1 มี.ค. 2021 เวลา 14:28 • ท่องเที่ยว
บันทึกการเดินทาง
หมู่บ้านอีต่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
..
บทที่ 3 ลิ้นชักความทรงจำ
..
อาทิตย์ลาลับขอบฟ้า หมดเวลาไปอีกวัน
..
ผมยืนชมความงดงามของเส้นขอบฟ้าสีม่วงอ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกลาแสงสุดท้ายที่ค่อย ๆ ริบหรี่ลง ถึงเวลาที่เราต้องลงตามแสงอาทิตย์กันได้แล้ว พวกเราออกเดินต่อในเส้นทางที่รู้จักมักจี่กันดีเพราะเราใช้เวลาทำความสนิทสนมกับมันมาถึงสามครั้งแล้ว ท่ามกลางความมืดมิดของหุบเขาที่โอบล้อมอยู่ เมื่อเดินตามทางลงมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มมองเห็นกลุ่มก้อนของแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากหมู่บ้านอยู่ไกล ๆ
บนนี้ท้องฟ้าค่อนข้างปลอดโปร่ง แม้จะเป็นคืนเดือนหงายที่มีแสงจันทร์สีนวลผ่องสาดส่องลงมา แต่อีกด้านหนึ่งของฟากฟ้าก็ยังสามารถมองเห็นแสงดาวส่องสกาวระยิบระยับอยู่ แสงดาวที่ส่องสว่างบนท้องฟ้าในชนบทแบบนี้ดูจะส่องสว่างสวยงามกว่าแสงดาวในเมืองเป็นไหน ๆ
ก็แน่หละ - บนนี้ไม่มีแสงสว่างของไฟนีออนที่ส่องฟุ้งขึ้นมาจากพื้นมากมายเท่าในเมือง เราจึงมองเห็นดวงดาวแบบเต็มท้องฟ้าได้ เหล่าดวงดาราจึงได้เผยความงดงามออกมาอย่างเต็มที่เมื่ออยู่ในพื้นที่ของมัน และเผยให้กับผู้คนที่ผ่านมาในพื้นที่ของมันได้ชื่นชม
“ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว”
..
ไม่นานนักเราก็ลงมาถึงตัวหมู่บ้าน
พวกเราเดินดุ่มเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อเสาะหาสิ่งที่สามารถยัดลงท้องเพื่อพอประทังชีวิตได้ ในยามค่ำคืนวันหยุดยาวแบบนี้แลดูคึกคักเป็นพิเศษ ตึกราบ้านช่องแถวนี้ถูกประดับประดาด้วยแสงไฟสีส้มส่องสว่างออกมา บนท้องถนนมีผู้คนเดินเบียดเสียดหาของกินกันอย่างคึกคัก ร้านรวงตั้งเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งร้านชาวไทยและร้านของประเทศเพื่อนบ้าน มีอาหารต่าง ๆ นา ๆ ให้เลือกชิม เลือกช้อป และเลือกใช้มากมายตามแต่จริตท่าน ภาพหมู่บ้านอีต่องในยามวิกาลแบบนี้ดูเป็นภาพที่ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับตัวผมเท่าไรนัก เพราะส่วนใหญ่ผมมักจะมาเที่ยวที่นี่ในเวลากลางวัน และไม่ค่อยมีโอกาสได้นอนค้างแรม ณ ที่แห่งนี้
ส่วนภาพจำที่ผมมีต่อหมู่บ้านแห่งนี้น่ะหรอ
ครั้งหนึ่งผมเคยมาที่นี่กับครอบครัวในช่วงปลายฝน-ต้นหนาว เป็นช่วงที่มีสายหมอกเข้าห่มคลุมหมู่บ้านแห่งนี้ไว้ทุกตารางนิ้ว พร้อมด้วยละอองฝนที่ตกปรอยปรายให้พอชุ่มฉ่ำพื้น ม่านหมอกช่วยอำพรางให้หมู่บ้านนี้ดูลึกลับ มีมนต์ขลัง น่าค้นหา ดูมีเสน่ห์มากทีเดียว
