Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
MT
•
ติดตาม
9 มี.ค. 2021 เวลา 05:00 • การศึกษา
ดูแลลูกอย่างไรให้เรียนได้เกรด 4.00 โดยลูกไม่เครียด
การเรียนดี ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เว้นแต่ ไม่แม้แต่จะพยายาม
ในยุคที่การสอบ หรือ การใช้เกรด เพื่อคัดเลือกเข้าศึกษาต่อยังเป็นสิ่งที่ โรงเรียน และ มหาวิทยาลัยชั้นนำส่วนใหญ่ในโลกใบนี้ใช้กันอยู่
พ่อแม่หลายคนที่มีลูก คงมีความกังวลในเรื่องผลการเรียนของลูกไม่มากก็น้อย ทุกคน
หากลูกเรียนได้ดีเต็มศักยภาพย่อมเป็นเรื่องดี
อย่าคิดว่าได้ 4.00 ไปทำไม เมื่อลูกมีศักยภาพพอที่จะทำได้ ก็ควรส่งเสริม ได้บางวิชา บางภาคเรียน ก็ยังดี ดีกว่าไม่เคยได้เลย
พ่อแม่คงไม่อยากให้ลูกเรียนหนังสือไม่เคยได้เกรด 4.00 เลย แม้แต่วิชาเดียว และมักบอกว่า "กลัวลูกเครียด" แต่ถ้าเขาทำได้โดยธรรมชาติและสนุกกับมันหละ ดีไหม เพราะผลการเรียนที่ดีย่อมส่งผลต่อการศึกษาต่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้เกรด 4 หลายๆตัว ย่อมดีกว่าไม่ได้ จริงไหม แต่ต้องได้แบบไม่เครียดเกินไป
มีการวิจัยพบว่าความเครียดเล็กน้อย กระตุ้นให้มนุษย์ดึงศักยภาพของตนเองออกมา แต่ความไม่เครียดเลย จะทำให้ขาดความรับผิดชอบและเฉื่อยชา ในขณะที่เครียดมากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพ
3
พ่อแม่ต้องถามตนเองว่าที่ตนเองทำงานนั้น มีความเครียดบ้างไหม หรือว่าไม่เคยเครียดเลย จะเข้าทำงานกี่โมงก็ได้ เลิกงานกี่โมงก็ได้ ผลงานเป็นอย่างไรก็ได้ เงินเดือนขึ้นก็ได้ ไม่ขึ้นก็ได้ ไม่ได้โบนัสก็ได้ สอบเลื่อนขั้นได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ดี อย่างนั้นหรือเปล่า
ถ้าใช่ คุณอาจไม่จำเป็นต้องสอนลูกให้มุ่งมั่นตั้งใจเรียนให้ได้เกรดที่ดี เพราะสอบเข้าคณะอะไรก็ได้ ได้คณะยอดฮิดก็ดี ไม่ได้ก็ดี เพราะไม่คิดอยากจะแข่งขันกับใครในสังคมที่มีการแข่งขัน บทความนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ
ถ้าจะบอกว่าให้ลูกเรียนอย่างไรให้แค่ “พอสอบผ่าน” ก็คงไม่จำเป็นต้องมาบอกเทคนิคกัน เพราะส่วนใหญ่ผ่านกันอยู่แล้ว แต่เราควรเรียนรู้เทคนิคที่ดีจากนักเรียนที่เรียนเก่ง เพื่อนำไปพัฒนาตนเอง จริงไหมครับ
จึงอยากจะเล่าวิธีการอันน่าจะเป็นประโยชน์ในการเลี้ยงลูกให้เรียนได้ผลการเรียนที่ดี ดังนี้
1. สุขภาพสำคัญที่สุด ท่านต้องให้ลูกได้ทานอาหารที่ดี บำรุงร่างกาย และสมอง มีโปรตีน และวิตามิน เพียงพอ มีการออกกำลังกายตอนเย็นๆหลังกลับจากโรงเรียนด้วยจะดีมาก พ่อแม่อาจร่วมออกกำลังกายพร้อมกับลูกเพื่อความสนุกสนานและความสัมพันธ์ที่ดีด้วย ในบางครั้งเด็กกลับจากโรงเรียนตอนเย็นแล้วเพลียมากหลับไป ก็ให้พักบ้าง แต่อย่าหลับนานจนตอนกลางคืนนอนไม่หลับนะ
2. การพักผ่อน ให้ได้นอนหลับเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมงต่อวัน ตื่นมาจะได้สดชื่นสมองแจ่มใสพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
