Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เสียบสามเหลี่ยม
•
ติดตาม
3 มี.ค. 2021 เวลา 11:05 • กีฬา
หากถามว่านักเตะคนไหน คือการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในยุคที่มี เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือ เชื่อว่าหลายๆ คนคงตอบว่าเป็นการทุ่มซื้อ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มาจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ เมื่อเดือนมกราคม 2018
ฟาน ไดค์ เข้ามาแก้จุดอ่อนในแนวรับทีมหงส์แดงได้อย่างหมดจด เขาถูกยกย่องว่าเป็นเซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน ทำให้ ลิเวอร์พูล ยกระดับกลายเป็นทีมที่พร้อมลุ้นแชมป์ทุกรายการตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ตราบใดที่ยังมีเขาปักหลักคุมแนวรับ
การที่ปราการหลังทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาวในเดือนตุลาคม 2020 กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลงานของทีมในพรีเมียร์ลีกตกจากมาตรฐานเดิม จนหมดลุ้นป้องกันแชมป์ไปอย่างรวดเร็ว
2
อย่างไรก็ตาม ก่อนการย้ายมาร่วมทีมของ ฟาน ไดค์ ว่ากันว่า ลิเวอร์พูล ไม่สามารถหาใครมาทดแทนอดีตปราการหลังกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซามี่ ฮูเปีย เป็นเวลานานถึงเกือบทศวรรษ
ฮูเปีย ถูกยกย่องว่าเป็นการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่ามากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก เขาย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์ด้วยค่าตัวแค่ 2.6 ล้านปอนด์ ในฐานะกองหลังโนเนม แต่หลังจากเวลาผ่านไป 1 ทศวรรษ เขากลายเป็นหนึ่งในเซนเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดเท่าที่ทีมหงส์แดงเคยมี
ซามี่ ฮูเปีย เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 1973 ที่ปอร์วู เมืองโบราณเก่าแก่ของประเทศฟินแลนด์
เขาคือลูกชายของคู่สามีภรรยาซึ่งต่างเป็นอดีตนักฟุตบอล โดยคุณพ่อ ยูโก้ ฮูเปีย เคยเป็นนักเตะของทีม ปัลโล เปย์ค็อต ส่วน อีร์ม่า ฮูเปีย ผู้เป็นแม่ เคยเป็นอดีตผู้รักษาประตูของทีมหญิงระดับสมัครเล่น
ในประเทศฟินแลนด์ กีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือฮอกกี้น้ำแข็ง แต่ด้วยอิทธิพลของพ่อแม่ ทำให้เด็กชายซามี่ ฮูเปีย เลือกมาเอาดีในกีฬาลูกหนังแทน
ซามี่ ฮูเปีย เริ่มต้นเส้นทางนักเตะเยาวชนด้วยการเข้าเป็นเด็กฝึกของสโมสร คูมู ตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ
ส่วนทีมแรกที่เขาเล่นฟุตบอลระดับทีมชุดใหญ่ คืออดีตต้นสังกัดของพ่ออย่าง ปัลโล เปย์ค็อต (มีชื่อย่อว่า ปาเป) ในปี 1989 ก่อนจะย้ายกลับไปเล่นให้ คูมู ระหว่างปี 1990-1991
ว่ากันว่าในวัยเด็ก ฮูเปียเล่นมาหมดแล้วทุกตำแหน่งในสนาม ยกเว้นแค่ปราการหลังตัวกลาง ที่เป็นตำแหน่งที่สร้างชื่อให้เขากลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา
1
ด้วยส่วนสูงถึง 193 เซนติเมตร ตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กจึงเหมาะสมกับพรสวรรค์ของเขามากที่สุด นั่นทำให้ช่วงที่เขาไปเล่นให้ ไมปา ระหว่างปี 1992-1995 เขาหันไปเอาดีกับการเล่นเซนเตอร์อย่างเต็มตัว
ซึ่งที่ ไมปา นั้นเอง ที่ทำให้เขาได้มีโอกาสร่วมทีมเดียวกับนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของฟินแลนด์อย่าง ยารี่ ลิตมาเน่น และช่วยกันพาทีมคว้าแชมป์ ฟินนิช คัพ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้ในปี 1992
ในปี 1995 ซามี่ ฮูเปีย ในวัย 22 ปีได้รับโอกาสไปทดสอบฝีเท้ากับทีมในพรีเมียร์ลีกอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ซึ่งมี เควิน คีแกน เป็นผู้จัดการทีมในตอนนั้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์
แต่คีแกนกลับมองไม่เห็นพรสวรรค์ของฮูเปีย และไม่คิดเซ็นสัญญาคว้าดาวเตะชาวฟินนิชรายนี้เข้าสู่ถิ่น เซนต์ เจมส์ พาร์ค เพราะเขายังเชื่อว่าเซนเตอร์ฮาล์ฟที่มีอยู่แล้วอย่าง สตีฟ ฮาววี่ย์, ฟิลิปป์ อัลแบร์ และ ดาร์เรน พีค็อก คือผู้เล่นที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะไม่ผ่านการทดสอบฝีเท้า แต่ ฮูเปีย เผยในภายหลังว่า ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 2 สัปดาห์นั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนของเส้นทางนักเตะอาชีพของเขาไปตลอดชีวิต
“แน่นอนว่านิวคาสเซิ่ลได้ช่วยเส้นทางอาชีพของผมไว้ ผมมีช่วงทดสอบฝีเท้า 2 สัปดาห์ในปี 1995 ภายใต้ เควิน คีแกน และมันทำให้ผมได้เข้าใจฟุตบอลอังกฤษอย่างลึกซึ้ง”
“ตอนนั้นผมเป็นนักเตะหนุ่มของฟินแลนด์ และไม่คาดคิดจริงๆ ว่ามันจะนำพาไปสู่สิ่งไหน ผมแค่ไปเพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น แต่มันคือประสบการณ์ที่ดี และผมสนุกกับช่วงเวลาของผมที่นั่น”
“มันช่วยผมได้เยอะมากที่ได้ไปเห็นสโมสรใหญ่ของอังกฤษกับตาตัวเอง และทำให้ผมมุ่งมั่นเสมอที่จะได้กลับไปที่นั่นอีกครั้ง”
1
ไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้ นิวคาสเซิ่ล มองข้าม ซามี่ ฮูเปีย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือเรื่องที่ส่งผลดีสุดๆ ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล มีวาสนาได้ตัวของดีราคาถูกไปใช้จนเป็นกองหลังระดับตำนาน
หลังจากถูกทีมสาลิกาดงปฏิเสธในปี 1995 ฮูเปีย ก็กลับไปเล่นให้ต้นสังกัดเดิมอย่าง ไมปา อีกครั้งด้วยความมุ่งมั่น ก่อนเป็นตัวหลักช่วยทีมคว้าแชมป์ ฟินนิช คัพ ได้อีกสมัยในช่วงปลายปีนั้น นั่นเปิดทางให้เขาได้ย้ายไปเล่นในลีกที่มาตรฐานสูงขึ้นอย่าง พรีเมียร์ ดัตช์ กับทีม วิลเล่ม ทเว
วิลเล่ม ทเว เป็นเพียงทีมเล็กๆ ในลีกสูงสุดของเนเธอร์แลนด์ นั่นจึงเป็นเรื่องยากไม่ใช่เล่น ที่ ฮูเปีย จะทำผลงานให้ทีมยักษ์ใหญ่ได้หันมาดูฟอร์มอีกครั้ง
แต่เซนเตอร์ร่างโย่งทีมชาติฟินแลนด์พยายามรักษามาตรฐานการเล่นให้ดีอยู่เสมอ เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่ง พรสวรรค์ของเขาจะเข้าตาใครสักคนที่คู่ควร
ฤดูกาลที่ ฮูเปีย โดดเด่นที่สุดในลีกแดนกังหันลม คือซีซั่น 1998-99 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่เล่นให้กับ วิลเล่ม ทเว จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร
ในช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เชราร์ อุลลิเย่ร์ กำลังมีปัญหาในเกมรับ พวกเขาโดนยิงไปถึง 49 ประตูในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1998-99 โดยมีไม่ต่ำกว่า 9 ทีมที่เสียประตูน้อยกว่าหงส์แดง
2
ชัดเจนว่านั่นไม่ใช่มาตรฐานที่ดีพอสำหรับทีมที่อยากจะพัฒนาขึ้นมาลุ้นแชมป์ อุลลิเย่ร์ จึงต้องการเสริมเซนเตอร์แบ็กคนใหม่ ที่จะเข้ามาเป็นตัวจริงแทนที่ ฟิล บ๊าบบ์ รวมไปถึง ริโกแบร์ ซง ที่ดึงตัวเข้ามาก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือน แต่ยังทำผลงานไม่น่าพอใจ
ลิเวอร์พูล เมื่อช่วงกว่า 2 ทศวรรษที่แล้ว ไม่ใช่สโมสรที่พร้อมจ่ายเงินค่าตัวมหาศาลเพื่อซื้อกองหลัง จึงพยายามมองหาความเป็นไปได้ ที่จะซื้อตัวเซนเตอร์แบ็กโนเนมแต่ฝีเท้าดีเข้ามาร่วมทีม
1
พวกเขาส่งแมวมองกระจายออกไปทั่วยุโรป แต่ยังไม่พบปราการหลังตัวกลางที่ถูกสเปกซะที ทำให้เรื่องนี้ไปเข้าหูช่างภาพรายหนึ่ง ที่เดินทางไปพบ ปีเตอร์ โรบินสัน อดีตรองประธานบริหารระดับสูงของทีมหงส์แดง เพื่อแนะนำว่า ซามี่ ฮูเปีย คือคนที่สโมสรต้องการ
1
ปีเตอร์ โรบินสัน อดีตรองประธานบริหารระดับสูงของลิเวอร์พูล
ปีเตอร์ โรบินสัน เคยให้สัมภาษณ์เล่าถึงเบื้องหลังการคว้าตัว ฮูเปีย มาร่วมทีมไว้ว่า “ตอนนั้นเป็นช่วงกลางฤดูกาล 1998-99 มีคนมาเคาะประตูออฟฟิศผมที่แอนฟิลด์ และเป็นคนที่ผมไม่เคยพูดคุยด้วยมาก่อน”
“เขาเข้ามาและแนะนำตัวว่าเป็นตากล้องที่เดินทางมาแล้วทั่วยุโรป เขารู้ว่าเรากำลังมองหากองหลังที่แข็งแกร่ง และได้แนะนำให้เราไปจับตาดู ซามี่ ซึ่งเล่นอยู่กับ วิลเล่ม ทเว หนึ่งในทีมเล็กๆ ของลีกดัตช์ นั่นคือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด”
“ผมส่งข้อความบอกต่อไปยัง เชราร์ อุลลิเย่ร์ และในอีกไม่กี่เดือนถัดมา ทีมงานของเราเดินทางไปดูเขาเล่นที่ฮอลแลนด์อยู่หลายครั้ง”
3
“เรารู้ว่า ซันเดอร์แลนด์ ก็สนใจเขาด้วยเช่นกัน แต่คนของที่นั่นมองว่าด้วยขนาดสรีระของซามี่ เขาอาจจะวิ่งช้าเกินไปสำหรับการเล่นฟุตบอลในอังกฤษ”
“แต่นั่นไม่ใช่ความเห็นที่มาจากทีมงานเบื้องหลังของเรา ไม่ว่าจะเป็น รอน ยีตส์ (หัวหน้าแมวมอง) รวมไปถึง ฟิล ธอมป์สัน, ทอม ซอนเดอร์ส และ ปาทริซ แบร์กส์ (พวกมือขวาของ เชราร์ อุลลิเย่ร์)”
“ทุกคนต่างคิดตรงกันว่าเขาคือนักเตะที่เรากำลังมองหา และเมื่อ เชราร์ ยืนยันในเรื่องนั้น เราก็เริ่มเจรจาคว้าตัวเขาเข้าสู่แอนฟิลด์”
