Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The story of this planet
•
ติดตาม
13 มี.ค. 2021 เวลา 13:32 • ประวัติศาสตร์
จุดเริ่มต้นของมนุษย์ในตำนานกรีกโบราณ
หลังจากที่สงบศึกระหว่างไทแทนและอสูรแล้ว ซูสได้สั่งให้โปรมีธิอุสและเอปิมีธิอุสให้สร้างสัตว์โลกขึ้นมา
เอปิมีธิอุส สร้างสัตว์โลกนานาชนิดจากดินที่ผ่านการปั้นและร่ายคาถา
โปรมีธิอุส นำก้อนดินมาปั้นเป็นมนุษย์ และร่ายคาถาให้มนุษย์มีสติปัญญา มีความสามารถมากกว่าสัตว์ โปรมีธิอุสปั้นมนุษย์ให้มีลักษณะเหมือนเหล่าเทพแต่มีขนาดตัวที่เล็กกว่า
Prometheus Creating Man from Clay , 1845.
หลังจากที่สร้างสัตว์และมนุษย์แล้ว โปรมีธิอุสก็ได้นำเอาคบไปจ่อกับดวงอาทิตย์ให้คบติดไฟ แล้วนำคบเพลิงนั้นให้มนุษย์ ไฟจากคบเพลิงได้สร้างความร้อน แสงสว่าง และประโยชน์มากมายให้กับมนุษย์โลก
Heinrich Fuger, Prometheus Brings Fire to Mankind, 1817
ยุคแรกของมนุษย์เป็นยุคทองคำ มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นคนดี และโลกมีเพียงฤดูเดียว นั้นก็คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูกาลนี้ทำให้พืชพันธุ์ต่างๆที่ปลูกไว้ล้วนอุดมสมบูรณ์ไม่เหี่ยวเฉา เกิดผลผลิดทุกวัน
จนกระทั่งยุคเงิน มนุษย์มีจิตใจที่ชั่วช้า เริ่มอวดดีต่อเหล่าเทพเจ้า ซูสจึงได้เสกให้โลกมนุษย์มีฤดูฝน ร้อน และ หนาว เกิดขึ้น เพื่อให้มนุษย์ได้เจอกับความยากลำบาก มนุษย์จึงต้องอาศัยอยู่ในถ้ำเพื่อเป็นที่กำบังภาวะอากาศที่เลวร้าย และต้องทำการเพาะปลูกเองเพื่อให้มีอาหารเพียงพอต่อการยังชีพ
เมื่อมนุษย์เจอความยากลำบากในชีวิต มนุษย์ก็เริ่มละเลยการบวงสรวงเหล่าเทพเจ้า จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างเทพและมนุษย์ โปรมีธิอุสผู้ที่สร้างมนุษย์จึงได้ให้มนุษย์นำวัวมาถวายเป็นเครื่องบวงสรวงเทพเจ้า โดยให้แบ่งวัวออกเป็น 2 ส่วน เอาส่วนที่กินได้ห่อไว้ในหนังวัว แล้วคลุมด้วยพังผืดมองแล้วจะไม่น่ากิน อีกส่วนหนึ่งให้เอากระดูกมาคลุมทับด้วยส่วนที่คล้ายสัตว์มองดูแล้วจะน่ากิน โปรมีธิอุสจึงให้มนุษย์นำวัวสองส่วนนี้ไปให้ซูสเลือก ว่าอยากให้มนุษย์นำส่วนใดมาถวายเป็นเครื่องสังเวยบูชา ซูสจึงเลือกส่วนกระดูกที่ถูกห่อหุ้มด้วยส่วนที่คล้ายสัตว์เพราะซูสมองว่ามันน่ากินกว่า (บางตำราก็บอกว่าซูสนั้นรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ต้องการหาเรื่องลงโทษมนุษย์ที่อวดดี จึงเลือกส่วนนี้)
ด้วยเหตุนี้ชาวกรีกโบราณจึงเผากระดูกและมันเพื่อบวงสรวงเทพเจ้า แล้วเก็บส่วนเนื้อไว้กินเอง
ผลของการที่มนุษย์หลอกเทพซูสในครั้งนี้ ส่งผลให้ซูสยึดไฟของมนุษย์ที่ได้จากโปรมีธิอุสคืนสวรรค์ ก่อให้เกิดความยากลำบากอย่างมหาศาลต่อมนุษย์โลก โปรมีธิอุสเห็นเช่นนั้นเลยเกิดความสงสารมนุษย์ โปรมีธิอุสจึงขโมยไฟจากสวรรค์ลงมาให้มนุษย์ใช้อีกครั้ง
Prometheus Carrying Fire ผลงานของ Jan Caussiers
ซูสเมื่อรู้เรื่องจึงโกรธโปรมีธิอุสเป็นอย่างมาก จึงลงโทษโปรมีธิอุสโดยการล่ามโซ่โปรมีธิอุสไว้ที่ยอดเขาคอเคซัส เวลากลางวันจะให้พญาเหยี่ยว (บางตำราก็ว่าแร้ง) มากินตับโปรมีธิอุสตลอดวัน พอตกกลางคืนตับก็จะงอกขึ้นมาใหม่ วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ในอีก 30,000 ปีต่อมาเฮอร์คิวลิส จึงได้มาช่วยปลดปล่อยโปรมีธิอุส
Carl Bloch, Prometheus' befrielse, 1864
หลังจากซูสลงโทษโปรมีธิอุสแล้วก็ยังได้ลงโทษมนุษย์อีกด้วย โดยสั่งให้เหล่าเทพเสกสร้างมนุษย์ที่เป็นหญิงงามมาคนหนึ่ง ชื่อ "แพนโดร่า" ซึ่งมีความหมายว่า ของขวัญจากทวยเทพ และได้มอบหีบให้แพนโดร่าหนึ่งใบ โดยเหล่าเทพได้กำชับนางว่าห้ามเปิดหีบเป็นอันขาด
Pandora’s Box ผลงานของ Artiste inconnu
สาเหตุที่เหล่าเทพทำเช่นนี้เพราะเหล่าเทพรู้ดีว่าผู้หญิงจะมีความอยากรู้อยากเห็น ห้ามสิ่งใดเหมือนยิ่งยุสิ่งนั้น และเมื่อมอบหีบให้แพนโดร่าแล้ว ก็สั่งให้เฮอร์มีสพานางไปมอบให้กับโปรมีธิอุส
Zeus readies Pandora with Hermes in attendance, a painting by Josef Abel
และแล้วแพนโดร่าและโปรมีธิอุสก็กลายเป็นคู่รักกัน สร้างครอบครัว และมีบุตรธิดาด้วยกัน แต่ในที่สุดความอดทนอดกลั้นของแพนโดร่าก็หมดลง นางตัดสินใจเปิดหีบที่เทพได้ให้ไว้ ความชั่วร้ายส่วนหนึ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในหีบก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมา ความชั่วร้ายนั้นมีมากมาย เช่น โรคภัยไข้เจ็บ ความตาย ความเกลียดชัง ความแค้น ความอาฆาต ความดุร้าย ความหลอกลวง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ตัณหาราคะ ความชั่วร้ายเหล่านี้ได้โบยบินออกมาจากหีบไปในอากาศ นางแพนโดร่าตกใจมากจึงรีบปิดฝาหีบลง ทำให้สิ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ในหีบถูกเก็บไว้ในหีบต่อไป สิ่งนั้นคือ ความหวัง ซึ่งมันจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงจิตใจมนุษย์
John William Waterhouse, Pandora (1903)