3. อาหารเช้าสำคัญมาก อย่าให้เด็กอดอาหาร หรือ ทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพในมื้อเช้า ในกรณีที่เตรียมอาหารไม่ทัน อาหารเสริมก็เป็นทางเลือกที่ดี แต่ต้องเลือกที่มีคุณภาพสูง มีโปรตีน วิตามิน ครบถ้วน และอิ่มท้อง
4. ให้ลูกตั้งใจเรียนในห้องเรียนให้ดีที่สุด หากตัวเล็กแต่นั่งหลัง หรือ โดนบัง มองเห็นกระดานไม่ชัด ต้องขอย้ายที่นั่งมาในตำแหน่งที่มองเห็นกระดานชัดเจน เพราะสมาธิเด็กสั้นกว่าผู้ใหญ่ เมื่อมองเห็นไม่ชัด ก็อาจเลิกสนใจดู หันไปคุยกับเพื่อนแทน
5. ตรวจสอบสมุดงานที่ครูสั่งการบ้านมาทุกวัน โดยต้องให้ลูกทำการบ้านให้เสร็จก่อนจึงจะเล่นเกมส์หรือดูทีวีได้ อย่าให้เด็กจัดการเรื่องการบ้านเองโดยผู้ปกครองไม่ดูแล เพราะหากเด็กไม่ทำการบ้านจนติดนิสัย หรือ ทำแต่ผิดๆถูกๆเพราะไม่มีใครคอยสอน จะทำให้การสอบที่หลายวิชาครูมักเอาการบ้านมาออกสอบนั้นเด็กทำผิดซ้ำที่เดิม อาจใช้วิธีให้นำการบ้านส่งพ่อแม่ผู้ปกครองตรวจก่อนก็ได้ หากทำผิดจะได้สอนเดี๋ยวนั้นเลย ความจำจะสดใหม่กว่า
6. เวลาสอนการบ้านลูก หากเขาทำผิดบ่อย เหม่อลอย ไม่ตั้งใจฟัง อย่าดุ อย่าโวยลูก ให้เข้าใจว่าเขายังเด็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก จงใจเย็นๆค่อยๆสอน หากพ่อแม่คอยตวาด คอยดุ ต่อว่า จะทำให้ลูกรู้สึกทรมานกับการทำการบ้าน การเตรียมสอบ จนทำให้เครียดและเห็นว่าการเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน
7. ให้เด็กอ่านหนังสือที่ชอบ เพื่อให้รู้สึกว่าการอ่านคือความสุข ความสนุก ไม่เครียด ไม่น่าเบื่อหน่าย เช่น ให้ซื้อหนังสือการ์ตูน หรือ นิทานเรื่องที่ลูกชอบและลูกเลือกเองมาอ่านบ้าง จะทำให้เด็กรู้สึกรักหนังสือ รักการอ่าน ไม่จำเป็นต้องบังคับให้อ่านแต่หนังสือเรียน เพราะจะทำให้เด็กรู้สึกว่า การอ่านเป็นเรื่องเครียดและน่าเบื่อหน่าย
8. วางกลยุทธ์การเรียนให้เป็น หากลูกเรียนอ่อนวิชาไหน หากคิดจะให้เรียนพิเศษก็ให้เรียนพิเศษเฉพาะวิชาที่เรียนอ่อนคะแนนแย่ ไม่ใช่เรียนพิเศษสะเปะสะปะ เรียนพิเศษจับฉ่ายสารพัดวิชา ทำให้เสียเวลาเรียนซ้ำสิ่งที่รู้ดีอยู่แล้ว เสียเงินเสียเวลา ขาดการพักผ่อน ขาดการออกกำลังกาย ทำให้สุขภาพแย่เปล่าๆ แบ่งเวลาไปเรียนพิเศษด้านดนตรี หรือกีฬาบ้าง จะได้ร่างกายแข็งแรง จิตใจอ่อนโยน ครูที่เลือกให้ลูกไปเรียนด้วยก็สำคัญ ต้องแน่ใจว่ารู้จริงในวิชาที่สอน สอนเก่ง สอนสนุก เด็กจะได้ไม่เบื่อหน่ายการเรียนพิเศษ
9. การเรียนคือการสะสมความรู้ตลอดเทอม ไม่ใช่เร่งอ่านเฉพาะช่วงก่อนสอบ 2-3 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาอังกฤษ ต้องท่องศัพท์เป็นประจำทุกวันหรือวันเว้นวัน ส่วนคณิตศาสตร์ ต้องทำโจทย์เป็นประจำสม่ำเสมอจึงจะคล่อง การสะสมความรู้วันละเล็กละน้อยแต่ทุกๆวัน สำคัญที่สุด พ่อแม่ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษอาจพูดคุยกับลูกเป็นภาษาอังกฤษเมื่ออยู่ในบ้านเพื่อความสนุกสนานในครอบครัวและได้ความรู้ไปด้วยในตัว