จากหนังสืออัตชีวประวัติของ ซามี่ ฮูเปีย เขาได้เล่าเหตุการณ์ที่เจ้าตัวได้ย้ายจาก วิลเล่ม ทเว ไปเล่นกับ ลิเวอร์พูล ไว้อย่างละเอียด
1
ความจริงก็คือ ลิเวอร์พูล ได้ส่งแมวมองไปจับตาดู ฮูเปีย ในลีกดัตช์ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมปี 1997 แล้ว โดยคนที่ทีมหงส์แดงส่งไปคือ รอน ยีตส์ อดีตเซนเตอร์แบ็กระดับตำนานของทีมช่วงปี 1961-1971 ที่กลับไปทำงานเป็นแมวมองให้สโมสรในเวลาต่อมา
1
ฮูเปีย เล่าว่า “เรามีเกมที่ไปเยือน สปาร์ต้า ร็อตเตอร์ดัม ผมจำได้ว่าเป็น รอน ยีตส์ ที่เดินทางมาดูฟอร์มผม เกมนั้นเราแพ้ 4-1 และผมไม่ได้เล่นดีนัก”
“ผมคิดว่าโอกาสคงจะหลุดลอยไปแล้ว พวกเขาคงได้เห็นผมแค่ครั้งเดียว และผมไม่ได้ทำให้เขาประทับใจ”
“แต่ 6 เดือนต่อมา พวกเขากลับมาดูผมอีกรอบ ฟอร์มการเล่นผมดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ผมเล่นได้คงเส้นคงวา และผมรู้ว่าในช่วงสุดสัปดาห์หลายๆ วีค พวกเขาจะมาดูผมอีก”
1
“ผมโทรหาเอเยนต์ชาวดัตช์ของผมหลังจบเกมแต่ละนัด เพื่อถามว่าพวกแมวมองพูดว่าไงบ้าง เขาบอกว่าคนพวกนั้นจะกลับมาอีกครั้งในสัปดาห์หน้า”
2
“ผมคิดในใจว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากสำหรับผม และมันดูจะจริงจังมากขึ้น ตอนที่ เชราร์ อุลลิเย่ร์ เดินทางมาด้วยตัวเอง ผมได้พบเขาหลังจบเกม และเขาอธิบายแผนของเขาให้ผมฟังนิดหน่อย”
อย่างที่บอกไปว่าในฤดูกาล 1998-99 คือซีซั่นที่ ซามี่ ฮูเปีย โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมากๆ กับ วิลเล่ม ทเว จนคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมสโมสรประจำซีซั่น
นั่นเป็นเพราะเขาคือกำลังสำคัญในแผงหลัง ช่วยให้ทีมทำอันดับไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ
3
หลังจากที่ทีมหงส์แดงส่งแมวมองไปดูฟอร์มของเซนเตอร์ร่างโย่งสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะทำสัญญากับ ฮูเปีย ในวันที่ 18 พฤษภาคมปี 1999 ซึ่งเป็นช่วงที่ลีกดัตช์ยังไม่ทันจะปิดฤดูกาลด้วยซ้ำ โดยมีค่าตัวในการย้ายทีมเพียง 2.6 ล้านปอนด์
ฮูเปีย เขียนเล่าช่วงเวลาที่ได้ย้ายไปลิเวอร์พูล ซึ่งคาบเกี่ยวกับช่วงเตรียมอำลา วิลเล่ม ทเว เอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติได้อย่างน่าสนใจ
“ตอนนั้นเหลืออีกแค่ 2 นัดจะจบฤดูกาล แฟนเก่าผมกำลังจะขึ้นเต้น และเรามีตั๋วที่จะเดินทางไปงานริเวอร์แดนซ์ด้วยกันที่ร็อตเตอร์ดัม”
1
“แต่วันนั้นผมได้รับโทรศัพท์ว่าให้เดินทางไปที่ลิเวอร์พูลเพื่อเซ็นสัญญา แน่นอนว่าเราไม่ไปงานริเวอร์แดนซ์ แต่เราบินตรงไปที่ลิเวอร์พูลแทน”
“ผมบินไปเซ็นสัญญา แล้วเดินทางกลับไปเล่นนัดรองสุดท้ายให้วิลเล่มในคืนวันเสาร์ เกมนั้นเรามีโอกาสที่จะการันตีอันดับ 2 ในลีก และจะได้โควตา แชมเปี้ยนส์ ลีก สำหรับทีมลีกดัตช์”
1