เมื่อความชั่วร้ายโบยบินมาสู่มนุษย์ มันก็ได้สิงเข้าไปในตัวของมนุษย์ทันที ทำให้มนุษย์นั้นมีจิตใจที่ชั่วช้ากว่าครั้งก่อนๆ เหล่าเทพที่ปกปักรักษามนุษย์ต่างพากันเบื่อหน่าย และเลิกสนใจไยดีมนุษย์ ในที่สุดซูสก็ได้บันดาลฝนให้ตกหนัก และโพไซดอนก็ยกน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้น้ำท่วมโลก มนุษย์ดับสูญลง
แต่มีสามีภรรยาคู่หนึ่งหนีขึ้นไปบนยอดเขาพาร์นาซัส สามีที่หนีขึ้นมาบนเขา คือ ดิวเคเลียน (Deucalion) เป็นบุตรของโปรมีธิอุส ส่วนฝ่ายภรรยาคือ ไพราห์ (Pyrrha) เป็นธิดาของเอปิมีธิอุสผู้สร้างสัตว์โลกกับนางแพนโดร่า ทั้งคู่นั้นเป็นคนดี ซูสและโพไซดอนจึงไว้ชีวิตพวกเขา และทำให้น้ำทะเลที่สูงจนท่วมนั้นลดลงเป็นปกติ เมื่อน้ำกลับมาเป็นปกติทั้งคู่จึงลงมาจากยอดเขา และไปเสี่ยงทายที่วิหารเดลฟี ซึ่งทั้งคู่ได้รับคำแนะนำให้โยนก้อนหินไปข้างหลัง ทั้งคู่ก็ทำตาม ก้อนหินที่ฝ่ายสามีโยนกลับกลายเป็นมนุษย์ผู้ชาย ส่วนก้อนหินที่ฝ่ายภรรยาโยนก็กลายเป็นมนุษย์ผู้หญิง มนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้นมาอีกรอบ และหลังจากนั้นไม่นานสองสามีภรรยาก็ได้มีบุตรหนึ่งคน ชื่อ เฮลเลน ซึ่งต่อมาชื่อนี้ก็ได้กลายเป็นสรรพนามเรียกชนชาติกรีกโบราณทั้งหมด
Deucalion and Pyrrha ผลงานของ Giovanni Maria Bottala
ในที่สุดความสงบสุขบนโลกก็กลับมาอีกครั้ง เทพซูสขึ้นครองบัลลังก์เป็นผู้ปกครองเหล่าเทพ มีอำนาจในการปกครอง 3 ภพ คือ สวรรค์ โลกมนุษย์ และบาดาล แต่เทพซูสมีความกังวลว่าหากซูสปกครองเองทั้งสามภพอาจจะปกครองได้ไม่ทั่วถึง จึงได้จัดสรรแบ่งอำนาจให้เหล่าเทพได้ปกครอง โดยเทพซูสมีหน้าที่ปกครองสวรรค์ และโลกมนุษย์, โพไซดอน มีอำนาจปกครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และแม่น้ำทั้งปวง, เฮสเทีย เป็นเทวีแห่งไฟและความผาสุกในเคหสถาน, ดีมิเทอร์ เป็นเทวีแห่งธัญญาหาร, เฮดีส เป็นเจ้าปกครองขุมนรกทาร์ทะรัส และแดนบาดาลที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง
การกระจายอำนาจของซูสในครั้งนี้ทำให้ภพทั้ง 3 มีความสุข แต่ก็ยังมีความวุ่นวายอันเกิดจากนิสัยส่วนตัวของเทพแต่ละองค์ด้วย
เคล็ดเล็กน้อย
การทำลายมนุษย์ในตำนานกรีกโบราณที่มีการเสกน้ำให้ท่วมโลกมีความคล้ายคลึงกับตำนานน้ำท่วมโลกในพระคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าส่งน้ำมาล้างโลก เพราะเห็นว่ามนุษย์มีแต่ความเสื่อมทรามเช่นเดียวกัน
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่า
ที่มา ตำนานศักดิ์เทพเจ้า. 2554. กรุงเทพฯ : ไพลิน
4 บันทึก
3
1
1
4
3
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย