22 มี.ค. 2021 เวลา 03:00 • หนังสือ
สรุปหนังสือ ทักษะความสุขของคุณนิ้วกลม Part4
Part นี้จะเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ เป็น Part ที่ผมชอบที่สุดในหนังสือเลยครับ
ในช่วงเวลาที่คนเราต้องการความรัก เช่น ตอนที่ป่วยหนักๆก็จะพบว่ามีผู้คนหลายคนที่มาเยี่ยม ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา เกี่ยวข้องกับเรา ซึ่งมันก็ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้นในการใช้ชีวิต ซึ่งก็แปลว่า หนึ่งในองค์ประกอบของชีวิตเราก็คือ ผู้คนที่รายล้อมเรา เพราะฉะนั้นเราก็ควรเป็นสิ่งดีงามของผู้คนตั้งแต่ สุขในเบื้องต้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน และ keep ความสัมพันธ์ให้สุขในช่วงกลาง รวมถึง สุขในบั้นปลายที่เวลาเราต้องการความรักกำลังใจก็จะมีเพื่อนๆเราอยู่ตรงนั้น ผมอยากชวนให้ทุกคน มีผู้คนที่รายล้อมไม่ต้องเยอะก็ได้แต่ก็มอบความสุขให้กับทุกคนเท่าที่เราจะสามารถมอบให้ได้
คนเราส่วนใหญ่มองความรักผ่านมุมมองของตนเองว่า จะทำยังไงให้ตัวเองเป็นที่รัก มองในมุมของ "คนที่ถูกรัก" มากกว่า "คนที่จะรักอีกฝ่าย" ปัญหาคือเราเกิดมาใน nature ที่ว่าเป็นวัฒนธรรมการซื้อขาย คนขายของก็จะทำของให้น่าดึงดูดที่สุด คนซื้อก็จะเลือกของที่ดีที่สุด พอถูกใจเราก็มักเรียกสิ่งนี้ความรัก คิดว่าเรารักกัน ซึ่งจริงๆมันคือ "ความหลง" เราจึงมักเริ่มต้นความรักด้วย ความคาดหวังที่มหาศาล และไม่แปลกที่มันจะล้มเหลวเพราะคงยากที่จะตอบสนองกับความคาดหวังที่มันสูงมาก
ความรักจึงไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป ต้องอาศัยเวลาและเรียนรู้กันไป ความรักตาม คุณ ฟรอมม์ บอกว่ามีหลายแบบ
1. ความรักแบบพึ่งพาอาศัยกันจะมีฝ่ายที่ Passive และ active ซึ่งฝ่ายที่ passive คือฝ่ายที่ยอมทุกอย่าง เมื่อมีความรักก็จะต้องขึ้นกับอีกฝ่ายตลอด ไม่เป็นอิสระ depend on อีกฝ่ายตลอด ส่วนฝั่ง Active ก็จะต้องการให้มีคนมาคลั่งไคล้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องอาศัยความรัก ถ้าเราตกในความรักแบบนี้มันก็จะคิดว่า เค้าจะให้อะไรเรา เราจะได้อะไรจากเค้า ทำไมเราให้ไปขนาดนี้แล้วยังไม่ได้อะไรกลับมา
2. รักแบบมีวุฒิภาวะ คือทั้งสองฝ่าย Be yourself และมั่นคงในจิตใจระดับหนึ่ง มันเป็นการรวมกันทางความรู้สึก แต่ยังมีความเป็นปัจเจกอยู่ แต่ละคนก็สมบูรณ์ในตัวเองแล้วก็จะมีแต่สิ่งที่ล้นออกมามอบให้กันและกัน
เมื่อเรียนรู้ที่จะรักอย่างแท้จริงพอเราเป็นผู้ให้และผู้สลับกัน เช่น หมอที่รักษาคนไข้ให้ดีขึ้น คนไข้ก็รู้สึกขอบคุณหมอ หมอก็มีความสุขที่ได้เป็นผู้ให้ คนไข้ได้เป็นผู้ให้ทำให้หมอมีความสุขเช่นกัน ความสัมพันธ์ของคนรักก็เป็นแบบนี้
ซึ่งฟรอมม์ก็บอกถึงทักษะสัมพันธ์ 4 อย่างได้แก่
