1 มี.ค. 2021 เวลา 14:18 • หนังสือ
ATOMIC HABITS 1/2
ทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่างก็มาจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ทั้งสิ้น ในหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่าทุกวันที่คุณปรับพฤติกรรมใดๆ ให้ดีขึ้นวันละ 1%... ใน 1 ปี พฤติกรรมจะดีขึ้น 37 เท่าจากเดิม อันนี้คงต้องทดลองกันยาวๆ เลย กว่าเราจะรู้ว่าจริงตามหนังสือพูดไหม จริงๆ แล้ว บางทีอาจท้อจากการอดทนทำอะไรสักอย่าง นานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี เป็น 10 ปี โดยที่ยังไม่เห็นผลสำเร็จเลย…. แต่ความพยายามเหล่านั้นไม่ได้สูญเปล่าค่ะ…. แต่จะสะสมผล เอาไว้จนกว่าจะแสดงคุณค่าของมันออกมาเมื่อเวลาเหมาะสม….เหมือนการหยอดเหรียญ ในกระปุกจนเต็ม…. นานค่ะกว่าที่เราจะหยอดมันเต็ม แต่มันก็ไม่มีอะไรเสียหายนิค่ะ แค่เริ่มสิ่งที่อยากทำวันละนิด กับนิสัยที่ดี เพื่อตัวเราเอง ในหนังสือเล่มนี้สอนให้เราฝึกสร้างนิสัยที่ดี และคงนิสัยที่ดีไว้ ให้อยู่กับเรานาน ๆ และลดการทำนิสัยเสียของเราค่ะ….
สิ่งที่ค้นพบในหนังสือเล่มนี้ หากเราคิดอยากจะทำอะไรให้ประสบผลสำเร็จ หรือเปลี่ยนนิสัย สักหนึ่งอย่าง…. ให้ทำตาม กฎเหล่านี้นะคะ
1. ให้ลืมเป้าหมาย แล้วมุ้งเน้นที่กระบวนการปฏิบัติ เราขอยกตัวอย่างเรื่องของเรานะคะ เป้าหมายเรา คือ….เราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษาค่ะ…. ช่วง COVID-19 เมษายน เมื่อปีที่แล้ว ว่างมากๆ WFH เลยหาเว็บไซต์เรียนภาษากับครูต่างชาติ แบบออนไลน์ เราเรียนมาเรื่อยๆ ตอนนี้ ยังไม่หมดครอส์เลยค่ะ 555 แอบอู้บ้าง นับได้ เรียนไปประมาณ 50 ครั้ง ครั้งละ 40 นาที (ใช้เวลา 1 ปีค่ะ….นานเนอะ) แต่…… เราไม่ได้ทำแค่นั้นค่ะ วิธีไหนที่ทำให้ภาษาพัฒนาได้เร็วขึ้น เราทำหมด สร้างสิ่งแวดล้อมให้มีแต่ภาษาอังกฤษ เปิดข่าว การ์ตูน รายการ TV Youtube chanel เปิดทิ้งไว้ บางทีก็ไม่ได้สนใจฟัง ให้มันซึมซับไปในสมอง (เขาบอกมาแบบนั้น… ได้ผลนะ^^) ไม่แค่นั้นเราหาเพื่อนต่างชาติคุยค่ะ และก็ครูที่สอนภาษาแหละค่ะ ตีสนิทเป็นเพื่อนหมด ….. เพียงเพราะเราอยากพูดภาษาอังกฤษให้ได้เหมือนเจ้าของภาษา สิ่งสำคัญที่สุด คือการลงมือทำ ฝึกวันละนิด วันละนิด วันละนิด... เราซึมซับจากการฟังรูปประโยค สำเนียง การใช้งานจริงๆ ความหมายของประโยคเหล่านั้นที่ฝรั่งเขาพูดๆ กันไม่ใช่พูดจากตำรา Good morning, how are you แต่ก่อนเราถูกสอนมา คงตอบไป I’m fine thank you and you แต่คงไม่มีฝรั่งที่ไหนเขาพูดกันแบบนี้ ที่จริงแล้ว เขาก็จะตอบ I’m good thanks แค่นี้แหละค่ะ แต่ก็ยังไม่ได้หาคำตอบว่าทำไมตำราบ้านเรา เขาถึงสอนแบบนั้น…. กลับมาที่เรื่องของหนังสือต่อค่ะ 555 จริงๆ แล้วเป้าหมายคือเราอยากพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนชาวต่างชาติ แต่ลองดูกระบวนการของเราสิค่ะ โครตเยอะๆๆๆๆๆ …. ทำอะไรลงไปบ้าง แค่อยากพูดภาษาอังกฤษเป็น….แค่นั้น (ที่เราต้องเล่าเยอะ เรากำลังทำให้เห็นกระบวนการ....ของความสำเร็จค่ะ...)
