1 มี.ค. 2021 เวลา 23:26 • หนังสือ
กฎ 21 ข้อที่ไม่มีผู้นำคนไหนปฏิเสธได้ (The 21 Irrefutable Laws of Leadership) : Summary
กฎข้อที่ 1 กฎแห่งเพดาน
กฎแห่งเพดาน บอกว่า "ความสามารถในการเป็นผู้นำ เปรียบเสมือนเพดาน ที่กำหนดระดับประสิทธิผลของคนในทีม ยิ่งความสามารถในการเป็นผู้นำต่ำลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ศักยภาพของคนในทีมต่ำลงเท่านั้น” ถ้าสมมติว่าแบ่งความสามารถในการเป็นผู้นำของคนเราเป็น 10 ระดับ และเมื่อเราจะต้องการเป็นระดับที่ 10 ของความเป็นผู้นำมากแค่ไหนก็ตาม ความสามารถในการเป็นผู้นำของเรา ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ทักษะด้านคน ความสามารถในการวางแผน วิสัยทัศน์ ความทุ่มเทในการทำงานให้สำเร็จ และผลงานที่ผ่านมาในอดีต
ความจริงก็คือ น้อยคนที่จะอยู่ในระดับ 10 ครับ อย่างไรก็ตามเราใช้ประโยชน์จากกฎแห่งเพดาน และประเมินความเป็นผู้นำของเราเอง เราจะประเมินได้ว่าผู้ติดตามของเราคือใคร อย่างเช่น ถ้าเราอยู่ในระดับที่ 8 ส่วนใหญ่เราจะไม่สามารถเป็นผู้นำคนที่เป็นระดับ 9 หรือ 10 ได้ แต่เรายังสามารถนำคนที่เป็น ระดับ 5 6 หรือ 7 ได้เป็นอย่างดี
แต่ยังดีครับที่กฏแห่งเพดานนั้นสามารถยืดหยุ่นได้ แต่สิ่งที่เป็นเรื่องแย่มากคือ การที่เราคิดว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ดีที่สุดแล้ว ไม่งั้นเราจะไม่สามารถเติบโตได้ เพราะการที่เราจะเติบโตได้นั้นต้องอาศัยความทุ่มเทอย่างมากในการทำมันครับ
กฎข้อที่ 2 กฎแห่งอิทธิพล
กฎแห่งอิทธิพลคือ "การวัดความเป็นผู้นำที่แท้จริงนั้น คือการวัดว่าเรามีอิทธิพลต่ออะไรมากหรือน้อยกว่า" เป็นคำพูดที่ดี แต่เราใช้เวลาถามตัวเองบ่อยแค่ไหนว่าคุณมีอิทธิพลต่อใคร? หรืออะไรบ้าง ?
คำถามที่ใหญ่กว่าสำหรับเราที่จะต้องถาม คือเราแสดงอิทธิพลประเภทใดให้กับผู้ที่ติดตามเรา? ผู้นำที่ไม่ดีมักมีอิทธิพลต่อคนอื่นในลักษณะที่ ทำให้ผู้อื่นตกต่ำเพื่อปกป้องตำแหน่งผู้นำของตนเอง ซึ่งจริงๆแล้ว ผู้นำที่ดีที่สุดต้องรู้ตัวว่า การเป็นผู้นำนั้นเกี่ยวกับการยกระดับผู้ตาม ให้มีศักยภาพสูงสุด แม้ว่าวันหนึ่งพวกเขาจะกลายเป็นผู้นำที่ดีกว่าตัวเองก็ตาม
ความเป็นผู้นำไม่ได้ถูกกำหนดโดยชื่อตำแหน่ง ไม่สำคัญว่าเราจะเป็นซีอีโอ ผู้อำนวยการ หรือ ผู้กำกับ อะไรพวกนั้น เราไม่ใช่ผู้นำที่แท้จริง หากไม่มีผู้ตามที่ทำตามที่เราบอก การพิสูจน์ความเป็นผู้นำให้ไปดูที่ตัวผู้ตามครับ
กฎข้อที่ 3 กฎแห่งกระบวนการ
กฏแห่งกระบวนการ คือ “ Leadership Develops Daily, Not in a Day” หมายความว่าเราสามารถบอกได้ว่าคน ๆ นั้นสุดท้ายแล้ว เขาจะเป็นแบบไหน ดูได้จากนิสัยและลำดับความสำคัญที่เขาทำในชีวิตประจำวันของพวกเขา หมายความว่าในฐานะผู้นำเราต้องมีแผนของเราสำหรับการที่เราจะเติบโตไปในทิศทางไหน ทุกสิ่งเหล่านี้มีส่วนช่วยให้คุณไปถึงจุดหมายที่เราต้องการได้ เหมือนกำหนดกระบวนการเพื่อไปถึงเป้าหมายได้อย่างถูกทิศถูกทางนั่นเองครับ ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าเราจะไปที่จุดไหน หากเราไม่ได้พิจารณาก่อนว่าคุณควรจะเดินทางไปไหนเพื่อไปที่นั่น