“พวกเราชนะ 3-0 นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับทีมเล็กๆ อย่าง วิลเล่ม ทเว วันนั้นมันสะเทือนอารมณ์มากๆ ไม่มีใครรู้เลยว่าผมกำลังจะย้ายออกไปแล้ว”
1
“จากนั้นเราได้เล่นนัดสุดท้ายในบ้านตัวเอง โค้ชบอกผมว่าเขาจะเปลี่ยนตัวผมออกในช่วงท้ายเกมเพื่ออำลาแฟนบอลและได้รับเสียงปรบมือ มันเป็นเกมเปิดบ้านเจอกับ ทเวนเต้”
2
นักเตะ วิลเล่ม ทเว ช่วยกันยก ซามี่ ฮูเปีย ในเกมสุดท้ายที่เขาลงเล่นให้ทีมเมื่อปี 1999
“เรากำลังนำอยู่ 1-0 และเข้าสู่นาทีที่ 87 ข้างสนามมีการชูป้ายเบอร์เสื้อผมขึ้นมา ทุกคนเดินเข้ามาหาผม และแบกผมออกจากสนาม แต่เพื่อนสนิทผมซึ่งเล่นตำแหน่งเดียวกันที่ลงไปแทน กลับทำให้เราแพ้เกมนั้น 1-2”
“ผมไม่มีวันลืมช่วงเวลาที่ได้เซ็นสัญญา ผมคือแฟนบอล ลิเวอร์พูล ตั้งแต่วัยรุ่น และมันคือความฝันที่เป็นจริง”
“ผมยังคงจำสิ่งที่ผมคิดในหัวตอนที่เซ็นสัญญาได้อยู่เลย ว่านี่มันแค่เริ่มต้น ผมต้องทำงานหนักเพื่อได้โอกาสลงสนาม”
“ด้วยความสัตย์จริง ถ้ามีใครบอกผมในตอนนั้นว่า “นายจะได้อยู่ที่นี่ไปอีก 10 ปี และจะได้ลงเล่นให้สโมสรเกือบๆ 500 นัด” ผมคงบอกเขาว่า “แกบ้าไปแล้ว” ”
ในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 นอกจาก เชราร์ อุลลิเย่ร์ จะได้ตัว ซามี่ ฮูเปีย เข้ามาเสริมแนวรับแล้ว เขายังเซ็นสัญญาคว้าตัว สเตฟาน อองโชซ์ ปราการหลังทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์มาจาก แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ด้วยค่าตัว 3.5 ล้านปอนด์อีกด้วย
1
ซามี่ ฮูเปีย ย้ายเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงซัมเมอร์ 1999 ร่วมกับ สเตฟาน อองโชซ์, เอริค ไมเยอร์, ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์, วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ และ ติตี้ กามาร่า
อองโชซ์ กับ ฮูเปีย ที่มีค่าตัวรวมกันแค่ 6 ล้านปอนด์เศษๆ กลายเป็นการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่ อุลลิเย่ร์ เคยคว้าตัวนักเตะใหม่ในช่วงที่เขาเป็นนายใหญ่แห่งถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อ 2 คนนี้กลายเป็นเซนเตอร์แบ็กคู่บารมีของกุนซือชาวฝรั่งเศส ที่พาทีมประสบความสำเร็จได้อย่างล้นหลาม
ฤดูกาล 2000-01 ลิเวอร์พูล ได้สร้างปรากฏการณ์คว้าแชมป์บอลถ้วยทุกรายการที่ลงแข่ง โดยกวาดโทรฟี่ทั้ง ลีก คัพ, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า คัพ ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกก็น่าพอใจ เมื่อเข้าป้ายอันดับ 3 มีคะแนนห่างจากรองแชมป์อย่าง อาร์เซน่อล แค่แต้มเดียว
1
ในช่วงซีซั่นดังกล่าว ฮูเปีย มีบทบาทสำคัญและได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมหลายๆ นัด จากการที่ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ มักเจออาการบาดเจ็บจนต้องพักยาว
การที่ ฮูเปีย คือกองหลังที่ทำผลงานได้ในระดับสูงอยู่เสมอ และไม่เคยเจอช่วงเวลาบาดเจ็บยาวเลยสักครั้งตอนอยู่ในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง ทำให้ เชราร์ อุลลิเย่ร์ แต่งตั้งเขาให้เป็นกัปตันทีมตัวจริงของสโมสรอย่างเต็มตัวในปี 2002
อย่างไรก็ตาม การที่กองกลางลูกหม้อของทีมอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่กำลังหนุ่มแน่น พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาเป็นมิดฟิลด์ระดับแถวหน้าของอังกฤษ ทำให้ในเดือนตุลาคมปี 2003 อุลลิเย่ร์ เลือกที่จะให้ เจอร์ราร์ด เป็นกัปตันทีมถาวรของ ลิเวอร์พูล แทน
ปกติแล้ว การโดนริบปลอกแขนกัปตันมักทำให้นักเตะรู้สึกว่าถูกลดคุณค่า แต่ ซามี่ ฮูเปีย ไม่เป็นแบบนั้น เขามองผลประโยชน์ระยะยาวของสโมสรเป็นหลัก และสนับสนุนเต็มที่ให้ สตีวี่ จี เป็นกัปตันทีมตัวจริงแทนตัวเขาเอง
ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจเปลี่ยนกุนซือจาก เชราร์ อุลลิเย่ร์ มาเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ คู่เซนเตอร์ที่เล่นร่วมกับ ฮูเปีย มานานอย่าง สเตฟาน อองโชซ์ ถูกกุนซือชาวสแปนิชตัดออกจากแผนการทำทีม
2
ในขณะที่ อองโชซ์ ไม่ถูกส่งลงสนามในฤดูกาล 2004-05 ก่อนโดนปล่อยให้ กลาสโกว์ เซลติก แบบฟรีๆ ในเดือนมกราคม แต่ ฮูเปีย ยังคงได้เป็นกำลังสำคัญของ “เอล ราฟา” ต่อไปยาวๆ
เบนิเตซ เลือกที่จะขยับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ จากตำแหน่งฟูลแบ็ก เข้าไปเล่นเซนเตอร์คู่กับปราการหลังทีมชาติฟินแลนด์แทน ก่อนที่ “ฮูเปีย-คาร์ราเกอร์” จะกลายเป็นอีกหนึ่งคู่เซนเตอร์ที่ดีที่สุด ในหน้าประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล
1
ฮูเปีย ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปได้ในปี 2005
ซามี่ ฮูเปีย กับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ คือคู่หูเซนเตอร์แบ็กที่ช่วยกันทำให้หงส์แดงได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ตามด้วย ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ในปี 2005 รวมถึงจับคู่กันพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้ในปี 2006
1
ฤดูกาล 2008-09 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายของ ฮูเปีย ในถิ่นแอนฟิลด์ เขาช่วยให้ทีมหงส์แดงลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้อย่างสูสี โดยจบฤดูกาลด้วยการตามหลังทีมปีศาจแดงแค่ 4 แต้มเท่านั้น
อันที่จริง ระหว่างฤดูกาลดังกล่าว ลิเวอร์พูล ได้พยายามที่จะมอบสัญญาพ่วงตำแหน่งโค้ชให้กับ ฮูเปีย อยู่กับทีมต่ออีก 2 ปี
แต่ตัวนักเตะที่อายุกำลังจะครบ 36 ปี รู้ดีว่าเขาแก่เกินกว่าจะลงสนามให้สโมสรได้บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่อยากรีบรับงานโค้ช ทำให้เขาเลือกย้ายไปซบ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แทน โดยทำสัญญากับทีมห้างขายยาล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2009