2. มีคำพูดหนึ่งในหนังสือ ของ Bill Walsh “คะแนนจะดูแลตัวมันเอง” เขาหมายถึง เป้าหมายของกีฬาทุกประเภท คือการจบเกมด้วยแต้มที่ดีที่สุด แต่คงน่าตลกที่จะมัวแต่จ้องป้ายคะแนน หนทางเดียว….. คือการมีทักษะที่ดีขึ้นในแต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละวัน แต่ละวัน…. ลืมเป้าหมายไปก่อนเลย และหันไปให้ความสำคัญกับกระบวนการแทนค่ะ
3. เคยได้ยินไหมค่ะ ว่า… “เป้าหมายจำกัดความสุขของคน” เรา… ไม่เคยได้ยินหรอกค่ะ พึ่งได้ยินจากหนังสือเล่มนี้นี่ละ แต่คิดไปแล้ว มันก็จริงแหละค่ะ ว่าไหม? เพราะฉนั้นอย่าไปกดดันตัวเองจากเป้าหมายจนมากไปค่ะ มีความสุขไปกับกระบวนการระหว่างทางที่จะนำไปสู้เป้าหมายดีกว่าค่ะ
4. การทำงานของ “นิสัย” ทุกรูปแบบ เริ่มจาก ปัจจัยกระตุ้น > ความปรารถนา > การตอบสนอง > รางวัล > ย้อนกลับมาที่ ปัจจัยกระตุ้น และวนเป็นลูปอีกเรื่อยๆ ค่ะ (ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลาค่ะ) เช่น
-เราได้ยินเสียงแจ้งเตือนไลน์ดัง > เราอยากรู้ว่าใครส่งข้อความมา > เราหยิบโทรศัพท์เปิดอ่าน > เราได้อ่าน สบายใจ หายยาก… (การหยิบโทรศัพท์ เชื่อมโยงกับ เสียงเตือน)
-คุณได้กลิ่นหอมจากร้านโดนัท ขณะเดินห้าง > เราอยากกิน หอมๆๆ > เราซื้อโดนัท > เราได้กินโดนัท (การซื้อโดนัท เชื่อมโยงกับ การเดินห้างแถวร้านโดนัท)
5. การสร้างนิสัยที่ดี จึง ต้องอาศัยกฎ ตามด้านบนค่ะ 1) ต้องทำปัจจัยกระตุ้นให้เห็นชัดเจน 2) ต้องทำให้ความปราณาน่าดึงดูดใจ 3) การตอบสนองต้องเป็นเรื่องง่าย และ 4) รางวัลต้องน่าพอใจ คุ้มที่จะทำค่ะ (การลดนิสัยเสีย ก็ทำตรงกันข้ามกับที่พูดมาค่ะ) ปรับวิธีการให้เข้ากับการดำเนินชีวิตของเราที่สุดค่ะ
ของเราอยากเป็นคนรักการอ่านหนังสือ ปัจจัยกระตุ้นของเราคือ วางหนังสือไว้ทุกที่ค่ะ เตียงนอน โต๊ะทำงาน ห้องน้ำ กระเป๋า รถ (ปัจจัยกระตุ้นเยอะดีเนอะ…จะไม่หยิบมาอ่านให้มันรู้ไป) ความปราณาคืออยากรู้ว่าทำไมคนเก่งๆ ชอบมีฉากหลังเป็นตู้หนังสือ และเขาคนนั้นก็มักจะเก่งจริงๆ ซึ่งการวางหนังสือไว้ใกล้ตัวทำให้การตอบสนองง่ายขึ้น คือเราหยิบมาอ่านง่ายขึ้นค่ะ รางวัลคือเวลาเราทำบ่อยๆ เราอ่านหนังสือจบหนึ่งเล่ม เราจะมีความสุข อยากอ่านเล่มต่อไปเรื่อยๆ อีกค่ะ (สร้างสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับนิสัยที่คุณอยากเปลี่ยนค่ะ)