แต่ถึงแม้สายหมอกจะบดบังทัศนียภาพของการมองไปบ้าง แต่มิอาจบดบังทัศนียภาพทางใจที่สัมผัสได้เลย ความงดงามมีให้เห็นทุกหย่อมหญ้า ภูเขาและต้นไม้เขียวชอุ่มสดใสดูมีชีวิตชีวา อากาศที่เย็นชื้น ๆ แบบนี้จึงทำให้รู้สึกสบายตัว ผิวหนังไม่แห้งตึง ภาพหมู่บ้านแห่งนี้ในบรรยากาศท่ามกลางสายหมอกและฝนพรำบาง ๆ ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผมตลอดมา
1
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หมู่บ้านที่ตั้งอยู่อย่างวิเวกห่างไกลผู้คนแบบนี้ กลับกลายเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง อาจมาจากเหตุผลที่ว่าหมู่บ้านนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักล่าฝันทั้งหลายที่หมายปองจะพิชิต “ยอดเขาช้างเผือก” หรือ “เขาสันคมมีด” ซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์คของที่นี่ โดยอยู่ในการควบคุมดูแลของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ มันขึ้นชื่อทั้งเรื่องความสวยงามและการจองที่ยากเย็นแสนเข็ญ
และผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่อยากออกไปสัมผัสความงามของ“ยอดเขาช้างเผือก”แห่งนี้เช่นกัน คงจะมีประสบการณ์และบทเรียนดี ๆ รอผมอยู่บนนั้นเป็นแน่ หวังว่าคงจะมีโอกาสนั้น
สักวันเราคงได้พบกัน
..
ด้วยความรู้สึกที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงและปวดเมื่อยที่ขาทั้งสองข้าง ผมสงสัยว่า“วันนี้เราเดินกันเป็นระยะทางเท่าไรกันนะ?” จึงไม่รีรอที่จะควักโทรศัพท์ขึ้นมาดูสรุป‘การก้าวเดิน’จากในแอป ได้ความว่าวันนี้เราออกเดินกันเป็นระยะทางประมาณสิบสองกิโลเมตร และนี่ก็คือวันพักผ่อนของพวกเราแหละครับ
เป็นการพักผ่อนที่บ้าระห่ำพอตัว
ไม่รู้ว่าแต่ละคนไปอดอยากการเดินมาตั้งแต่ชาติปางไหน เพราะพวกเรายังคงนัดแนะกันต่ออีกว่าพรุ่งนี้เช้าเราจะไปรอรับแสงแห่งรุ่งอรุณที่เขาฮัวกั่วซานกันอีกรอบ นี่พวกเรามาเที่ยวกันสามวัน กำลังจะเดินขึ้น-ลงเส้นทางเดิมรอบที่สี่ ผมว่าผมได้คำตอบละว่าเราน่าจะจัดอยู่ในประเภท ‘บ้า’ มากกว่า ‘ชอบ’ และมันคงเป็นความบ้าร่วมกัน เพราะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะขัดต่อประสงค์นี้