การห่วงใยดูแลกัน: ดูแลเค้าให้เหมือนต้นไม้ที่เรารดน้ำดูแลอย่างดี เราต้อลงแรง ไปในสิ่งที่เรารัก
ึความรับผิดชอบ: เราต้องรับผิดชอบคนที่เรารักอย่างเต็มใจ ต้องรับผิดชอบชีวิตเค้าด้วย
การนับถือ: เราไม่สามารถยอมรับในทั้งหมดที่เค้าเป็นได้หรอก ช่วงแรกๆคบกันก็จะเห็นต่อข้อดีกันและกัน แต่สุดท้ายข้อเสียจะค่อยๆโผล่มา ย่อมมีด้านที่เราไม่ถูกใจเป็นธรรมดา การยอมรับคนๆนึงก็ต้องอาศัย "ความรู้"
ความรู้: เราต้องมีความรู้ในตัวคนที่เรารัก ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันและกัน เรียนรู้ความลับ เป็นคนที่เค้าไว้ใจที่จะเล่าเรื่องราวแบบที่คนอื่นไม่รู้ เมื่อได้รับรู้ทั้งหมด เราก็จะยอมรับตัวเขาในแบบที่เค้าเป็นจริงๆอย่างบริสุทธิ์ใจ
แล้วจะเริ่มยังไง จุดสำคัญคือต้องลดทอนความต้องการของตัวเองลง เรามักเอาความต้องการเราไปยัดใส่คนอื่น ต้องปรับให้ตนเองมาคิดถึงจิตใจคนตรงหน้าบ้าง ต้องถามตัวเองว่าทำยังไงให้เค้ามีความสุข ให้ความสำคัญแบบเต็ม100 กับคนที่อยู่ตรงหน้า
รักโรแมนติกดีจริงหรือ? ในช่วงคศ 1750 โลกได้รับอิทธิพลจาก Romanticism ซึ่งคือรักโรแมนติก โดยภาพในฝันของคนรักคือ ปิ๊งกันแต่แรกเห็น เดินๆอยู่ไปเจอคนที่ใช่เลย และ คือการยอมรับในทุกอย่างที่คนคนนั้นเป็น อยู่ด้วยกันแต่งงานจนถึงแก่เฒ่า เรื่องเซ็กส์ที่สม่ำเสมอเท่ากับช่วงต้นๆ คนรักต้องเป็นทุกอย่างให้เราต้้งแต่ เพื่อนสนิท คนขับรถ คนคอยช่วยเลี้ยงลูก นักบัญชี ดูแลบ้าน ซึ่งความ Romanticism แบบนี้มันดีจริงหรอ? จริงๆเราควรจะเปิดกว้างกับความรักให้มากกว่านี้ มองว่าคู่รักก็มีข้อบกพร่องเหมือนมนุษย์ทั่วไป เซ็กส์ก็เป็นเรื่องที่คุยกันได้ แลกเปลี่ยนความเห็นของกันและกันซึ่งก็จะช่วยลดความหงุดหงิดใจ
ถ้าจะเจาะลึกถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักก็จะมีเรื่องได้แก่
1. การเลือกคนรัก คนเรามักไม่ได้เลือกคนดี เราไม่ได้เลือกัคนที่ทำให้เรามีความสุขเสมอไป เรามักตกหลุมรักคนที่ทำกับเราแบบที่คุ้นเคยในวัยเด็ดมากกว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กจะเป็นบอกว่าเราสมควรได้รับความรักแบบไหน ซึ่งอย่างงี้เราคงไม่ได้แสวงหาความสุขจากความรัก เราเพียงแต่หา ความคุ้นเคยต่างหาก เราอาจะปฏิเสธบางคนซึ่งดีมากๆ เพียงแค่เค้าดีเกินไปแค่นั้น ซึ่งมันไม่คุ้นเคยกับประสบการณ์ในอดีต เรามักเลือกคนรักแบบเดิมๆที่สร้างปัญหาแบบเดิมๆ
ที่น่าสนใจคือหากเรามีแผลใจเรื่องพ่อแม่ และ พ่อแม่มีบุคลิกบางอย่างที่ดี เราก็มักปฏิเสธคนที่มีบุคลิกที่ดีมากแต่ดันไปคล้ายพ่อแม่เรา เพราะเราก็รู้สึกไม่ดีกับพ่อแม่ แล้วเอาภาพพ่อแม่มาทาบในบุคคลนั้นๆ
