9 มี.ค. 2021 เวลา 10:49 • ยานยนต์
# การเลือกเบอร์ความหนืดน้ำมันเครื่องให้เหมาะสมกับการใช้งาน
การเลือกใช้น้ำมันเครื่องในปัจจุบันมีความสำคัญเป็นอย่างมากครับ เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตรถจะกำหนดให้เลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีค่าใสลงเรื่อยๆตามวิวัฒนาการเครื่องยนต์และข้อกำหนดระดับมลภาวะจากไอเสีย การกำหนดให้ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องใสลงมีจุดประสงค์เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงให้น้อยลงและลดการปลดปล่อยแก๊สคาร์บอนไดอ็อกไซค์ออกมาให้น้อยลงด้วยเป็นการลดปัญหาโลกร้อนนั่นเอง แต่ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องที่ใสลงย่อมมีความเสี่ยงที่เครื่องยนต์จะเกิดการสึกหรือเพิ่มมากขึ้นฉะนั้นการเลือกค่าความหนืดที่ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งานย่อมเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
1
วิวัฒนาการและความต้องการของรถยนต์รุ่นใหม่
รถยนต์ที่ผลิตในปี 1996 เปรียบเทียบกับรถที่ผลิตในปี 2014 จะพบว่าขนาดของเครื่องยนต์นั้นเล็กลง กำลังม้าสูงขึ้น น้ำหนักรถหนักมากขึ้น สมรรถนะของเครื่องจะมีอัตราเร่ง 0-100 km/hr เร็วขึ้น ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น การปลดปล่อยแก๊ส CO2 น้อยลง และผู้ผลิตรถจะกำหนดให้ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ใสลง เมื่อน้ำมันเครื่องมีฟิล์มบางลงแต่กลับต้องรองรับความเครียด(Stress)จากการแรงอัดและความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นบริษัทน้ำมันจึงต้องเลือกน้ำมันพื้นฐาน(Base oil)คุณภาพสูงผสมกับสารเพิ่มคุณภาพ(Additives)ที่ดีเยี่ยมจึงจะรับภาระหนักนี้ไหวครับ
ค่าเฉลี่ยอัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
จากข้อมูลการทดสอบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของสถาบัน JAMA ประเทศญี่ปุ่นพบว่าการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้มีค่าความหนืดให้ใสลงนั้นสามารถลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง(Fuel Economy)ให้มากขึ้นได้ เช่นเดิมเราใช้เบอร์ความหนืด SAE 10W-40 แล้วเปลี่ยนมาใช้ SAE 0W-20 จะประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 3% ยกตัวอย่างว่าเราใช้รถเดินทางไกลเป็นประจำ จาก กทม. ไปชลบุรี ใช้น้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 10W-40 เสียค่าน้ำมันเดือนละ 9,600 บาท ถ้าเปลี่ยนมาใช้น้ำมัน SAE 0W-20 แล้วจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ประมาณ 3% หรือประมาณ 288 บาท/เดือน หรือประหยัดน้ำมันได้ประมาณ 12 ลิตร/เดือนนั่นเองครับ แต่ถ้าเราขับรถเร็วมากๆ อัตราการประหยัดนี้จะน้อยกว่านี้ เช่นขับ 120-130 km/hr น้ำมัน SAE 0W-20 จะร้อนมากความหนืดจะใสลงอีกความฝืดของชิ้นส่วนจะสูงเสียงเครื่องยนต์จะดังขึ้นการประหยัดเชื้อเพลิงจะน้อยลง อาจไม่ถึง 3% ตามที่ระบุไว้ในตารางด้านนี้ครับ
ตารางเปรียบเทียบความหนืดกับอุณหภูมิ
ของเหลวทุกชนิดเมื่อได้รับความร้อนค่าความหนืดจะลดลงหรือใสลงนั่นเองตามตารางด้านบนเป็นการแสดงค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องจะเปลี่ยนไปเมื่อได้รับความร้อนสูงขึ้น ที่เส้นประแนวตั้งผมสมมุติว่าเป็นอุณหภูมิสตาร์ทเครื่องยนต์ จุดตัดเส้นสีต่างๆนั้นคือค่าความหนืดของน้ำมันแต่ละเบอร์ครับ เช่นเราสตาร์ทเครื่องตอนเช้าๆ น้ำมันที่ใสไหลเร็วที่สุดคือ SAE 0W-20 ถัดมาคือ SAE 0W-30, SAE 5W-30, 0W-40 และหนืดสุดไหลช้าสุดคือ SAE 10W-30 ฉะนั้นเวลาสตาร์ทเครื่องน้ำมันที่กินกำลังไฟแบตเตอรี่น้อยสุด มอเตอร์สตาร์ทหมุนเร็วสุดและเครื่องติดง่ายสุดคือน้ำมันเบอร์ SAE 0W-20(Fully Synthetic group III) ถ้าเราขับใช้งานไปเรื่อยๆ ความร้อนน้ำมันเครื่องในอ่างน้ำมันเครื่องจะเริ่มร้อนขึ้นใกล้ 100C ค่าความหนืดน้ำมันทุกเบอร์จะไสลงไปอยู่ที่ค่าความหนืดมาตรฐานที่ประมาณ 100C แต่ถ้าเราดูค่าความหนืดที่อุณหภูมิเกินปกติ (100C) เป็นเส้นประแนวตั้งหลังอุณหภูมิ 100C จะเป็นเส้นแสดงถึงอุณหภูมิการขับความเร็วสูง จะพบว่าน้ำมันเบอร์ที่เราใช้คือ SAE 0W-20 นั้นใสมาก ไม่ช่วยเราปกป้องเครื่องยนต์จากการสึกหรอแล้ว ดังนั้นเราต้องมองหาเบอร์ที่ช่วยเราปกป้องการสึกหรอได้ดีมากกว่าเบอร์ SAE 0W-20 เบอร์ที่ปกป้องดีที่สุดคือเบอร์ SAE 0W-40(Fully Synthetic group IV) ลองลงมาคือ SAE 0W-30(Fully Synthetic group III+IV), SAE 5W-30(Fully Synthetic group III) และท้ายสุดคือ SAE 10W-30(Part Synthetic group II+III) ตอนนี้ผมให้มองน้ำมันทั้ง 5 เบอร์เป็น 3 กลุ่มคือลงท้ายด้วย 20, 30 และ 40 แล้วผมขอแบ่งรถตามลักษณะการใช้งาน(Driving condition)เป็น 3 กลุ่มดังนี้ครับ
กลุ่มที่ 1 รถใช้งานในเมืองหรือขับๆหยุดๆ (City condition) ถ้าเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แนะนำเลือกใช้น้ำมันเบอร์ SAE 0W-20 เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง กรณีเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแนะนำ SAE 0W-30 หรือ SAE 5W-30
กลุ่มที่ 2 รถใช้งานระหว่างเมืองหรือขับทางไกล (Highway condition) ถ้าเป็นเครื่องยนต์เบนซิน แนะนำเลือกใช้น้ำมันเบอร์ SAE 0W-30, SAE 5W-30 กรณีเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแนะนำ SAE 5W-40
กลุ่มที่ 3 รถใช้งานหนักต่อเนื่องยาวนาน (Racing condition) เน้นการปกป้องเครื่องยนต์เป็นหลัก ส่วนมากจะเป็นเครื่องยนต์เบนซินเพื่อใช้ในการแข่งขันหรือเป็นรถที่โมดิฟายเครื่องยนต์มาให้มีการฉีดเชื้อเพลิงมากขึ้น ฉะนั้นเครื่องยนต์ประเภทนี้มีความเสี่ยงที่จะมีเชื้อเพลิงปนเปื้อนในอ่างน้ำมันเครื่องมากกว่าปกติเราจึงต้องเลือกเบอร์ที่มีฟิล์มหนาไว้ก่อนนะครับ แนะนำเลือกใช้น้ำมันเบอร์ SAE 5W-50, SAE 10W-60 แต่ถ้าเป็นการแข่งขันแบบเน้นอัตราเร่งระยะทางสั้นๆ เบอร์อาจใสลงได้แต่ควรเลือกประเภทที่เป็นพื้นฐาน Group IV + V เช่น SAE 5W-30, 5W-40, SAE 0W-40
2
มาตรฐานน้ำมันเครื่องที่ต้องการของรถเบนซินของญี่ปุ่น
รถยนต์ค่ายญี่ปุ่นประเภทเบนซิน ถ้าใช้ในเมืองแนะนำให้เลือกใช้ ตั้งแต่เบอร์ SAE 0W-20, SAE 5W-20 ถ้าเน้นปกป้องเครื่องยนต์วิ่งทางไกลบ่อย แนะนำ SAE 0W-30, SAE 5W-30, SAE 10W-30 ถ้าเป็นดีเซลแนะนำ SAE 0W-30, SAE 5W-30, SAE 10W-30 ค่ายรถญี่ปุ่นนั้นส่วนมากจะกำหนดมาตรฐานคุณภาพไว้ว่า ควรมีมาตรฐาน API ตั้งแต่ SL, SM, SN และถ้ามีมาตรฐาน ILSAC ด้วยก็จะดี เพราะจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงให้มากขึ้นนั่นเอง
สรุปการเลือกเบอร์น้ำมันเครื่องของรถค่ายญี่ปุ่น
1. การใช้งานในเมือง เครื่องยนต์เบนซิน แนะนำใช้ SAE 0W-20, SAE 5W-20 API SL/ILSAC GF-3, API SM/ILSAC GF-4, API SN/ILSAC GF-5 และเครื่องยนต์ดีเซล(กระบะ) แนะนำใช้ SAE 0W-30, SAE 5W-30, SAE 10W-30 API CF-4, API CH-4, API CI-4, APCJ-4
2. การใช้งานทางไกล เครื่องยนต์เบนซิน แนะนำใช้ SAE 0W-30, SAE 5W-30, SAE 10W-30 API SL/ILSAC GF-3, API SM/ILSAC GF-4, API SN/ILSAC GF-5
1
ค่าความหนืดที่ค่ายรถยุโรปต้องการ
รถยนต์ค่ายยุโรปมีความเข้มงวดในเรื่องมลภาวะจากไอเสีย(Emission regulation) ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมาดังนั้นสูตรน้ำมันเครื่องจะมีสองสูตร ได้แก่
สูตรแรก จะผสมสารปรับค่าดัชนีความหนืด(Viscosity Modifier)ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ทำให้เมื่อใช้งานที่ความร้อนสูงมากๆประมาณ 150C น้ำมันจะมีค่าความหนืดสูง(High HTHS)เน้นการปกป้องเครื่องยนต์ กำลังเครื่องไม่ตก ค่ายรถที่ต้องการน้ำมันเครื่องสูตรนี้คือค่าย VW, Opel, Daimler, BMW
สูตรที่สอง จะผสมสารปรับค่าดัชนีความหนืด(Viscosity Modifier)ที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำให้เมื่อใช้งานที่ความร้อนสูงมากๆประมาณ 150C น้ำมันจะมีค่าความหนืดต่ำ(Low HTHS)เน้นการประหยัดเชื้อเพลิง ดูแลสิ่งแวดล้อม ค่ายรถที่ต้องการน้ำมันเครื่องสูตรนี้คือค่าย VW, Opel, Ford, PSA
จากตารางเราจะพบว่าตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปี 2020 เบอร์ความหนืดที่ต้องการคือ SAE 5W-30 และ SAE 0W-30 ซึ่งในแต่ละเบอร์ของน้ำมันนั้นจะมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น SAE 5W-30 สำหรับรถ Ford, PSA(Peugeot / Citroën) จะมีความแตกต่างจากน้ำมัน SAE 5W-30 สำหรับรถ VW, Mercedes Benz, BMW สรุปว่ารถค่ายยุโรปเวลาเลือกใช้น้ำมันเครื่อง ควรเลือกทั้งเบอร์ความหนืดและสเปคคุณภาพของค่ายรถนั้นๆด้วยครับ
ความต้องการของผู้ผลิตรถยนต์
การเลือกน้ำมันเครื่องของรถค่ายยุโรปจะถูกกำหนดด้วยสเปคมาตรฐานคุณภาพก่อนครับ ว่าเครื่องยนต์รุ่นนั้นต้องการน้ำมันเครื่องสูตรไหนโดยสูตรน้ำมันจะแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือเป็นประเภทขี้เถ้าสูง(High SAPS)ซึ่งเหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลรุ่นเก่าที่ไม่มีกรองเขม่า(DPF) อีกประเภทหนึ่งคือประเภทขี้เถ้าต่ำ(Low SAPS)ซึ่งเหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลรุ่นใหม่ที่มีกรองเขม่า(DPF) ส่วนค่าความหนืดนั้นจะต้องสอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพด้วย เช่นรถ Porsche เบนซินจะต้องการมาตรฐาน Porsche A40 ความหนืดต้องเป็นเบอร์ SAE 0W-40, 5W-40 เท่านั้น แต่ถ้าเป็นเครื่องดีเซลจะต้องการมาตรฐาน Porsche C30 ความหนืดต้องเป็นเบอร์ SAE 0W-30, 5W-30 เท่านั้น ส่วนรถยนต์นั่งดีเซลค่ายญี่ปุ่นเช่นรถมาสด้าเครื่องยนต์ดีเซล CX-8, CX-5, CX-3, Mazda 2 และรถฮอนด้า CR-V ดีเซลก็ต้องการน้ำมันสูตรขี้เถ้าต่ำ(Low SAPS)นี้ด้วยครับ ส่วนค่าความหนืดที่ต้องการคือ 0W-30, 5W-30 ที่สำคัญที่สุดห้ามนำเอาน้ำมันเครื่องดีเซลสูตรขี้เถ้าสูง(High SAPS)ที่ใช้ในรถกระบะมาใช้กับรถยนต์นั่งประเภทนี้อย่างเด็ดขาดนะครับ เพราะจะทำให้กรอง(DPF)ตันได้ครับ
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจนะครับ ฝากกด Like กด Share ให้ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการสรรหาข้อมูลที่น่าสนใจมานำเสนอต่อไปครับ
1
โฆษณา