กฎแห่งกระบวนการก็เข้ามามีบทบาทเช่นกันเมื่อเรามุ่งมั่นที่จะนำผู้อื่น ซึ่งในขณะที่เราเป็นผู้นำคนอื่น ๆ เราต้องกำหนดเส้นทางสู่ความสำเร็จ ทั้งตัวเราเองที่ต้องเติบโตขึ้น และคนอื่นๆ ต้องเติบโตตามด้วยเช่นกันครับ
กฎข้อที่ 4 กฏแห่งการนำทาง
กฏข้อนี้เป็นภาคต่อของกฏข้อ 3 ซึ่งเมื่อเรากำหนดกระบวนการที่จะไปถึงจุดหมายของตัวเองแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ สามารถนำทางธุรกิจหรือองค์กรของเรา ผ่านความท้าทายและอุปสรรคเพื่อไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุดให้ได้ โดยเราต้องคือคนที่ควบคุมทิศทาง ไม่ใช่ให้มันมาควบคุมเรา เช่น ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เราก็จะเขวออกนอกทิศทางตามสถานการณ์ไปเรื่อย จนหลุดออกจากจุดหมายของเราในท้ายที่สุดนั่นเอง
กฎแห่งการนำทางเป็นจุดที่ความเป็นผู้นำสร้างความแตกต่างจากผู้คนอื่นๆ ได้ จากประสบการณ์ที่เคยเจอ ดังนั้นผู้นำจะตอบสนองล่วงหน้าสำหรับปัญหา หรือความท้าทายที่จะพบเจอ และก้าวไปข้างหน้าไปสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ ตรงนี้สำคัญกว่าวิสัยทัศน์ เพราะตรงนี้คือการกำหนดสิ่งที่จะทำให้วิสัยทัศน์ของเราบรรลุผล ได้ครับ “ ใคร ๆ ก็บังคับเรือได้ แต่ต้องใช้ผู้นำในการกำหนดเส้นทาง”
กฎข้อที่ 5 กฎแห่งเพิ่มเติม
กฎแห่งการเพิ่มเติมคือ ผู้นำเพิ่มคุณค่าโดยการให้บริการผู้อื่น เราเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อื่นเมื่อเราเห็นคุณค่าของพวกเขาอย่างแท้จริง และตั้งใจทำให้ตัวเองมีคุณค่าต่อพวกเขา วิธีที่ดีที่สุดที่เราทำ คือ ทำความรู้จักกับคนที่เราเป็นผู้นำ ค้นหาและรับรู้ เป้าหมาย ความหวัง และความฝันของพวกเขา จากนั้นหาสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยพวกเขาในการไปยังที่ที่พวกเขาต้องการ ผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์ จะเป็นผู้นำได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรู้อะไรเกี่ยวกับคนที่พวกเขาจะเป็นผู้นำ แต่ผู้นำที่เป็นดี จะรับฟัง เรียนรู้ แล้วจึงเป็นผู้นำ
กฎข้อที่ 6 กฎแห่งรากฐานและความมั่นคง
ความไว้วางใจเป็นรากฐานของความเป็นผู้นำ นี่อาจเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้นำจะต้องเจอ มีคนจำนวนมากที่ไม่แยแสกับผู้นำ ที่ทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว ดังนั้นความไว้วางใจจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำ หากเราไม่มีความไว้วางใจเราก็ไม่มีอะไรจะที่จะมอบให้ผู้ตามเลย
ผู้นำได้รับความเคารพได้อย่างไร? ด้วยการตัดสินใจอย่างถูกต้องโดยยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเขาเอง และโดยให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ตาม และองค์กร มากกว่าเรื่องส่วนตัวของเขาเอง
กฏข้อที่ 7 กฏแห่งการนับถือ
สิ่งที่จำเป็นนกจากความไว้ใจ คือความเคารพ กฎแห่งความเคารพเตือนเราว่า “ โดยธรรมชาติแล้วผู้คนจะติดตามผู้นำที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง” เมื่อผู้คนเคารพเราในฐานะบุคคลพวกเขาก็ชื่นชมเรา เมื่อพวกเขาเคารพเราในฐานะเพื่อนพวกเขารักเรา เมื่อพวกเขาเคารพเราในฐานะผู้นำพวกเขาก็ทำตามเรา ตรงกันข้ามก็เป็นจริงเช่นกันแค่เติมคำว่าไม่ไปครับ ทันทีที่ผู้คนไม่เคารพคุณอิทธิพลของคุณที่มีต่อพวกเขาก็จะหายไป
กฏข้อ 8 กฏแห่งสัญชาตญาณ
การใช้สัญชาตญาณ ผู้นำประเมินทุกสิ่งด้วยอคติของผู้นำ กฎแห่งสัญชาตญาณตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และสัญชาตญาณ ตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเช่น ขวัญกำลังใจของพนักงาน จากทักษะการเป็นผู้นำทั้งหมดเราสามารถพัฒนามันได้ตลอดเวลา ซึ่งสัญชาตญาณอาจเป็นสิ่งที่พัฒนายากที่สุด เพราะมันต้องอาศัยประสบการณ์ในการเป็นผู้นำมากกว่าสด้านเดียว ต้องมีประสบการณ์รอบด้าน บางอย่างมันก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับความถนัดตามธรรมชาติของเราเอง ในการมองเห็นปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดในครั้งเดียว และแยกแยะการกระทำที่เป็นไปได้กับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปหาอะไรจากไหนเพิ่ม ทำให้ผู้นำที่ดีนั้น จะมีความสามารถในการรับรู้สิ่งต่างๆ ของผู้ตามได้ เช่นทัศนคติ และคาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดได้ โดยไม่ต้องพึ่งข้อมูลทางสถิติต่างๆ เลย พวกเขาจะรู้สถานการณ์ก่อนที่จะมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นทั้งหมด ที่เห็นผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำไปแล้ว
ในส่วนของสัญชาตญาณ ความสามารถนี้เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ หรือต้องได้รับการเลี้ยงดู ดังนั้น หลาย ๆ คนที่ปฏิเสธที่จะเติบโตในฐานะผู้นำ เช่น ไม่อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม หรือ ผู้นำทำงานต่างๆ หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถนี้ การพัฒนาสัญชาตญาณนี้ เกิดผ่านประสบการณ์และการเติบโตในเรื่องนี้ เป็นสิ่งล้ำค่ามากๆ เพราะ เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำประสบปัญหาพวกเขาจะวัดผลโดยอัตโนมัติ และเริ่มแก้ไขโดยใช้กฎแห่งสัญชาตญาณ
กฎข้อที่ 9 กฏแห่งแรงดึงดูด
กฏแห่งแรงดึงดูด คือ เราเป็นใครและใครคือคนที่เราดึงดูด หรือมากกว่านั้นก็คือ เราจะดึงดูดผู้คนที่เป็นแบบเดียวกับเรา ดังนั้น ผู้นำช่วยในการกำหนดวัฒนธรรมขององค์กรตามตัวตน และสิ่งที่พวกเขาทำ และ ไม่เพียง แต่ดึงดูดผู้คนที่มีทัศนคติคล้ายกันเท่านั้น แต่ทัศนคติของพวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเหมือนกัน
ถ้าลองสังเกตดู ว่าสิ่งที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับองค์กรของเรา คือสิ่งที่เราไม่ชอบเกี่ยวกับตัวเราเองในปัจจุบัน บุคลิกภาพลักษณะนิสัยนิสัยใจคอและกิริยามารยาทของเราจะดึงดูดผู้คน แบบเดียวกับตัวเราเองเข้ามาในองค์กรของเรา และลบคนที่มีอยู่ภายในออกไปได้ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่พบผู้นำหลายคนที่คาดหวังให้คนที่มีความสามารถสูงกว่ามาติดตามพวกเขา แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีความสามารถนั้น หรือแสดงออกถึงคุณค่าที่สำคัญของความสามารถนั้น พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องการสิ่งที่ดีกว่าตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ให้คุณค่ากับสิ่งที่ดีกว่านั้นเลย เราอาจจะมองแค่ว่าเขาเป็นแค่ผู้ตามในระดับต่ำกว่าเสียด้วยซ้ำ ครับ แบบนี้การที่จะได้ผู้ตามที่มีความสามารถ ที่มากกว่าก็เป็นไปได้ยากแหละครับ ดังนั้น ถ้าเราต้องการดึงดูดคนที่ดีกว่า จงเป็นคนที่เราปรารถนาจะดึงดูด ให้ได้ จากนั้นเมื่อคุณดึงดูดคนที่คุณอยากได้ ให้ติดตามเราแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะพาตัวเอง และคนเหล่านั้นพัฒนาไปอีกด้วยกันครับ
กฏข้อที่ 10 กฏแห่งการเข้าถึงใจ
ผู้นำจะสัมผัสได้ถึงหัวใจก่อนที่พวกเขาจะขอจับมือ หรือพูดได้ว่า ผู้คนจะไม่ติดตามเรา จนกว่าพวกเขาจะถูกซื้ออารมณ์ไปสู่วิสัยทัศน์ที่เรากำลังหล่อหลอม เราพัฒนาความน่าเชื่อถือ กับผู้คนเมื่อเราเข้าถึงใจพวกเขา และแสดงให้เห็นว่าคุณห่วงใย และต้องการช่วยเหลือพวกเขาอย่างแท้จริง
ในการเข้าถึงใจของผู้คนอย่างแท้จริง เราต้องให้ความสำคัญกับพวกเขา เรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขา แล้วปรับตัวให้เข้ากับตัวตนของพวกเขา อย่าคาดหวังว่าผู้คนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะทำตามเรา เราต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะเชิญพวกเขาเข้ามา
กฎแห่งการเข้าถึงใจ หมายความว่าเราต้องเข้าใจพวกเขา ก่อนที่เราจะพยายามให้พวกเขาติดตามเรา หรือมาตามวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการที่จะนำไป พูดง่ายๆ คือ เราต้องให้ก่อนที่จะได้รับครับ หรือ Action เกิดก่อน ถึง จะเท่ากับ Reaction นั่นเอง
กฎข้อที่ 11 กฏแห่งคนวงใน
ศักยภาพของผู้นำถูกกำหนดโดยผู้ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด สิ่งนี้มีผลคล้ายกับกฎแห่งแรงดึงดูด ซึ่งอาจจะบอกได้ว่า ผู้ติดตามของเราจะดูเหมือนเรา หรือเราอาจจะบอกว่าเราจะเริ่มดูเหมือนคนที่เราอยู่ด้วยนั่นเอง และกฏข้อนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริงทุกครั้ง
เพื่อใช้ประโยชน์จากกฎแห่งคนวงใน เราต้องล้อมรอบตัวเอง กับคนที่เราชื่นชมและเคารพอยู่ตลอดเวลา น่าเสียดายที่สิ่งนี้สวนทางกับรูปแบบความเป็นผู้นำของคนส่วนใหญ่ ผู้นำที่ไม่ปลอดภัยรู้สึกถูกคุกคามเมื่อพวกเขาไม่ใช่คนที่ฉลาดและมีความสามารถที่สุดในที่นี้ ดังนั้นพวกเขาจึงล้อมรอบตัวเองกับคนที่อ่อนแอกว่าตัวเอง เพื่อให้ดูว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคน อย่างไรก็ตามนี่หมายความว่าศักยภาพในการเติบโตของพวกเขานั้นถูก จำกัด โดยความสามารถของผู้ที่พวกเขาอยู่ใกล้ๆ นั่นเอง