แล้วเราจะทำอย่างไร? หนังสือ Relationships บอกว่าให้ลองนั่งนิ่งๆและเขียนว่า "เราไม่ชอบคนประเภทไหน" เขียนมาในกระดาษเยอะๆเลย เราก็จะเห็นข้อบางอย่างเออน่ารังเกียจจริงๆ บางอย่างที่มันก็เป็นข้อดีนิ เช่น เราอาจจะไม่ชอบคนที่ชอบดูแลคนอื่น(จนน่าอึดอัด) เราต้องสังเกตว่าแล้วอะไรละทำให้เกลียดคุณสมบัตินั้น หรือ เราอาจจะแค่รังเกียจมันเพราะเราไม่คุ้นเคย
2. การถ่ายโอนความรู้สึก เราคงเคยเจอคู่รักที่แบบไปสายแค่ 10 นาที เค้าก็บ่นว่า ถ้าจะไม่อยากมาก็ไม่ต้องมาก็ได้ปะ จริงๆแล้วมันอาจจะเกิดจากประสบการณ์วัยเด็กว่า พ่อแม่มารับสายบ่อยๆ แต่เราก็ด่าพ่อแม่ไม่ได้มันก็อาจจะเก็บๆมาในปัจจุบัน เราเกือบทุกคนมักมีโมเม้นต์ที่แปลกๆแบบนี้เกิดขึ้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือ เปิดกว้างและยอมรับเวลาที่เกิดการตอบโต้ที่รุนแรง สิ่งที่เราควรมองเห็นเสมอคือ เด็กน้อยในตัวคู่รักของเรา จริงๆตอนที่เค้าเกรี้ยวกราดใส่เรา มันคือ วัยเด็กที่ผุดมาจาก Unconscious ซึ่งเพียงแค่ต้องการความเห็นใจ การดูแลและความรัก แต่ไม่รู้วิธีการแสดงออกก็แค่นั้น
3. ความเชื่อว่าคนรักควรเข้าใจกัน 100% เรามักคาดหวังว่าเธอควรเข้าใจชั้นทันที อย่าให้ต้องอธิบายอะไรให้มากความ เคยมีคนบอกคนที่ทำให้เราผิดหวังมากที่สุดในชีวิตก็คือคนรักเนี่ยแหละเพราะเราหวังกับเค้าสูงเกินไป เราต้องยอมรับว่าคนรักเราโตมาคนละแบบ ก็คงไม่ได้เข้าใจกันและกัน 100% การได้เจอมุมที่ไม่ชอบในคนรักก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าเราสนิทกันมากจนรู้มุมที่ไม่สวยงามของคนรัก
จะว่าไปจริงๆแล้วคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ที่สุดกับคนที่ทำให้เรารู้สึกดีที่สุดในชีวิตมักเป็นคนคนเดียวกัน เรามักมองว่าคู่ของเรามักมีแต่สีขาว ทั้งๆที่จริงๆแล้วทุกอย่างมันเป็น สีเทา มีทั้งด้านดีและด้านไม่ดี มีคนที่การงานรุ่งเรืองมากในวัยสามสิบปี สุดท้ายตรวจพบมะเร็งตับอ่อนซึ่งจะตายภายใน 3 เดือน มุมมองเค้าน่าสนใจมาก เค้าเริ่มจากการยอมรับในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อและใช้เวลาที่เหลือจัดการกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ก็คือทำให้ครอบครัวอยู่ได้เมื่อไม่มีเขา จะว่าไปชีวิตคนเราก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว เราไม่ควรคาดหวังความสมบูรณ์แบบจากชีวิต เราคงไม่สามารถคาดหวังให้เจ้าแจก ป็อก9 มาให้เรา ความสนุกจริงๆแล้วอยู่ตรงที่เราจะจัดการไพ่ที่ได้มาอย่างไรต่างหาก ปัญหาและอุปสรรคที่เค้ามาในชีวิตก็คือ ไพ่ที่แจกมาให้เรานั่นเอง เราอาจไม่ได้ต้องการความสมบูรณ์แบบจากทุกสิ่งทุกอย่างในชีวืตเพื่อมีความสุข แต่เราคงมีความสุขได้ถ้าได้เผชิญกับไพ่ที่แจกมาให้เรายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิตไปด้วยกันครับ
โฆษณา