6. คราวนี้นิสัยดีๆ เริ่มเกิดขึ้นแล้ว จะทำอย่างไรให้มันติดทนอยู่กับเรา… ยากจริงๆ นี่ก็ 28 แล้ว นิสัยเสียบางอย่างยังเลิกไม่ได้ นิสัยดีๆ ก็พยายามอยู่ 555 แต่มันยากไง…. โดปามีนพลักดันให้เราเป็นคนที่ชอปปิ้งเก่ง เห็นใครรีวิวอะไรดี เราซื้อตามหมด ต้องซื้อเลย แล้วจะสบายใจ ไม่งั้นนอนไม่หลับ ใครเป็นเหมือนเราบ้าง (ยกมือ) ไม่ว่าจะ เป็นหนังสือที่กลุ่มริวิว เครื่องสำอาง แม้แต่หม้อทอดไร้น้ำมัน 555 เรานี่มันยังไง (เจ้าโดปามีน…ทำเราอยาก) โดปามีนจะถูกปล่อยออกมา เมื่อเรากำลังพึงพอใจ และคาดหวังอะไรบางอย่าง จริงๆ แล้วโดปามีนเป็นทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีก็ว่าได้ ขึ้นอยู่กับนิสัยนั้นๆ ที่ถูกกระตุ้นให้ทำอยุ่ ดีหรือไม่
7. เราเลยต้องเอาสิ่งล่อใจเข้ามาช่วยเราสร้างนิสัยดีๆ ซึ่งพบว่าพฤติกรรมใดๆ จะน่าสนใจถ้าได้ทำควบคู่ไปกับสิ่งที่เราชอบ เช่น ถ้าเรายอมเดินไปตลาด เราจะซื้อขนมกินได้ 1 อย่าง (เรากำลังลดน้ำหนัก เรายอมเดินไปตลาดและเดินกลับ เพื่อให้ได้กิน…)
8. พฤติกรรมใดๆ จะน่าดึงดูด ถ้ามันช่วยให้เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มได้ จริงๆ แล้ว…เราทำพฤติกรรมตามอย่างคน 3 กลุ่ม
1) คนที่อยู่ใกล้ชิดรอบตัวเรา นิสัยใหม่ๆ มักสร้างได้สำเร็จ เมื่อคุณได้เห็นคนอื่นทำเช่นนั้นอยู่เป็นประจำทุกวัน ทุกครั้งที่มีคน โพส หรือ แชร์ หนังสือ ทำให้เราอยากหยิบหนังสือมาอ่านบ้าง
2) กลุ่มคนส่วนใหญ่ ในกลุ่มนี้ ใครบอกหนังสือเล่มไหนดี เรามักจะเชื่อนะ คล้อยตามก็ว่าได้ …. มันก็จริง ไปซื้อตามหลายเล่มอยู่ ตอนนี้เราเข้ากลุ่มนี้ เราซื้อหนังสือที่กลุ่มนี้แนะนำไป 7 เล่มแล้วววววว…. 555 (ไปคลุกตัวกับกลุ่มคนที่ทำให้เรามีนิสัยแบบนั้น)
3) กลุ่มคนมีอำนาจ นิสัยในชีวิตประจำวันเกิดจากการเดินตามรอยคนที่เราชื่นชม เราเรียนแบบคนที่เราอิจฉาค่ะ หนังสือเขาบอกไว้แบบนั้น เราเลยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้น่าดึงดูด เราอยากมีหนังสือและสะสมหนังสือทีเราอ่านเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ ยืนแล้วมีฉากหลังเป็นตู้หนังสือ …. อันนี้คิดนานแล้ว แต่พึ่งมาอ่านหนังสือเล่มนี้ เลยเข้าใจว่าทำไม… มันคือสิ่งที่ดึงดูดให้เราอยากทำนี่เอง....
……เดี่ยวมาเขียนต่อนะคะ อีกครึ่งเล่มค่ะ…...
Credit: James Clear
โฆษณา