ดังนั้น เราจะใช้ประโยชน์จากกฎแห่งคนวงใน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ และเพิ่มศักยภาพในการเป็นผู้นำ ขั้นแรก คือ เราต้องพัฒนาตัวเราให้เป็นผู้นำที่ดีที่สุด เท่าที่เราสามารถทำได้เสมอ ต่อไปคือการล้อมรอบตัวเองด้วยผู้นำที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพื่อที่เราจะได้พัฒนาไปเป็นแบบเขา และค้นหาผู้นำที่ดีที่สุดต่อไปเพื่อพัฒนา
กฎข้อที่ 12 กฏแห่งการมอบอำนาจ
เบื้องหลังกฎแห่งคนวงใจคือกฎแห่งการมอบอำนาจ กฏข้อนี้คือ ผู้นำที่มีความมั่นคงเท่านั้นที่ให้อำนาจแก่ผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าผู้นำที่มีความมั่นคงใช้เวลาของพวกเขาในการระบุผู้นำ หรือสร้างผู้นำขึ้นมา ให้ทรัพยากรอำนาจและความรับผิดชอบแก่พวกเขา จากนั้นก็เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นอิสระเพื่อให้เขากลายเป็นผู้นำ หรือ บรรลุเป้าหมายของตนเอง ในทางกลับกันผู้นำที่ไม่มีความมั่นคง จะใช้เวลาสงสัยคนรอบข้าง และทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ เพื่อบั่นทอนศักยภาพและการเติบโตของผู้คน
ผู้บริหารที่ดีที่สุด คือคนที่มีไหวพริบพอที่จะเลือกผคนดีๆ มาทำในสิ่งที่เขาต้องการ และมีความยับยั้งชั่งใจตัวเองมากพอ ที่จะป้องกันไม่ให้เข้าไปยุ่งกับพวกเขาในขณะที่พวกเขาทำสิ่งนั้น ดังนั้นเพื่อใช้ประโยชน์จากกฎข้อนี้ เราต้องเข้าใจว่าเมื่อเราพัฒนาความเป็นผู้นำ ให้กับคนที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เราไม่เพียง แต่ยกระดับคุณค่าของตัวเองในฐานะผู้นำเท่านั้น แต่องค์กรของเราก็ได้รับประโยชน์ ในการกระทำนั้นด้วย
กฎข้อที่ 13 กฏแห่งภาพ
กฎแห่งภาพ หมายถึง ผู้คนจะทำในสิ่งที่ผู้คนเห็น นี่อาจเป็นกฎสูงสุดอีกข้อหนึ่ง ในการทำความเข้าใจว่า ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความเป็นผู้นำ เมื่อผู้นำแสดงแนวทางด้วยการกระทำที่ถูกต้องผู้ติดตามก็ลอกเลียนแบบและประสบความสำเร็จ ผู้นำที่ทำผิดจะเปลี่ยนผู้นำทุกคนที่อยู่รอบตัวพวกเขาให้กลายเป็นผู้นำที่ทำผิด เพราะชีวิตของพวกเขาแสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่ดีและเป็นที่ยอมรับ ขนาดเป็นผู้นำยังทำผิดเลย ทำไมเราจะทำไม่ได้ ประมาณนี้แหละมั๊งครับ
กฎข้อที่ 14 กฏแห่งการยอมรับ
คนเราต้องยอมรับในความเป็นผู้นำก่อนวิสัยทัศน์ คนจำนวนมากที่เข้าใกล้วิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำล้วนแต่ล้าหลัง พวกเขาเชื่อว่าหากมีเหตุผลที่ดีพอผู้คนจะยอมรับ และปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติ แต่นั่นไม่ใช่วิธีการที่ผู้นำใช้ได้ผลจริง ในตอนแรกผู้คนไม่ได้ทำตามเหตุผลที่มีค่าควร พวกเขาปฏิบัติตามผู้นำที่มีค่าควรต่างหาก หากเราย้อนกลับไปที่กฎแห่งภาพ นั่นหมายความว่าหากความน่าเชื่อถือของเราในฐานะผู้นำ เป็นสิ่งที่น่าสงสัยที่สุด เราจะไม่มีคนเต็มใจทำตามวิสัยทัศน์ที่เรากำลังเลือกมัน เพราะพวกเขาสงสัยว่าเราจะทำสิ่งนั้นได้จริงๆ หรือ เพราะเขาไม่ยอมรับในตัวเรานั่นเอง
ในฐานะผู้นำเราไม่สามารถส่งเสริมวิสัยทัศน์ และผลงานที่ดีที่เราให้คนอื่นยอมรับได้ โดยทำผ่านโซเชียลมีเดีย และคาดหวังว่าผู้คนจะเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครหรือให้เงินเพื่อสนับสนุนเรา หากพวกเขาไม่เชื่อใจเรา ทำให้วิสัยทัศน์ หรือสิ่งที่เราต้องการจะทำ ก็ไม่สำคัญแม้ว่าเราจะมีโอกาสอะไรที่ดีมากๆ อยู่ตรงหน้าแล้วก็ตาม ก็จะไม่ทำให้ใครมาสนับสนุนเราเหมือนเดิม
กฎข้อที่ 15 กฎแห่งชัยชนะ
กฎแห่งชัยชนะ คือ ผู้นำจะหาทางให้ทีมชนะ ผู้นำที่ดีจะคิดออกว่าจะต้องทำอะไรเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
นี่คือวิธีคิดของผู้นำที่ยอมรับกฎแห่งชัยชนะ พวกเขามีความรับผิดชอบ สร้างสรรค์ และทุ่มประสบการณ์ และสิ่งที่เค้าทำได้ทั้งหมดในการก้าวไปสู่ความสำเร็จ มีทัศนคติที่ไม่ล้มเลิก และความล้มเหลวไม่ใช่ทางเลือก ผู้นำเหล่านี้มักจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ แม้ว่าความท้าทายจะยากก็ตาม ผู้นำที่ดีต้องรู้จักรับผิดชอบต่อความสำเร็จของทีม และทำในสิ่งที่ต้องทำเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ
กฏข้อที่ 16 กฏแห่งแรงส่งอันยิ่งใหญ่
แรงส่งคือเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้นำ เพราะแรงส่งเป็นสิ่งเดียวที่สร้างความแตกต่างระหว่างการแพ้ และการชนะ เมื่อเราไม่มีแรงส่ง แม้แต่งานที่ง่ายที่สุดก็ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ในทางกลับกันเมื่อเรามีแรงส่ง อนาคตก็ดูสดใส อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ และปัญหาก็ดูเหมือนไม่สำคัญสักเท่าไร เพราะเราจะมีความมั่นใจในหารผ่านมันไปได้เสมอ
กฏข้อนี้มักใช้เมื่อองค์กรเริ่มต้นใหม่ๆ ทุกอย่างเลยเป็นความท้าทาย และดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลามากในการทำอะไรให้สำเร็จ เมื่อเราเกิดแรงส่งมากขึ้นเรื่อยสิ่งที่ตามมาคือ แรงเฉื่อย ก็เหมือนกับเมื่อพูดถึงการเป็นผู้นำ องค์กรที่มีแรงผลักดันไปข้างหน้านั้นยากที่จะชะลอตัวลง ความท้าทายคือการแรงส่งนั้นตั้งแต่แรก และต้องมั่นใจด้วยว่าแรงส่งที่เราสร้างมานั้น มันส่งไปถูกทางจริงหรือเปล่า การสร้างแรงส่งต้องการคนที่มีวิสัยทัศน์ สามารถรวมทีมที่ดี และสร้างแรงจูงใจให้กับผู้อื่นได้ หากผู้นำกำลังมองหาใครสักคนมากระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้กับเขา แสดงว่าองค์กรกำลังมีปัญหา
กฏข้อที่ 17 กฏแห่งการจัดลำดับสิ่งสำคัญ
คำถามคือ สิ่งที่เรากทำมากมายในวันนี้ มันแสดงว่าเรามีประสิทธิผลหรือแค่ยุ่งอยู่? นี่คือหัวใจสำคัญของกฎแห่งการจัดลำดับความสำคัญ คือ ผู้นำเข้าใจว่าอะไรที่ไม่จำเป็นต่อความสำเร็จของเรา
แม็กซ์เวลล์บอกว่า เมื่อเรายุ่งเรามักจะเชื่อว่าเราประสบความสำเร็จ แต่ธุรกิจไม่เป็นอย่างนั้น การยุ่งก็ไม่ได้หมายความว่าผลิตผลจะเยอะตาม สิ่งที่ทำอาจจะไม่ใช่ส่ิงที่ทำให้เราใกล้ความสำเร็จ ซึ่งหมายถึงการจัดลำดับความสำคัญซึ่ง ผู้นำต้องคิดล่วงหน้าอย่างต่อเนื่องรู้ว่าอะไรสำคัญเพื่อดูว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์โดยรวมหรือไม่ และอย่างไร บางครั้งสิ่งที่สำคัญที่สุดในรายการลำดับความสำคัญนั้นก็อาจจะไม่สามารถทำได้ง่ายๆ
กุญแจสำคัญในการใช้ประโยชน์จากกฎแห่งการจัดลำดับความสำคัญ ก็คือ หลักการ 80/20 อย่างที่เรารู้จักกันดี ซึ่งหมายถึงการให้เวลา 80% กับพนักงาน 20% แรกของเรา
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ มีส่วนในการจัดลำดับความสำคัญคือ 3R ประการ: Requirement, Return และ Reward สามสิ่งนี้ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่เราต้องทำเพราะคนอื่นไม่สามารถทำได้ มีใครบ้างที่เราสามารถมอบหมายงานนี้ให้ทำ และได้รับผลตอบแทนเท่าที่เราทำได้ และงานใดที่จะนำไปสู่ความพึงพอใจมากที่สุด? เพราะ ชีวิตสั้นเกินไปที่จะทำทุกอย่าง เมื่อเราจัดลำดับความสำคัญอย่างถูกต้องว่าเราใช้เวลาอย่างไร สิ่งนี้จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ตามที่ต้องการเสมอ เมื่อเราไม่จัดลำดับความสำคัญของเวลา เรามักจะมองย้อนกลับไปด้วยความสงสัยว่าเวบาทั้งหมดนั้น มันหายไปไหน
กฎข้อที่ 18 กฏแห่งการยินดีที่จะสละ
กฎแห่งการเสียสละทำให้เราเห็นถึงหัวใจของผู้นำ ผู้นำต้องยอมแพ้เพื่อขึ้นไป มีความเข้าใจผิดกันทั่วไปในหมู่คนที่ไม่ใช่ผู้นำว่าการเป็นผู้นำ ทั้งหมดเกี่ยวกับตำแหน่งสิทธิประโยชน์และอำนาจที่มาจากการเติบโตในองค์กร ชีวิตของผู้นำนั้นมันดูดีสำหรับคนภายนอก แต่ความจริงก็คือการเป็นผู้นำต้องมีความเสียสละ
ไม่มีความสำเร็จใดหากปราศจากการเสียสละ ทุกคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตต่างก็เสียสละเพื่อทำเช่นนั้น และ หัวใจของการเป็นผู้นำคือการทำให้ผู้อื่นนำหน้าตัวเราเอง ถ้ามันทำให้ได้ในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทีม หากเราใฝ่หาความเป็นผู้นำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเป็นที่ยอมรับ ในความเป็นจริงเราก็ไม่ได้เป็นผู้นำที่มีคุณภาพสักเท่าไร
กฏข้อที่ 19 กฏแห่งจังหวะเวลา
กฏข้อนี้บอกเราว่า การจะทำอะไรเมื่อไรนั้นสำคัญพอๆ กับอะไรที่ต้องทำ และที่ไหนที่เราต้องการจะไป
การกระทำผิดในเวลาที่ไม่ถูกต้องนำไปสู่หายนะ การกระทำที่ถูกต้องในเวลาที่ไม่ถูกต้องนำมาซึ่งการต่อต้านการกระทำผิดในเวลาที่ถูกต้องคือความผิดพลาด อย่างไรก็ตาม การกระทำที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสมส่งผลให้เกิดความสำเร็จ
ในขณะที่เราพัฒนาความสามารถในการเป็นผู้นำเราต้องก้าวไปไกลกว่าการรู้วิธีที่จะเป็นผู้นำ เราต้องเรียนรู้ที่จะแยกแยะให้ได้ด้วยว่า ถึงเวลาที่ควรทำเช่นนั้นเมื่อใด
กฏข้อที่ 20 กฏแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดด
สิ่งที่เราจะต้องทำ ไม่ใช่ทำแต่เพียงพัฒนาตัวเอง หรือผู้ติดตาม แต่เพื่อเพิ่มจำนวนผู้นำที่เป็นผู้นำที่ดีด้วย อธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าเราพัฒนาตัวเองเราจะสัมผัสได้ถึงความสำเร็จส่วนตัว หากเราพัฒนาทีมองค์กรของเราจะเติบโตได้ แต่ถ้าเราพัฒนาผู้นำองค์กรของเรา มันก็จะทำให้องค์กรของเราเติบโตได้อย่างมหาศาล
คำแนะนำที่เป็นประโยชน์บางประการสำหรับผู้นำระดับแนวหน้ารวมถึงการพัฒนาผู้คน 20% แรกที่อยู่รอบตัวเราแทนที่จะใช้เวลาของเราในการเล่นเพื่อไล่ตาม 20% ที่ต่ำที่สุด มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาจุดแข็งแทนที่จะไปโฟกัสที่จุดอ่อน และปฏิบัติต่อทุกคนแตกต่างกันตามความเหมาะสมของแต่ละคน แทนที่จะทำเหมือนว่าทุกคนต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกัน เราต้องพิจารณาว่าจะลงทุนเวลาให้มีประสิทธิผลมากที่สุดได้อย่างไร
สำหรับกฏข้อนี้นั้นยาก ต้องใช้เวลา และพลังงานมากในการทำ แต่เมื่อเราทำมันได้สำเร็จมันจะนำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่มหาศาลเช่นกัน ดังนั้น ผู้นำที่พัฒนา ให้เกิดผู้นำใหม่ขึ้น จะประสบกับผลลัพธ์แบบทวีคูณที่น่าทึ่งในองค์กร ซึ่งมันก็จะได้ผลเท่ากับวิธีอื่นที่ยุ่งยากมากกว่าเช่น การเพิ่มทรัพยากร การลดต้นทุนเพิ่มอัตรากำไร ปรับปรุงระบบ หรือ ทำอย่างอื่น ที่ให้ได้ผลมากๆ เทียบเท่ากัน
กฎข้อที่ 21 กฏแห่งมรดก
กฎสุดท้ายในหนังสือเล่มนี้คือ กฏแห่งมรดก คุณค่าที่ยั่งยืนของผู้นำวัดได้จากการสืบทอด วันหนึ่งเราทุกคนจะจากไป และสิ่งที่เหลืออยู่ของเราจะเป็นตัวอย่างให้กับคนที่มารับช่วงต่อได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเพื่อนำไปใช้ต่อไป พูดได้ว่า “ความสำเร็จเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง ความสำเร็จเกิดขึ้นเมื่อพวกเขามอบอำนาจให้ผู้ติดตามทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ความสำเร็จเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาพัฒนาผู้นำเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกับพวกเขา มรดกเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาวางตำแหน่งผู้นำเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยปราศจากพวกเขา” และนี่คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความเป็นผู้นำตลอดชีวิตจะต้องเผชิญ แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่จะมีความสำคัญในท้ายที่สุดเมื่อเราจากไป
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้อีกครั้งครับ ถ้าใครชอบฝากกด like เป็นกำลังใจให้กัน หรือกด share ให้คนใกล้ตัวได้อ่านถ้าคิดว่ามีประโยชน์ หรือ comment พูดคุยกันได้ครับ ยินดีครับ
วันนี้ผมไปก่อน สวัสดีครับ
Sherlock B.
Facebook Page & Blockdit : Sherlock B.
โฆษณา