พวกเราทั้งสี่นั่งล้อมวงแล้วยัดอาหารที่เพิ่งซื้อมาจากหมู่บ้านลงท้องจนอิ่มหนำ เสร็จแล้วพวกเราก็นั่งทรมานตัวเองกับความหนาวเย็นเล่นกันอีกครู่หนึ่ง ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดผ่านพื้นที่ ๆ เรานั่งอย่างไม่ขาดสาย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำแบบนี้ทำไม จะทรมานตัวเองกันไปถึงไหน ทั้ง ๆ ที่มันก็มีหลายซอกหลายมุมให้เราสามารถหลบลมได้ มองไปรอบ ๆ ไม่เห็นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนเขาบ้ามานั่งในที่โล่ง ๆ ให้ลมโกรกแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่าความสบายจะไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ในการเดินทางของกลุ่มเรา
นั่งไปนั่งมาวงเริ่มแคบลงเรื่อย ๆ หัวเข่าเริ่มแนบชิดติดกันเข้ามา ตัวเริ่มขดงอ ความหนาวแทงทะลุผ่านเสื้อผ้าเข้ามาสัมผัสผิวหนังชั้นนอก นานเข้าเริ่มซึมเข้าสู่ร่างกาย จนในที่สุดความหนาวก็เข้ามาจับหัวใจผมได้สำเร็จ แต่ละคนก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
คงเดาไม่ยาก, พวกเราเลิกบ้า ยอมแพ้ต่อสภาพอากาศ แล้วยอมเข้าไปนั่งในรถกันอย่างโดยดี นั่งคุยกันได้สักพักผมก็หลับใหลไปเพราะความอ่อนเพลียโดยไม่รู้ตัว
หากคำว่าพักผ่อนประเมินจาก‘ความสบายกาย’ การที่พวกเราทั้งสี่คนนำพาร่างกายมาทรมานด้วยการก้าวย่างซ้าย-ขวาสลับไปมาเป็นระยะทางกว่าสิบสองกิโลเมตรแบบนี้อาจจะไม่ใช่การกระทำที่ดีเท่าไร แต่หากการพักผ่อนประเมินที่‘ความสบายใจ’ ผมว่าพวกเราทุกคนต่างได้รับความรู้สึกนี้เก็บกลับไปกันถ้วนหน้า แม้จะต้องจ่ายด้วยราคาของความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ตาม
 
บางครั้งความ‘สุขใจ’ที่เราปรารถนา อาจต้องแลกมาด้วยราคาของความ‘ทุกข์กาย’
1
แต่หากถามว่ามันคุ้มมั้ย?
คุณอาจต้องออกไปค้นหาคำตอบด้วยเอง
..
ผมตื่นขึ้นมาตอนตีสี่กว่า ๆ เพราะว่ากระเพาะปัสสาวะได้กักเก็บน้ำไว้เต็มอัตรา และมันพร้อมที่จะเอ่อล้นออกมาเต็มที จึงตัดสินใจออกไประบายน้ำออกซะหน่อยดีกว่า ตอนแรกก็กะว่ากลับมาจะปลุกเพื่อน ๆ ที่เหลือให้เตรียมตัวเดินทางในตอนเช้า แต่พอได้นำพาร่างกายออกไป รับรู้ถึงความเย็นยะเยือกและสายลมที่โหมกระหน่ำนำพาความหนาวมาสัมผัสกาย ทำให้มิอาจทานทนต่อสภาพอากาศได้ ผมจึงเข้าไปนอนคุดคู้อยู่ในรถดังเดิม
เมื่อความหนาวเป็นข้ออ้างที่ดีแล้ว ยังมีความเมื่อยล้าจากต้นขาทั้งสองมาช่วยสนับสนุนอีกแรง
“อนิจจา สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ” สึกหรอตามการใช้งานอันหนักหน่วง
เมื่อเหตุผลมีน้ำหนักพอ เลยไม่รีรอที่จะตัดสินใจยอมปล่อยมือจากจุดหมายและนอนต่อโดยเร็วพลัน และด้วยสภาพอันอิดโรยของแต่ละคนแล้วก็คงไม่มีแรงมากพอที่จะสลัดตัวออกจากพันธนาการของเบาะรถนิ่มๆ ออกไปได้อย่างแน่นอน
ณ ตอนนี้ไฟของความปรารถนาในเมื่อคืนคงมอดดับลงหมดสิ้นแล้ว
การปล่อยวางและให้ร่างกายได้พักผ่อนน่าจะเป็นสิ่งที่แต่ละคนต้องการมากกว่า
..