ซามี่ ฮูเปีย ลงสนามนัดสุดท้ายให้ ลิเวอร์พูล ในเกมนัดปิดฤดูกาล 2008-09 ที่ชนะ สเปอร์ส 3-1 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน สตีเว่น เจอร์ราร์ด
ฮูเปีย ลงสนามให้ ลิเวอร์พูล เป็นนัดสุดท้าย ในเกมพรีเมียร์ลีกที่เปิดรังแอนฟิลด์เอาชนะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 3-1
เกมนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ ส่งเขาลงเป็นตัวสำรองแทน สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในนาทีที่ 84 เพื่อที่เขาจะได้อยู่ในสนามจนถึงผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกมด้วยการมีปลอกแขนกัปตันทีมติดตัว
หลังจบเกมนัดนั้น บรรดานักเตะหงส์แดงช่วยกันแบกตำนานชาวฟินแลนด์ขึ้นบ่า เพื่อรับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากบรรดา เดอะ ค็อป ทั่วสนาม จนทำให้ตำนานกองหลังเจ้าของเสื้อเบอร์ 4 รายนี้หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาแบบกลั้นไว้ไม่อยู่ และทำให้แฟนบอลรู้สึกซาบซึ้งและใจหายไปด้วย
สถิติที่การันตีความแข็งแกร่งในการเล่นเกมรับของ ฮูเปีย นั่นก็คือจากทั้งหมด 10 ฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล มีเขาเป็นปราการหลังตัวกลาง มีถึง 6 ซีซั่นที่พวกเขาเสียประตูในพรีเมียร์ลีกไม่เกิน 30 ลูก
1
นั่นทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเซนเตอร์แบ็กชาวต่างชาติที่ดีที่สุดตลอดกาล เท่าที่วงการฟุตบอลลีกสูงสุดอังกฤษเคยมี
1
ซามี่ ฮูเปีย ลงสนามให้ ลิเวอร์พูล ทั้งหมด 464 นัดรวมทุกรายการ ทำได้ 35 ประตู และคว้าแชมป์ร่วมกับทีมทั้งหมด 10 โทรฟี่
ปี 2001 คือปีที่ ฮูเปีย (เบอร์ 12) คว้าแชมป์ร่วมกับลิเวอร์พูลมากที่สุด
แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005, ยูฟ่า คัพ ปี 2001, เอฟเอ คัพ 2 สมัย, ลีก คัพ 2 ครั้ง, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 2 หน และซิวโล่ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ อีก 2 ครั้ง
ถือว่าขาดไปแค่แชมป์พรีเมียร์ลีกเท่านั้น ความสำเร็จในถิ่นแอนฟิลด์ของ ฮูเปีย ก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
แต่ถ้าดูจากการย้ายเข้าสู่ทีมหงส์แดงด้วยค่าตัว 2.6 ล้านปอนด์ แบบที่แทบไม่มีใครรู้จักในปี 1999 ก่อนกลายเป็นตำนานปราการหลังที่แฟนบอลทุกคนรักภายในช่วงเวลา 10 ปีถัดมา
เราจึงบอกได้อย่างเต็มปากว่า ซามี่ ฮูเปีย คือหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล
#เสียบสามเหลี่ยม #ฮูเปีย #ซามี่ฮูเปีย #ลิเวอร์พูล #หงส์แดง #อุลลิเย่ร์ #เบนิเตซ #พรีเมียร์ลีก #แชมเปี้ยนส์ลีก #UCL #ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก #ตำนานนักเตะ
5 บันทึก
33
1
5
33
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย