12 มี.ค. 2021 เวลา 13:28 • ท่องเที่ยว
เปิดประสบการณ์แปลกใหม่ที่โอมานนน!
รอบนี้ขอเชิญทุกคนเข้าสู่ ชีวิตกลางทะเลทรายยยยย...
นอนกลางดิน กินกลางทราย ตื่นมาขี่อูฐของจริงเลยค่าาา
พร้อมแนะวิชาขับรถเข้าทะเลทรายด้วยตนเอง
วันนี้ถือเป็นวันที่ 3 ของทริปโอมานนะคะ
หลังจากเล่นน้ำที่โอเอซิส Wadi Bani Khalid เสร็จ
เราจะขับรถไปแวะปั๊มน้ำมันกันก่อน เพราะ
1. น้ำมันต้องเต็มถังเพื่อความสบายใจ
2. ต้องปล่อยลมยางล้อรถ (แรงดันลมยาง)
เอาล่ะ ความยากคือ ทำไมต้องปล่อยลมยางล้อรถ?
เพราะว่า ลมยางที่อ่อน จะทำให้ล้อมันวิ่งบนเนินทรายที่นุ่ม
ได้ดีกว่าลมยางที่แข็ง แล้วก็จะบังคับรถง่ายขึ้นด้วย
ซึ่งมันจะมีคู่มือที่ติดมากับรถบอกว่า เราต้องปล่อยลม
ให้เหลือเท่าไหร่ เราก็ไปปล่อย แล้วเช็คเลขจากหน้าปัดหน้ารถ
โชคดีทริปนี้เรามีหนุ่มๆ ทีมวิศวกรมาด้วย
ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะวางใจได้ ที่ไหนได้!?
ดูเหมือนจะไม่รอดเหมือนกัน ฮ่าๆๆ
เราขอแนะนำวิธีที่ง่ายกว่านั้นมากๆนะคะ คือ...
เดินไปหา staff ในปั๊มให้เค้าช่วยค่ะ
JJ: Excuse me, we want to drive to a desert camp.
Can you help us? (และชี้ไปที่รถ)
Staff: Okay.
JJ: How much does it cost?
Staff: 1 Real.
ทุกคนนนน จ่ายแค่ 1 โอมานเรียล ก็คือไม่ถึงร้อยบาท
จ่ายไปเห๊อะะะ ให้เค้าช่วยยย
คุณพี่เค้าเดินมาอย่างไว ปล่อยลมยางสี่ล้ออย่างคล่อง
ไม่ถึง 3 นาทีเสร็จ! ถึงแม้ค่าลมที่พี่เค้าปล่อย
มันจะไม่เป๊ะตามคู่มือที่ติดรถมาก็เถอะ น่าจะได้แหละ
ส่วนรถที่เราเลือกเข้าไปผจญภัยครั้งนี้คือ GMC
แบบ 7 ที่นั่ง ขับเคลื่อนระบบ 4-wheels drive
นี่ไม่ได้มาขายรถแต่อย่างใดนะคะ
แค่อยากจะบอกว่าถ้าจะขับเข้าทะเลทรายเอง
กรุณาเลือกแบบ 4-wheels drive
แต่..แต่..แต่ อ่านให้จบก่อน เราไม่แนะนำให้เช่ายี่ห้อนี้
รุ่นนี้ เหตุผลจะบอกตอนท้ายว่าเพราะอะไร
เอาล่ะคนพร้อม รถพร้อม Go! Go! Go!
สุดท้ายก็ได้ฤกษ์เข้าไปในเขตทะเลทรายกันแล้ว
บอกเลยว่าตื่นเต้นมากกกกกกก
ในตอนแรกสัญญาณ GPS ยังมีอยู่
พวกเราก็ขับเข้าไปอย่างสบายใจ
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป... หายจ้าแม่ สัญญาณหาย
ซวยละงานนี้ทำไงดี !? ก็เลยพยายามระลึกเส้นทาง
ใน GPS แล้วขับไปอีกสักพัก ก็ดูท่าว่าจะไม่รอดอีกแล้ว
แต่ยังมีโชคดีเหลืออยู่ เพราะทางที่ขับผ่านมามีแคมป์
เล็กๆ 1 แคมป์ ตั้งอยู่อย่างเดียวดาย
พวกเราเลยตัดสินใจขับกลับไปจอดตรงนั้น
แล้วเดินวนดูว่ามีคนอยู่มั้ย และแล้วพวกเราก็ใช้แต้มบุญ
แต้มที่สอง มีคนจ้าาา คนจริงๆ
ก็พยายามสื่อสารกันอยู่สักพัก ว่าเราจะไปที่ไหน
เค้าก็เหมือนพยายามจะบอกทาง แต่คุยกันไม่รู้เรื่องเท่าไหร่
พี่แกก็เลยตัดสินใจขับรถนำทางไปให้เลย ใจดีมาก!
ไอ้เราที่นึกหาทางออกอื่นไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องตามน้ำไป
ต้องเชื่อใจพี่เค้า จนสุดท้ายก็ถึงที่พักแล้วค่าาา
ดีใจสุดๆ นึกว่าต้องนอนบนรถซะแล้ว
บรรยากาศที่แคมป์เวลาประมาณ 16.00 น.
ช่วงบ่ายแก่ๆที่เราไปถึงแคมป์ ค่อนข้างร้อนเลย
แต่พอดูพยากรณ์อากาศ อุณหภูมิช่วงกลางคืนลดฮวบ
จากประมาณ 25 องศา เหลือ 10 องศาต้นๆ
เพราะฉะนั้นพกเสื้อกันหนาวไปด้วย
ตอนกลางคืนช่วงฤดูหนาวที่โอมาน
ก็หนาวเอาเรื่องอยู่น้าาาา
พอเห็นอุณหภูมิตอนกลางคืนแล้ว
เราเลยตัดสินใจว่า อาบน้ำก่อนมืดดีกว่า
ห้องน้ำก็ open air ซะขนาดนี้ ต้องลองงง...
ส้วมด้วย เกิดมาไม่เคยใช้ นั่งอ่านวิธีใช้ตั้งนาน
ถ้าถามว่าลองแล้วเป็นไง ตอบเลยว่า ฟิน!
ฟินมากกกกก ตอนแรกเปิดน้ำมาตกใจนิดนึง
เพราะน้ำเย็นผิดคาด สักพักปรับตัวได้ ชิวเลย
อาบน้ำไปมองท้องฟ้าสวยๆ ในฤดูหนาวไป
โอ้ยยยยย 10 10 10 ประสบการณ์มิรู้ลืม
ก่อนพระอาทิตย์จะตกวันนี้ ทางแคมป์จะพาขับรถ
ขึ้นไปบนสันทรายเพื่อชมวิวกันค่ะ
นำมาฝาก 1 ภาพ พระอาทิตย์กำลังจะตกค่ะ
จากนั้นเราก็กลับไปที่แคมป์
พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า กิจกกรรมที่จะให้ทำ
มีไม่เยอะนัก หลังกินข้าวเสร็จบางคนก็นั่งเล่น
อ่านหนังสือ มีแคมป์รอบกองไฟ
ให้นักเดินทางจากแต่ละประเทศ มานั่งพูดคุย
ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน
บรรยากาศตอนกลางคืน ที่ไม่ค่อยมีอะไรทำ
Day 4: Wahiba sand - Nizwa
เช้าวันที่ 4 ตื่นมากลางทะเลทราย
มีเสียงฝูงน้องอูฐเดินมาปลุก
เช้านี้เราจะกินข้าวที่แคมป์เตรียมให้
แล้วไปขี่อูฐเที่ยวกัน และทำกิจกรรมที่เรียกว่า
Dune Bashing ถ้าให้อธิบายเหมือนไปเล่น
เครื่องเล่นที่สวนสนุกค่ะ เรานั่งในรถ คนขับจะดริฟรถ
ไปมาระหว่างสันทรายด้วยความเร็ว
ขึ้นเนิน ลงเนิน หมุนไป หมุนมา ทำให้มันโคลงเคลง
เวียนหัวตัวลอย เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆได้พอสมควร
และถือว่าเป็นการพาขับชมวิวทะเลทรายด้วย
น้องอูฐกลางแสงแดดยามเช้า สาบานเลยว่า 7 โมงเช้าจริงๆ แต่ไม่มีความรู้สึกว่าร้อนเลย ออกจะเย็นสบายด้วยซ้ำ
Dune Bashing จ้าาาา และคนขับของเรา
สำหรับใครที่นึกภาพ Dune Bashing ไม่ออก อันนี้เราหามาให้ดูนะคะ ที่มาก็น่าจะพอเดากันออก Google นั่นเองงง
เรา checked-out ออกจากแคมป์ประมาณ
11 โมง เพราะวันนี้เราต้องเดินทางกันยาวไกล
กว่า 4 ชั่วโมง เพื่อไปยังเมือง Nizwa (นิซว่า)
เก็บของ ขึ้นรถ ถามทางอย่างดีว่าต้องขับออกไปทางไหน
เพราะตอนนี้ GPS ก็ยังใช้ไม่ได้เหมือนเดิม
เค้าก็บอกว่าง่ายๆ ขับไปตามทางที่มีรอยล้อรถเดิมอยู่แล้ว
เลือกเอาอันที่มันเป็นรอยชัดๆจนเหมือนถนน
อย่าออกนอกเส้นทาง ก็โอเคได้! ฟังดูไม่อยากเท่าไหร่
บอกมือร่ำลา say goodbye และเคลื่อนตัวออกไป
ไปได้ไม่ถึง 10 นาที อยู่ดีๆทางที่ขับเริ่มไม่ใช่
เพราะรอยล้อรถมันดูจางลง เลยตั้งท่ากลับรถ
แค่นั้นแหละจ้าาาา... จังหวะที่กลับรถ
ล้อหลังดันลื่นลงไปตกที่ทรายมันนุ่มๆ
ก็พยายามกลับ พยายามเลี้ยวรถ แต่เร่งเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น
มีแต่แย่กว่าเดิม ทุกคนออกจากรถลงไปดูสิ
สภาพที่เห็นคืน ล้อหลังจมทรายไปแล้วกว่าครึ่งล้อ!
แม่เจ้าาาา!! ทำไรไม่ได้เดินกลับแคมป์ไปตาม
local people มาช่วยเพราะเค้าน่าจะมีประสบการณ์กว่า
แต่ปรากฎว่าทำยังไงก็ไม่ขึ้น ลงจากรถทุกคน
ขนกระเป๋าลงทุกใบให้รถมันเบา ก็ยังไม่ได้!
จนสุดท้ายเจ้าของแคมป์ขยับรถตัวเองขึ้นมาเทียบ
ใช้อุปกรณ์เกี่ยวระหว่างรถเค้า กับด้านหน้ารถเรา
เพื่อใช้แรงจากรถอีกคันช่วยดึง
ผ่านไป 30 นาทีก็ยังไม่ได้... คราวนี้ต้องเรียกกำลังเสริม
สั่งผู้หญิงถอยห่าง ให้ชายหนุ่มประมาณ 6 คน
ช่วยกันดันท้ายรถ ส่งสัญญาณ one two three!
อยู่หลายรอบ ผ่านไป 50 นาที... สำเร็จจ้าาา
จังหวะที่ขึ้นคือรถ GMC เราเหมือนลอยขึ้นมาบนฟ้านิดๆ
พร้อมเสียง เคร๊งงงง... เหวอสิคะ ได้แต่มองหน้ากัน
และเดินไปดูว่า เสียงอะไรน้าาา? ปรากฏว่า
ไฟซ้ายด้านหน้ารถหลุดจ้า หลุดออกมาทั้งกรอบ
ก็คืองงมาก ว่าหลุดมาได้ยังไง อาจจะเกิดจากแรง
กระแทกหรือไรสักอย่าง
นี่คือสภาพที่ล้อรถจมลงไปในทราย เห็นมั้ยคะว่าแทบไม่มีช่องว่างเหลือระหว่างตัวรถกับพื้นทรายแล้ว ละมันจะวิ่งต่อไปได้ยังไง แงงงงง
แต่งานนี้แหละค่าาาาทุกคนนน
แต้มบุญหมดค่าาาา ไม่รู้นึกยังไงไม่ได้ซื้อประกันรถเช่า
ที่ควบคุมความเสียหายส่วนนี้ไว้
โดนไปสิคะ ค่าเสียหายเกือบ 40,000 บาท แพงมาก! แพง!
เอามาซ่อมอู่ที่บ้านเราไม่ถึงแน่ๆ แต่ทำไรไม่ได้
ต้องยอมให้เค้าตัดผ่านบัตรเครดิตไปแต่โดยดี
ประสบการณ์ขับรถเข้าทะเลทรายครั้งนี้สอนให้รู้ว่า
1.) ซื้อประกันรถที่มันครอบคลุมกว่านี้นะวันหลัง
2.) ไม่ก็ซื้อบริการของแคมป์ที่เค้าไปรับส่ง
ไม่ต้องซ่าอยากลองขับเอง
3.) ขับรถบนทะเลทรายทุกครั้งต้องมีสติ
ไม่ใช่อยากกลับรถตรงไหนก็กลับ
4.) เจ้าของแคมป์แนะ ปนบ่นว่า อย่าได้คิดเช่า
GMC มาขับอีก เพราะมันกว้างใหญ่ นั่งสบายก็จริง
แต่มันก็มาพร้อมกับน้ำหนักหลายตัน ขนาดเอารถอีกคัน
มาลากก็ยังไม่ขึ้น เค้าแนะนำให้ใช้ Land Rover แทน
5.) อย่าลืมๆ ปล่อยลมยางรถ ถ้าทำไม่เป็น
ให้ staff ที่พักทำให้เถอะค่าาา
ขากลับเราก็ไปสะกิดคนเดิมอ่ะแหละ
เค้าจำได้ ไม่คิดเงินเพิ่มด้วย ดี๊ดี
สุดท้ายก็ได้แต่พูดกันว่า เอาน่า... ประสบการณ์ชีวิต
ขับพ้นหลุดเขตทะเลทรายปุ๊บ เย้!! กันลั่นรถ
รอดละจ้า รอดแล้ว หลังจากนี้ก็ขับบนถนนปกติแล้ว
ไม่น่ามีอะไรละแหละ อิอิ ก่อนถึงตัวเมือง Nizwa
เราแวะเที่ยว Birkat Al Mouz เป็นหมู่บ้านโบราณ
ที่ถูกทิ้งร้าง ที่ตั้งอยู่หลังชุมชนที่มีคนอยู่จริงๆอีกที งงมะ?
ก็คือเวลาเราขับตาม Google map
เราจะต้องจอดรถไว้ริมถนน ของชุมชนที่ยังมีคนอยู่
มันก็หน้าตาแบบถนน ชุมชน ทั่วๆไปเลย
แล้วเราค่อยเดินลึกเข้าไปด้านหลังอีกที
หาไม่ยากค่ะ มองหาแนวต้นปาล์มเข้าไว้
แล้วเดินไปทางนั้นแหละ จะเจอซากของหมู่บ้านโบราณ
เข้าไปด้านใน บรรยากาศเป็นเมืองร้างเลยยย!
เหมือนฉากชุมชนโบราณ เรื่อง Gods of Egypt แนวๆนั้น
แต่ก็มีนักท่องเที่ยวมาแวะเวียนมานะคะ
ไม่ได้น่ากลัว วังเวง อะไรมากมาย
วิวจากที่สูงเหล่านี้นั้น... ต้องใช้วิชาตัวเบาปีนป่ายขึ้นไปเล็กน้อยถึงจะได้ภาพสวยๆมา ไม่ถึงกับอันตรายมาก แต่ต้องดูดีๆ มีสติเพราะพวกบันไดมันเก่า และพร้อมที่จะพังลงมาทุกเมื่อ
เสร็จจากตรงนี้ก็มุ่งหน้าเข้าเมือง Nizwa กันต่อ
ก่อนเข้าที่พักเราจะไปเดินเล่นที่ Nizwa Fort
และ Nizwa Souq ซึ่งอยู่ติดกันเลย
Nizwa Fort เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่
ที่มีชื่อเสียงมากที่นึงของเมือง Nizwa
ทุกวันนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เราได้เข้าไปชม
พูดได้เต็มปากว่า ใหญ่จริง อลังการณ์จริง
ใช้เวลาอยู่นานพอสมควร มีจุดสวยๆให้ถ่ายรูปเพียบ!
Nizwa Fort
Nizwa Souq
Souq ในภาษาอาหรับแปลว่าตลาด จริงๆที่นี่ไม่ใหญ่มาก
เดินแปปเดียวก็หมด ของที่ขายก็จะเป็นโอ่ง ไห จาน ชาม
เครื่องประดับผู้หญิง เครื่องเทศ ผลไม้อบแห้ง ผ้าไหม
ของที่ละรึกก็พวงกุญแจประมาณนี้
คล้ายกับที่ Mutrah Souq ที่มัสกัตเลย
สำหรับเรา โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ถูกชะโลกเท่าไหร่
ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือเลยค่ะ
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องจะซื้อของฝากแนะนำให้ไปที่
LuLu Hypermarket ดีกว่า ขนมนมเนย
ผลไม้เต็มไปหมด และเราก็จะเห็นด้วยว่า
ในชีวิตประจำวันของคนโอมานจริงๆ เค้าซื้ออะไรกัน
เดินเพลินมาก เราซื้อขนมเยอะเลย
บางคนอาจจะคุ้นชื่อห้างนี้ เพราะจริงๆแล้ว
เค้ามีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก
ส่วนมากเจอในประเทศที่นับถืออิสลาม
เราไปมาเลเซียก็เจอ ลอง search google ดู
เห็นมีที่อินโด อินเดีย การ์ต้า U.A.E. ด้วยเหมือนกัน
จบวันที่ 4 ด้วยความสนุกสนาน แต่โคตรเหนื่อยยย
พรุ่งนี้เราจะแวะเที่ยว Bahla Fort (ป้อมบาห์ลา)
ก่อนกลับเมืองหลวง กรุงมัสกัต
และขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยค่าาา
Day 5: Nizwa - Muscat - Bangkok
วันสุดท้ายที่โอมาน เราตื่นมาชิวๆ เพราะวันนี้
มีเวลาค่อนข้างเยอะ อย่างที่บอกระหว่างทางกลับกรุงมัสกัต
มีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจก็คือ Bahla Fort
ป้อมปราการที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของประเทศโอมาน
ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ด้วย
เดินขึ้นไปด้านบนสุดถ่ายรูปสวยมากจริงๆ
แต่ก็ร้อนมากจริงๆเหมือนกัน ฮ่าๆๆ
Bahla Fort
จากนั้นเราก็มุ่งหน้ากลับสู่กรุงมัสกัต
โดยจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมง
พอถึงมัสกัต มองนาฬิกาแล้วเวลาเหลือเฟือ
เราเลยขับรถไปชม Opera House Muscat ซะหน่อย
บังเอิญว่าวันที่เราไปมีการแสดงด้านใน
เลยได้แต่ถ่ายรูปจากข้างนอกค่ะ
แล้วเราก็ไปซื้อขนม ของฝาก กันที่ LuLu Hypermarket
อย่างที่บอกว่าเดินเพลินมากกกก เลยลืมเก็บรูปมาฝาก
หน้าตามันก็เป็นห้างทั่วไปแหละค่ะ เหมือน Tesco บ้านเรางี้
แต่ส่วนตัวเราอาจจะชอบเดิน local market
เดิน supermarket อยู่แล้ว เลยสนุกเป็นพิเศษ
Opera House Muscat
คืนนี้เราจะขึ้นเครื่องเวลาประมาณ 3 ทุ่ม
และกลับถึงไทยช่วงเช้าประมาณ 6 เช้าโมงพอดี
เพราะฉะนั้นต้องหาข้าวเย็นกินก่อน
หลังจากหาใน Google แล้ว
ก็ตกลงปลงใจว่าร้านนี้แหละ ได้ Award Winning Steakhouse ของโอมานด้วย!
ชื่อ SteakCo. (Steak Company)
สายเนื้ออย่างเราพูดได้คำเดียวว่า อร่อยมากกกกกกก
ถูกมากกกกกก เจ้าของร้านใจดีมากกกก
หลังจากนั้นเรายังคงติดต่อกับเจ้าของร้านอยู่บ่อยๆ
และมีโอกาสทานข้าวกับเค้าอีกครั้ง ตอนที่เค้ามาไทยด้วยค่ะ
เค้าบอกเราว่า ประเทศไทยนี่ดังในหมู่คนโอมานมากเลยนะ
เค้าชอบมาเที่ยวไทย ชอบกินทุเรียน
ตัวเค้าเองมาไทยทุก 6 เดือน! OMG... บ่อยไปไหน ฮ่าๆๆ
แต่กลับกัน คนไทยแทบจะไม่รู้จักประเทศโอมานเลย
ยังไงถ้าทุกคนได้ฉีดวัคซีนกันโควิด-19 แล้ว
เราคงไปท่องโลกกันได้ รอเปิดประเทศเมื่อไหร่
เราแนะนำให้ไปโอมานๆๆๆ คือมันดีไปหมดเลยอ่ะ
เมืองก็ดี ธรรมชาติก็สวย อาหารอร่อย
คนท้องถิ่นโคตรใจดี ไปเถอะๆๆ
ไม่รู้จะพูดคำไหนนอกจาก ไปเถอะ!
ก่อนจากกัน ขอปิดท้ายด้วยภาพ Thump up 👍🏻
พร้อมชิ้นส่วนรถที่หลุดออกมาค่าาาา...
โฆษณา