ตื่นเช้ามาอย่างสดใสพร้อมแสงที่เริ่มสาดส่องลงมา เวลาตอนนั้นน่าจะประมาณหกโมงกว่า ทุกคนต่างรู้ตัวว่าเมื่อเช้ามืดเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่มีสักคนเดียวที่จะปลุกเพื่อน ๆ ให้ตื่นและเตรียมตัวออกเดินทาง
จากนั้นพวกเราก็ลุกขึ้นมาล้างหน้า ถูฟัน ให้สดชื่น แล้วจึงออกไปหาอะไรกินกัน เราต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยโจ๊กอุ่น ๆ กับหมูปิ้งร้อน ๆ ยัดลงจนเต็มท้อง จากนั้นก็ไม่รู้จะทำอะไรกันต่อจึงตัดสินใจไปนั่งล้อมวงชงกาแฟกันที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิดีกว่า
เราบอกลากับหมู่บ้านอันแสนสงบแห่งนี้ พร้อมกับเรื่องราวดี ๆ ที่ได้เก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ
เมื่อเดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิเราก็ไม่รีรอ เก็บข้าวของ จัดเตรียมอุปกรณ์ชงกาแฟ เดินหาที่สงบ ๆ ด้วยเวลาตอนนั้นก็ประมาณเก้าโมงกว่า ๆ เรามีเวลาเหลืออีกมากมายให้เถลไถลเต็มที่
เมล็ดกาแฟถูกเทลงบนเครื่องบด บดจนแหลกละเอียด ตักใส่หม้อโมก้า ขึ้นต้มบนเตาแก๊ส
แก้วแรกผ่านไป...แก้วสอง...แก้วสาม...ค่อย ๆ ผ่านไป
จิบไป ฟังเพลงไป พลางมองวิวภูเขาไปแบบเพลิน ๆ นี่คงเป็นช่วงที่ผ่อนคลายที่สุดในการเที่ยวครั้งนี้
‘เข้มข้นทั้งกาแฟ เข้มข้นทั้งเรื่องหลังวงกาแฟ’
บทสนทนาเริ่มรสชาติเข้มข้นขึ้นตามรสชาติของกาแฟ พวกเราต่างพากันทบทวนกับชีวิตที่ผ่านมาของกันและกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องแบบนี้กลายมาเป็นประเด็นสนทนาหลักของกลุ่มพวกเราตั้งแต่เมื่อไร แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เจอกันประเด็นเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเรื่องให้พูดคุยกันได้แทบทุกครั้งไป ซึ่งก็นับว่าดีทีเดียว ผมมองว่าการที่ได้ทบทวนชีวิตผ่านมุมมองของคนอื่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง และยิ่งเป็นมุมมองที่ผ่านคนที่ใกล้ชิดเรา นับเป็นกระจกสะท้อนตนเองได้อย่างดีเลย
คุยไปคุยมาเวลาล่วงเลยไปจนถึงประมาณบ่ายโมง เมื่อบวกลบคิดคำนวณเวลาเดินทาง คงได้เวลากลับแล้วแหละ ช่วงเวลาของความสุขช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ แต่ไม่มีงานเลี้ยงไหนไม่มีวันเลิกรา พวกเราต่างรู้ดี มันเป็นสัจธรรมที่เราต้องยอมรับ ได้เวลาโบกมือลากับสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนี้แล้ว
..
ความรู้สึกโหวง ๆ ในใจนี้ มักเกิดขึ้นทุกครั้งที่รู้ว่าการเดินทางกำลังจะจบลง เรื่องราวประสบการณ์ต่าง ๆ กำลังจะถูกเก็บเข้าลิ้นชักของความทรงจำ ก็ทำใจยากอยู่เหมือนกันที่รู้ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขกำลังจะผ่านพ้นไป
บางที‘การปล่อยวางจากความสุข’อาจทำได้ยากกว่า ‘การปล่อยวางจากความทุกข์’
เมื่อมีความทุกข์เราต้องการผลักไสมัน ต้องการให้มันออกไปจากชีวิตให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเรามีความสุขเราต้องการที่จะกอดเก็บมันไว้ อยากให้มันอยู่กับเราไปนาน ๆ เรารู้ดีว่าไม่มีอะไรที่มันจีรังยั่งยืน ทั้งสุขและทุกข์มันเพียงเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาหนึ่งแล้วมันก็จะผ่านพ้นไป เปรียบดังก้อนเมฆที่เพียงแค่ลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น บางครั้งเมฆดำอาจลอยเข้ามาบดบังแสงตะวันทำให้ท้องฟ้าครึ้มหม่น บางครั้งปุยเมฆสีขาวก็ลอยเข้ามาแต่งแต้มท้องฟ้าให้ดูมีชีวิตชีวา แต่ทั้งสองมันก็เพียงแค่ลอยผ่านมาแล้วก็ผ่านไปในท้องนภาแห่งชีวิตเพียงเท่านั้น
1
เราทำได้เพียงแค่ชื่นชม ยอมรับ แล้วก็ปล่อยให้มันลอยผ่านไป
แต่เรามักจะทำใจปล่อยวางจากความสุขได้ยากเพราะเราปรารถนาที่จะมีมันไว้ในครอบครองให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรายึดติดกับรสอร่อยของมัน และมันก็ทำให้เราต้องกล้ำกลืนฝืนทนในภายหลังเมื่อเราต้องทำใจโบกมือลาจากมัน
เฉกเช่นการเดินทางครั้งนี้ที่ทำใจยอมรับได้ยากนักเมื่อรู้ว่ามันกำลังจะจบลง
..
แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะจบลงไป แต่มันเป็นเพียงแค่บทหนึ่ง ย่อหน้าหนึ่ง หรืออาจเป็นเพียงวรรคหนึ่งในบันทึกการเดินทางของชีวิตเท่านั้น หาใช่ตอนจบของบันทึกเล่มนี้ไม่ บันทึกเล่มนี้ยังคงต้องถูกขีดเขียนต่อไป การเดินทางครั้งใหม่ก็ยังคงรอให้เราไปพบเจอและบันทึกมันลงไป ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีวันจบ
และผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้บันทึกการเดินทางครั้งใหม่อีกครั้ง
..
‘การเดินทาง’นั้นแตกต่างจาก‘การท่องเที่ยว’
‘การท่องเที่ยว’เราจะมุ่งความสนใจไปที่จุดหมายปลายทางเพียงอย่างเดียว หากปลายทางไม่เป็นดั่งใจนึก ก็อาจผิดหวังเสียใจ การท่องเที่ยงครั้งนั้นก็จะไร้ความหมาย ไร้เรื่องราว และไม่น่าจดจำ
แต่‘การเดินทาง’เราจะสนใจในทุกกระบวนการตลอดการเดินทางครั้งนั้น เรื่องราวในทุกช่วงขณะไม่ว่ามันจะร้ายหรือดี สุขสมหรือผิดหวัง เราต่างโอบรับและเก็บกลับมาเป็นบทเรียน เป็นเรื่องราวดี ๆ ในความทรงจำตลอดไป แม้นว่าปลายทางอาจไม่งดงามดั่งที่หวังไว้ ก็ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้เลย เพราะความอิ่มเอมใจที่ได้รับตลอดเส้นทางมันมากเพียงพอแล้ว
และผมก็หลงรัก‘การเดินทาง’
1
..
ระหว่างทางกลับบ้าน
ผมนั่งมองแสงสุดท้ายของวันอยู่ในรถ
พระอาทิตย์ยังคงลับขอบฟ้าทุกวันเช่นเดิม
แต่ความรู้สึกวันนี้กับเมื่อวานช่างต่างกันเหลือเกิน
..
อาทิตย์ลาลับขอบฟ้า หมดเวลาไปอีกวัน
โฆษณา