10. ช่วงใกล้สอบอย่าให้เด็กมัวเล่นเกมส์ไอแพท หรือ ดูทีวีมากเกินไป โดยอาจเอาไอแพทไปซ่อนไว้ก่อนก็ได้ สอบเสร็จแล้วค่อยนำออกมาให้เล่น
11. ตั้งรางวัลอัดฉีดเป็นแรงกระตุ้นจูงใจ เช่น หากสอบย่อยได้เต็ม จะพาไปดูหนัง หรือ พาไปทานไอศกรีม หรือ ให้ซื้อหนังสือการ์ตูน 1 เล่ม หากผลสอบปลายภาคได้ 4.00 ปิดเทอมใหญ่จะพาไปเที่ยวที่ใดที่หนึ่งที่เด็กอยากไปและพ่อแม่จ่ายไหว เป็นต้น จะทำให้เด็กมีแรงกระตุ้นจากรางวัลด้วย พ่อแม่บางครอบครัวมักใช้วิธีการลงโทษเป็นวิธีที่ผมเห็นว่าเด็กจะกลัวสอบได้ไม่ดีแล้วจะถูกลงโทษ ทำให้เครียดและไม่มีความสุขกับการเรียน สู้เรียนและสอบให้ได้คะแนนสูงเพื่อชิงรางวัล น่าสนุกกว่าเยอะ
12. สอนให้เด็กเตรียมตัวก่อนสอบทุกครั้ง ไม่ว่าจะสอบย่อยๆ ก็ไม่มองข้าม เพราะคะแนนเก็บสะสมจากการสอบย่อยคือส่วนสำคัญที่จะทำให้คะแนนรวมดีขึ้น ซึ่งปกติครูมักจะบอกว่าจะสอบย่อยเรื่องใดวันไหน ก็ให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ทำสำเนาโจทย์ในหนังสือเรียน หรือการบ้านให้ลูกทดลองทำอีกครั้งด้วยตนเอง โดยลบคำตอบในสำเนาด้วยน้ำยาลบคำผิด แล้วให้เด็กลองทำดูใหม่อีกครั้ง เป็นการทบทวน เพราะปกติครูส่วนใหญ่มักนำสิ่งที่สอน และการบ้านมาปรับเปลี่ยนคำถามเล็กน้อย แล้วออกเป็นข้อสอบ
2
13. สอนให้อ่านโจทย์ 2 รอบ ก่อนที่จะเริ่มทำตอบ ทุกครั้ง เพราะ หากอ่านโจทย์ผ่านๆอาจผิดพลาด ตกหล่น เข้าใจโจทย์ผิด ทำให้ตอบผิด
14. คืนก่อนสอบกลางภาค และปลายภาค อย่านอนดึก เพราะการเตรียมตัวสอบต้องทำมาก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ใช่คืนสุดท้ายก่อนสอบ คืนก่อนสอบควรอ่านทบทวนเพียงผ่านๆ ทำใจให้สบาย นอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้จะได้สดชื่น สมองแจ่มใส
15. สอนลูกให้รู้เทคนิคการทำข้อสอบ เช่น ดูจำนวนหน้าข้อสอบว่ามีกี่ข้อ มีครบไหม อ่านโจทย์สองครั้ง ข้อไหนทำไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน ทำข้อที่ทำได้ให้เสร็จทุกข้อก่อน ค่อยวกกลับมากทำข้อที่คิดไม่ออก ในกรณีที่ต้องเดาคำตอบควรเดาอย่างมีหลักการอย่างไร เมื่อทำข้อสอบเสร็จเวลาเหลือ ให้ทบทวนคำตอบ หรือ สุ่มทบทวนหากเวลาที่เหลือมีน้อย และอย่าลืมตรวจดูชื่อนามสกุล เลขที่ บนหัวกระดาษคำตอบว่าเขียนแล้ว และถูกต้อง เป็นต้น
หากทำได้ตามนี้ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดทั้งเทอม เชื่อได้ว่า โอกาสสอบได้เกรด 4.00 เกิดขึ้นได้แน่ ไม่ภาคเรียนนี้ ก็ภาคเรียนต่อๆไป ที่สำคัญคือเมื่อรู้วิธีการที่ดีแล้ว ให้ “ทำอย่างสม่ำเสมอ” ความแตกต่างของคนเรียนเก่งกับเรียนไม่เก่ง ก็อยู่ที่ “การเรียนอย่างถูกวิธี อย่างสม่ำเสมอ” นั่นเอง
แล้วท่านก็จะได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองที่ดูแลลูกให้เรียนได้เกรด 4.00 โดยลูกไม่เครียด
1
(โดย อ.มงคล ตันติสุขุมาล)
โปรด “กดติดตาม” เพื่อทราบเรื่องเล่าใหม่ๆ
ดูแลลูกอย่างไรให้เรียนได้เกรด 4.00 โดยลูกไม่เครียด
11 บันทึก
18
23
11
18
23
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย