4 มี.ค. 2021 เวลา 05:09 • กีฬา
วันหนึ่งมีนักข่าวไปถามเอริค คันโตน่าหลังแขวนสตั๊ดว่า "ช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคือตอนไหน" คันโตน่าตอบกลับว่า "ความทรงจำที่ดีที่สุดของผม คือตอนกระโดดถีบไอ้เวรฮูลิแกนน่ะสิ"
5
สิ่งที่คันโตน่าพูดถึง คือช็อตที่เขากระโดดถีบกังฟูคิก ใส่แมทธิว ซิมมอนส์ แฟนบอลของคริสตัล พาเลซ ที่เซลเฮิร์ส พาร์ก ในวันที่ 25 มกราคม 1995 ซึ่งนี่คือเหตุการณ์ที่สร้างความตื่นตะลึงที่สุด และไม่มีใครจินตนาการได้ว่ามันจะเกิดขึ้น
นักเตะที่มีค่าเหนื่อยมหาศาลกระโดดถีบแฟนบอลที่ยืนบนอัฒจันทร์ มันเป็นภาพที่เหลือเชื่อมาก ปกติเราเห็นแฟนบอลตีกันเอง หรือไม่ก็นักเตะอัดกันในสนาม แต่การข้ามแพลตฟอร์ม นักเตะกระทืบแฟนบอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะเป็นข่าวที่ใหญ่โตมากๆ ในเวลานั้น
2
จุดเริ่มต้นของเรื่อง ต้องย้อนกลับไปในซีซั่น 1994-95 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แชมป์ลีกสองสมัย กำลังอยู่ในสถานการณ์กดดัน เพราะมีแต้มตามหลังจ่าฝูงแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 2 แต้ม ถ้าพวกเขาอยากจะแซงกลับไปเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง ก็ต้องบุกไปเอาชนะคริสตัล พาเลซ ที่เซลเฮิร์ส พาร์กให้ได้
พาเลซอยู่อันดับ 16 ของตาราง พวกเขากำลังหนีตายอยู่ ซึ่งบรรดาทีมเล็กๆ ถ้าอยากจะแบ่งแต้มจากทีมใหญ่ให้ได้ วิธีเดียวคือต้องเล่นหนักๆ และก่อกวนคีย์แมนของคู่แข่งให้ได้มากที่สุด ดังนั้นอลัน สมิธ ผู้จัดการทีมพาเลซ จึงสั่งให้นักเตะไล่หวดคันโตน่าเอาให้หงุดหงิดไปเลย
เซ็นเตอร์แบ็ก ริชาร์ด ชอว์ ไล่หวดคันโตน่าตลอดครึ่งแรก แต่ไม่โดนใบเหลืองเลย จากนั้นพอเข้าครึ่งหลัง ชอว์ยังเล่นแบบเดิม พอมาถึงนาทีที่ 49 คันโตน่าก็น็อตหลุดหวดชอว์เปรี้ยงลงไปกองกับพื้น ผู้ตัดสินอลัน วิลกี้ เห็นเหตุการณ์ชัดเจนมาก เดินมาไล่คันโตน่าออกจากสนามทันที
1
คันโตน่าก็ยอมรับความจริง เมื่อโดนใบแดงก็ค่อยๆเดินออกจากสนาม เพื่อเข้าอุโมงค์ไปยังห้องแต่งตัว แต่ทันใดนั้น มีแฟนบอลพาเลซคนหนึ่งชื่อ แมทธิว ซิมม่อนส์ วิ่งลงมาจากที่นั่งตัวเอง มาอยู่ที่แถวหน้าสุดของสแตนด์และไล่ตะโกนด่าคันโตน่าอย่างดุเดือด
1
ซิมม่อนส์ตะโกนว่า "ไสหัวกลับฝรั่งเศสไปซะไอ้แม่เย็ด" ขณะที่เน็ด เคลลี่ ฝ่ายรักษาความปลอดภัยในวันนั้นได้ยินอีกประโยคจากซิมม่อนส์ที่ด่าคันโตน่าว่า "ไอ้ลูกกะหรี่ฝรั่งเศส"
2
แน่นอน คันโตน่าแค่โดนใบแดงก็น่าจะหงุดหงิดพออยู่แล้ว ยิ่งมาเจอด่าแม่แบบนี้อีก เขาก็ไม่ยั้งตัวเองอีกต่อไป คันโตน่าวิ่งเข้าใส่ฝูงชนแล้วกระโดดถีบกังฟูคิก ใส่ซิมม่อนส์ไปเต็มดอก
1
คนที่นั่งอยู่ที่สแตนด์อ้าปากค้างด้วยความตะลึง ปกติเราเห็นแฟนบอลชอบ Trash Talk ใส่นักบอลบ่อยๆ แต่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ที่นักบอลเอาคืนด้วยการกระโดดถีบแบบนี้
5
เมื่อคันโตน่ากระโดดถีบแล้ว นักเตะแมนฯยูไนเต็ดทั้งทีม ยกเว้นแกรี่ พัลลิสเตอร์ ที่ยืนงงด้วยความช็อก ทุกคนรีบเข้ามาระงับเหตุ ส่วนปีเตอร์ ชไมเคิล รีบพาคันโตน่าเข้าห้องแต่งตัวทันที ท่ามกลางเสียงโห่ดังกึกก้องจากแฟนๆในสนาม
1
คันโตน่ากลับเข้าห้องแต่งตัว นั่งอยู่ที่มุมของตัวเองอย่างเงียบๆ เขาไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาจะนั่งรอให้เกมการแข่งขันจบอยู่ที่นี่ สโมสรจะมีบทลงโทษอะไรก็แล้วแต่เลยละกัน
1
เหตุการณ์ในสนามต่อจากนั้น แมนฯยูไนเต็ดตอนแรกนำ 1-0 แต่พอคันโตน่าโดนไล่ออก ก็เล่นด้วยความเสียเปรียบ ก่อนโดนตีเสมอ 1-1 แล้วเกมก็จบลงไปที่สกอร์นี้
2
หลังจบเกม อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเดินเข้ามาที่ห้องแต่งตัว เขาบอกคันโตน่าว่า "เอริค ฉันผิดหวังในตัวนายนะ นายทำแบบนั้นไม่ได้" ตามปกติเฟอร์กูสันไม่เคยต่อว่าคันโตน่า เพราะนี่คือนักเตะที่เขาให้เกียรติมากที่สุด แต่เหตุการณ์คราวนี้มันรุนแรงจริงๆ จะไม่ตำหนิเลยก็เป็นไปไม่ได้
2
ในเหตุการณ์นี้ ความรู้สึกของแฟนบอลส่วนหนึ่งบอกว่า ซิมม่อนส์โดนถีบน่ะสมควรแล้ว เพราะคุณจะไปด่าพ่อล่อแม่คนอื่นแบบนั้นได้ไง หลายคนยกย่องคันโตน่าว่าเป็นฮีโร่ สั่งสอนคนปากเสียไปสักหนึ่งดอก
5
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคนชอบใจ แต่เสียงของแฟนบอลอีกครึ่งหนึ่งของประเทศ ก็มองว่าคันโตน่าผิดเต็มๆ เพราะแฟนบอลนั้นก็ Trash Talk กันทั้งนั้นแหละ มันเป็นหน้าที่ของนักเตะต่างหาก ที่ต้องยับยั้งชั่งใจให้ได้ ไม่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำแบบนี้
3
ขณะที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษ และพรีเมียร์ลีก ก็ผิดหวังกับเหตุการณ์นี้มาก เพราะ ณ เวลานั้น พรีเมียร์ลีกเพิ่งจะก่อตั้งลีกได้แค่ 3 ปี กำลังอยู่ในช่วงตั้งไข่ ดังนั้นจำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อที่จะเอาไปขายให้กับตลาดโลกได้ ซึ่งการถีบของคันโตน่า ไม่ช่วยในเรื่องภาพลักษณ์ที่ดีเลยสักนิด
1
ดังนั้นประเด็นของการถีบกังฟูคิกของคันโตน่า ดราม่าจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่สนามเซลเฮิร์ส พาร์กในวันนั้น แต่อยู่ที่เรื่องราวต่อจากนั้นต่างหาก
1
เดอะ ซัน แทบลอยด์ชื่อดัง ลงภาพหน้า 1 เป็นจังหวะกระโดดถีบ พร้อมพาดหัวว่า "ความน่าอับอายของคันโตน่า" ติดตามเรื่องทั้งหมดด้านใน ในหน้า 2, 3, 4, 5, 6, 22, 43, 44, 45, 46, 47 & 48 คิดดูว่าเรื่องของคันโตน่า ใช้พื้นที่ ถึง 13 หน้า บนหนังสือพิมพ์ แสดงให้เห็นว่าข่าวนี้มันใหญ่ขนาดไหนในอังกฤษ
2
หลังจากเกิดเหตุ 1 เดือน สมาคมฟุตบอลอังกฤษเรียกคันโตน่ามาไต่สวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1995 เพื่อหาข้อสรุปว่าจะลงโทษคันโตน่ายาวนานแค่ไหน โดยการไต่สวนมีขึ้นที่ห้องประชุมในโรงแรมเซนต์อัลบานส์
2
คันโตน่าให้การกับเจฟฟ์ ธอมป์สัน ผู้บริหารของเอฟเอโดยกล่าวว่า "ผมขอโทษประธานสโมสร ขอโทษแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขอโทษเมาริซ วัตกิ้นส์ ขอโทษอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ขอโทษเพื่อนร่วมทีม ขอโทษสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และ ขอโทษโสเภณี ที่นอนบนเตียงผมเมื่อคืนด้วย"
3
เป็นคำพูดที่ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าคันโตน่าคิดอะไรอยู่ เขาเสียใจจริงๆหรือเปล่า หรืออยากจะบอกอะไรกันแน่ แต่บทสรุปสุดท้าย สมาคมเลยสั่งแบนคันโตน่า 8 เดือน พร้อมปรับเงิน 1 หมื่นปอนด์
1
คือตัวเงินน่ะไม่เท่าไหร่ แต่โทษแบนถือว่าหนักหนาสาหัสมาก เพราะคันโตน่าไม่สามารถช่วยทีมได้จนจบฤดูกาล 1994-95 รวมถึงอีกครึ่งทางของฤดูกาล 1995-96 ด้วย
1
การไม่มีคันโตน่า ทำให้แมนฯยูไนเต็ด เสียแชมป์ลีกให้แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในซีซั่น 1994-95 ด้วยแต้มน้อยกว่าในตารางแค่ 1 แต้มเท่านั้น หลายๆคนก็เชื่อว่า ถ้ามีคันโตน่า ช่องว่างแค่ 1 แต้ม แค่นี้ แมนฯยูไนเต็ด ไม่มีทางพลาดแน่นอน
นอกจากโทษแบนเกี่ยวกับฟุตบอลแล้ว คันโตน่ายังต้องโดนสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีทำร้ายร่างกายอีกด้วย ซึ่งบทสรุปคือเขาต้องโทษจำคุก 2 เดือน แต่ด้วยการไม่เคยทำความผิดมาก่อน โทษจึงลดเป็นการทำงานบริการเพื่อชุมชนจำนวน 120 ชั่วโมงแทน
1
31 มีนาคม 1995 ในวันที่ตำรวจประกาศบทลงโทษ นักข่าวนับร้อยไปรุมถามความรู้สึกของคันโตน่า ซึ่งเจ้าตัวพูดว่า
1
"เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง นั่นเพราะพวกมันคิดว่าชาวประมงจะโยนปลาซาร์ดีนลงไปในทะเล ขอบคุณมาก" แล้วก็เดินออกจากการสัมภาษณ์ไปเลย ซึ่งถึงวันนี้ นี่เป็นประโยคคลาสสิคสุดมึนตลอดกาล เพราะไม่มีใครเข้าใจความหมายจริงๆ ว่าคันโตน่าอยากจะบอกอะไรกันแน่
5
พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1994-95 จบลง คันโตน่าไม่ได้เล่นฟุตบอลมาหลายเดือนแล้ว แต่เขาก็พยายามมองโลกในแง่ดี และเตรียมฟิตร่างกายเพื่อลงแข่งในซีซั่นใหม่ พยายามลืมทุกอย่างไว้เบื้องหลัง โดนแบนแล้วก็แบนไป ช่างมัน โดยในช่วงปรีซีซั่นก่อนลุยซีซั่น 1995-96 แมนฯยูไนเต็ด มีโปรแกรมอุ่นเครื่อง กับโอลด์แฮม, โรชเดล และบิวรี่ คันโตน่าพร้อมลงเล่นทั้งสามแมตช์นี้ เพราะเขาก็คิดถึงการลงเล่นมากจริงๆ
2
แต่ปรากฏว่า คันโตน่าไม่ได้ลงเล่น สาเหตุเพราะเอฟเอ ออกคำสั่งมาว่า แม้แต่เกมอุ่นเครื่องก็รวมอยู่ในโทษแบนด้วย ซึ่งเรื่องนี้มันทำให้คันโตน่าโมโหมาก เหมือนเอฟเอจงใจจะเล่นงานเขา เจ้าตัวเลยบินกลับฝรั่งเศสทันที และปิดการติดต่อทุกช่องทาง
3
ในช่วงนั้นเอง อินเตอร์ มิลาน ทีมใหญ่ในอิตาลี ประกาศว่ายินดีจะรับคันโตน่ามาใช้งานต่อ โดยพร้อมจ่ายค่าตัวมหาศาลให้ทีมปีศาจแดง ซึ่งนี่เป็นอะไรที่ลงตัวมากสำหรับคันโตน่า เพราะถ้าย้ายลีก เขาก็จะไม่โดนแบน สามารถลงเล่นได้ทันที เจ้าตัวไม่เห็นมีความจำเป็นอะไร ต้องอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่อ
ขณะที่ผู้บริหารแมนฯ ยูไนเต็ด ก็พร้อมขายเหมือนกัน ลองคิดดูว่านอกจากจะได้เงินก้อนโตแล้ว ยังกำจัดคนที่สร้างภาพลักษณ์เสื่อมเสียไปได้ มันแสดงให้เห็นว่าสโมสร take action และไม่ยอมรับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสนาม
2
นักเตะอยากย้าย ผู้บริหารอยากขาย ดีลก็น่าจะจบง่ายๆ แต่ทว่า มีอยู่หนึ่งคนที่ไม่ยอมให้ดีลนี้เกิดขึ้น นั่นคืออเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
เฟอร์กูสัน เพิ่งปล่อยตัว 3 นักเตะซีเนียร์จากทีม คืออันเดร แคนเชลสกี้, พอล อินซ์ และ มาร์ก ฮิวจ์ส เขาต้องการสร้างทีมสายเลือดใหม่ โดยพร้อมดันดาวรุ่งจากคลาส ออฟ 92 อย่างพวก เบ็คแฮม, พี่น้องเนวิลล์, บัตต์ และ สโคลส์ ให้ได้รับโอกาสมากขึ้นในซีซั่นต่อไป อย่างไรก็ตาม เขาเชื่อว่าเด็กเหล่านี้จำเป็นต้องมี นักเตะซีเนียร์ให้เป็น role model และไม่มีใครที่พวกเด็กๆ จะศรัทธามากไปกว่าคันโตน่า
แต่ปัญหาคือ เขาจะทำอย่างไรล่ะจะรั้งคันโตน่าให้อยู่ต่อไปได้ ในเมื่อทั้งสโมสร และตัวนักเตะเองก็เห็นตรงกัน ว่าการย้ายไปอินเตอร์คือคำตอบที่ดีที่สุด
3
ขั้นแรกเฟอร์กูสันต้องเกลี้ยกล่อมสโมสรก่อน โดยเฟอร์กี้บอกกับมาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ ประธานสโมสร ว่าเขายอมปล่อยคันโตน่าไปแบบนี้ไม่ได้
จากนั้นเฟอร์กูสันไปล็อบบี้นักเตะในทีม ให้แสดงจุดยืนปกป้องคันโตน่า เขากล่าวในการประชุมทีมว่า "พวกแกลองคิดดูนะ ว่าก็องโต้ทำเพื่อทีมมากขนาดไหน ถ้าในยามลำบากแบบนี้ เราทอดทิ้งเพื่อน มันแปลว่า เราไม่ใช่เพื่อนกันอย่างแท้จริง พวกแกทุกคนก็เหมือนกัน ถ้าหากมีปัญหาอะไร ฉันสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งให้ต้องเจอปัญหาคนเดียว แต่ตอนนี้ฉันขอนะ ถ้าหากมีสื่อไหนมาสัมภาษณ์เกี่ยวกับคันโตน่า พวกแกห้ามพูดอะไรทั้งนั้น ฉันขอแค่นี้ หวังว่าจะทำกันได้"
2
เมื่อห้องแต่งตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บอร์ดบริหารก็ลังเลใจมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ถ้าจะทำให้นักเตะในทีมทั้งหมดไม่แฮปปี้
1
ในมุมของสื่อมวลชนนั้น ก็เริ่มมีการขุดคุ้ยประวัติของตัวคนที่โดนคันโตน่าถีบ แล้วก็พบว่า แมทธิว ซิมม่อนส์ ก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไร ย้อนกลับไป 3 ปีก่อนจะโดนคันโตน่าถีบ เขาเคยติดคุกข้อหาพยายามปล้นร้านค้าในปั๊มน้ำมัน โดยเอาท่อนเหล็กฟาดไปที่แคชเชียร์จนกระดูกหัก จนต้องติดคุกมาแล้ว 1 รอบ พอพ้นโทษมาได้ไม่ทันไร ก็เข้าสนามมาด่าคันโตน่าแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เซลเฮิร์ส พาร์กในที่สุด
2
พอมีข่าวแบบนี้หลุดออกมา เสียงของประชาชนก็เลยเริ่มเข้าข้างคันโตน่ามากขึ้น โอเคล่ะ ว่าการทำร้ายแฟนบอลไม่ใช่เรื่องดี แต่คนที่โดนถีบ มันก็โจรดีๆนี่เอง ดังนั้นคันโตน่าก็ไม่สมควรจะโดนประณามอะไรขนาดนั้น
ยิ่งบวกกับช่วงที่คันโตน่าไปทำกิจกรรมเพื่อชุมชน 120 ชั่วโมง เขาใกล้ชิดแฟนบอลในแมนเชสเตอร์อย่างมาก จนแฟนบอลประทับใจ กลายเป็นว่ากระแสของกลุ่มแฟนๆ มองว่าเก็บคันโตน่าเอาไว้ก็ได้นี่นา ไม่เห็นจะเป็นไรเลย
ย้อนอดีตช็อตบันลือโลก ลูกถีบกังฟูของ เอริค คันโตน่า เบื้องหลังเบื้องลึกอย่างไร โพสต์เดียวเข้าใจประวัติศาสตร์เลย
1
จากหลายๆเหตุผล ทำให้สโมสรเลยโอนอ่อนลง และยอมไม่ขายคันโตน่าก็ได้ ถ้าตัวนักเตะอยากอยู่ต่อจริงๆ
1
เมื่อสโมสรโอเคแล้ว คราวนี้งานที่ยากขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปของเฟอร์กี้ คือการโน้มน้าวคันโตน่า เพราะใครก็รู้ว่านี่คือนักเตะจอมอินดี้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องเล่นให้แมนฯยูต่อ คืออยู่กับทีมมาแค่ 3 ปี ก็ไม่ได้ผูกพันอะไรขนาดนั้น แค่ย้ายลีกก็จบ หนีโทษแบนได้แล้วสบายๆ
6
มาร์ติน เอ็ดเวิร์ดส์ สอบถามผ่านเอเยนต์ของคันโตน่า ก็ได้รับคำตอบว่า เจ้าตัวอยากย้ายไปอินเตอร์ มิลาน ซึ่งเอ็ดเวิร์ดส์ ก็ได้แจ้งเฟอร์กูสันว่า "เขาอยากย้ายทีม" ซึ่ง ณ จุดนั้น เฟอร์กูสันเองก็มืดแปดด้านเหมือนกัน เพราะดูเหมือนคันโตน่าจะตัดสินใจไปแล้ว ถ้านักเตะไม่มีใจ ยังไงก็ต้องขายอยู่ดี
1
แต่สุดท้ายเคธี่ ภรรยาของเฟอร์กูสัน ได้กระตุ้นว่า "คุณจะยอมแพ้ เพราะสโมสรบอกให้ยอมอย่างนั้นหรือ" นั่นทำให้เฟอร์กูสันคิดได้ เขาเลยบินไปที่ปารีส เพื่อคุยกับคันโตน่าแบบตัวต่อตัว
2
เฟอร์กูสันเกลี้ยกล่อมด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี พยายามบอกให้คันโตน่ารู้ว่าเขาสำคัญแค่ไหน และคีย์เวิร์ดที่สำคัญที่สุด เฟอร์กูสันบอกว่า ถ้าคันโตน่าอำลาทีมไปทั้งๆแบบนี้ ผู้คนจะจดจำคุณว่าอย่างไรล่ะ แอ็กชั่นสุดท้ายกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับเป็นจังหวะกระโดดถีบที่เซลเฮิร์ส พาร์กเนี่ยนะ ทำไมไม่อยู่ต่อ แล้วสร้างตำนานบทใหม่ ให้แฟนบอลได้จดจำในเรื่องอื่นๆแทน
6
สุดท้าย คันโตน่ายอมรับฟังสิ่งที่เฟอร์กูสันพูด เขายอมอยู่แมนฯยูไนเต็ดต่อไป และไม่ย้ายไปอินเตอร์ มิลาน
พอล ปาร์กเกอร์ แบ็กขวาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกล่าวว่า "ผมคิดว่าที่ไม่ย้ายไปอินเตอร์ มิลาน ไม่ใช่เพราะเขารักสโมสรหรอก แต่มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้จัดการทีมล้วนๆ"
1
คันโตน่าบินกลับมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และอดทนจนโทษแบนสิ้นสุดลง และเรื่องราวของเขากับทีมปีศาจแดงก็เดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่ง
หลังจากพ้นโทษแบนการโดดถีบ คันโตน่าลงเล่นอีกแค่ 2 ฤดูกาล (1995-96 และ 1996-97) และพาแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์ทั้ง 2 ปี ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดชนิดช็อกโลกด้วยวัยแค่ 30 ปีเท่านั้น
1
แต่ก็ถือว่าในสองปีนั้น เขาได้สร้างรากฐานบางอย่าง และแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำทีมที่ดี จนรุ่นน้องในทีมต่อยอดไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นอีกในอนาคต
สำหรับแฟนแมนฯ ยูไนเต็ด เวลาคิดถึงคันโตน่า ก็จะมีหลายช็อตให้พูดถึง ทั้งลูกถอยหลังยิงปลิดวิญญาณ ที่ซัดใส่ลิเวอร์พูลในนัดชิงเอฟเอคัพ 1996 หรือลูกชิพปีศาจ ที่ยิงใส่ซันเดอร์แลนด์ในปีเดียวกัน คนก็จำได้เยอะ
4
แต่ถ้าถามว่า เหตุการณ์ที่เป็น "ที่สุด" ที่สร้างสตอรี่ให้เขากลายเป็นตำนานยิ่งกว่าในสนาม ก็คงไม่มีอะไรเกินจังหวะกังฟูคิกใส่แมทธิว ซิมม่อนส์
1
ใช่ การทำร้ายร่างกายมันไม่ถูกอยู่แล้ว แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจดจำช็อตนี้ได้แม่นยำจริงๆ และแฟนบอลก็ยกให้คันโตน่าเป็น Cult Hero หรือฮีโร่สายดาร์กของสโมสร
1
หลังจากเหตุการณ์ผ่านมา 25 ปี ในปี 2020 นิตยสารโฟร์โฟร์ทู จับคันโตน่ามานั่งคุย โดยให้แฟนบอลทางบ้านส่งจดหมายมา มีคนถามว่า เขาคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงกระโดดถีบใส่แมทธิว ซิมม่อนส์แบบนั้น
1
คันโตน่าตอบว่า "ผมไม่สนใจว่าตัวเองต้องรับผิดชอบอะไรต่อสังคม ผมเป็นแค่นักฟุตบอล และมนุษย์คนหนึ่ง ผมไม่แคร์ว่าตัวเองจะต้องเป็นคนดี ผมจะทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ถ้าผมอยากจะเตะแฟนบอล ผมก็จะเตะ ผมไม่ใช่แบบอย่างที่ดีของใคร ผมไม่ใช่ครูสอนวิชาจริยธรรม ที่ต้องมาแนะนำคุณว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร"
5
ถามว่าคันโตน่าเสียใจไหมกับการกระทำวันนั้น เขาหยุดคิดอยู่นานแล้วตอบว่า
"ในวันนั้นผมคิดว่าตัวเองถีบไม่แรงพอ ผมน่าจะถีบมันให้แรงกว่านี้อีก!"
.
#Cantona
14
โฆษณา