6 มี.ค. 2021 เวลา 05:53 • ครอบครัว & เด็ก
"พระเจ้าตรัสว่า <<จงมีดวงสว่างบนฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้ดวงสว่างเป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างบนฟ้า เพื่อส่องสว่างบนแผ่นดิน>> ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างดวงสว่างขนาดใหญ่ไว้สองดวง ให้ดวงใหญ่ครองวัน ดวงเล็กครองคืน พระองค์ทรงสร้างดวงดาวต่างๆด้วย พระเจ้าทรงตั้งดวงสว่างเหล่านี้ไว้บนฟ้า ให้ส่องสว่างบนแผ่นดิน ให้ครองวันและคืน และแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเห็นว่าดี มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันที่สี่"
ปฐมกาล 1:14‭-‬19 TH1971
ชีวิตผมก่อนที่จะได้พบกับพระเยซูก็เหมือนกับคนบ้า คือคนที่ไม่รู้จักกับตัวเองว่าโง่เขลาอ่อนแอแค่ไหน จึงใช้ชีวิตอย่างเย่อหยิ่ง ไม่ชอบเรียนรู้หรือขอความช่วยเหลือจากใคร ชอบอวดตัว ทั้งๆที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นพิเศษอะไรที่น่าอวดเลย และเวลาเจอใครที่วิจารณ์ตรงๆก็จะไม่ยอมรับ ได้แต่โกรธเกลียดและหนีจากเขา ก็จะคบหาอยู่แต่กับคนที่คิดอะไรคล้ายๆกัน ก็หาทางออกด้วยการหนีมาเรื่อยๆ แบบนี้จนแก่ย่างเข้า 57 ปีพึ่งจะรู้สึกตัว เพราะการช่วยเหลือจากคนของพระเจ้า
จริงๆ พระคำกำลังบอก ผมมันก็เหมือนคนที่เป็นแค่ดวงจันทร์เท่านั้นครับ คือจะมีแสงได้แต่เฉพาะตอนที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เท่านั้น ไม่สามารถมีแสงด้วยตัวเองได้ แต่ตลอดมาพยายามจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ทั้งๆที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนเป็นแค่ดวงจันทร์แต่จะเปล่งแสงเองไม่ต้องพึ่งดวงอาทิตย์ คือคนเราโดยธรรมชาติมันอ่อนแออยู่เองตามลำพังไม่ได้ แต่จำเป็นจะต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นจึงจะสามารถอยู่ได้มีความสุขได้
แต่ตลอดมาก่อนเจอคนของพระเจ้า ก็ถูกวิญญาณชั่วหลอกครับ หลอกให้ติดอยู่กับความคิดที่บิดเบี้ยว เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโดยไม่รู้ตัว ก็เลยคบหาสนิทอยู่กับใครไม่ได้เพราะรับการก้าวก่ายตักเตือนจากใครไม่ได้(มีต่อ)
แล้วก็ถูกความคิดนั่นหลอกลากไปเรื่อยๆ มองย้อนกลับไปมันสร้างความเจ็บปวดความเสียหายไว้เยอะมากกับการล่อลวงคนอื่นๆ ยิ่งตอนไปเจอกับโบสถ์ความหวังยิ่งเลวร้ายหนักเข้าไปใหญ่ อ้างพระเจ้าด้วยเลยคราวนี้
เพราะยังไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นแค่ดวงจันทร์นั่นเอง คืออยู่ได้ก็ด้วยรับแสงจากดวงอาทิตย์คือพระเยซู หมายความว่าสิ่งที่สามารถจะช่วยมนุษย์เราได้จริงๆ คือความจริงจากพระคำของพระเจ้า ไม่ใช่จากความคิดสารพัดของตัวเอง
โฆษณา