยังไง เราล้มตัวลงนอนด้วยความสงสัยหลายอย่างมากๆ แล้วเราก็บอกตัวเองว่า “พรุ่งนี้ลองใหม่ ถ้าเหมือนเดิม แสดงว่าเราจินตนาการไปเอง”
พออีกวันเราลองแล้วค่ะ เรากลับไม่เห็นภาพพวกนี้เลย พยายามนึกตามสิ่งที่ตัวเองเห็นเมื่อวาน ก็ไม่ได้ค่ะ มันไม่เหมือนกับเมื่อวาน มันกลายเป็นแค่ความจำ ไม่ได้เห็นภาพ เหมือนมีแค่เรากำลังคิดไปเรื่อยๆจากสิ่งที่เห็นเมื่อวาน
ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะว่าจริงหรือไม่จริง แต่ก็ยังจำมาถึงทุกวันนี้
โฆษณา