1. ไม่เป็นคนยึดติดกับวัตถุสิ่งของมากเกินไป
หลายคนคงรู้ดีว่า เครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นของภิกษุซึ่งมี 8 อย่าง เรียกว่า บริขาร ก็เพียงพอในการใช้ชีวิตอยู่ได้แล้ว ผมไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปบวชเป็นพระนะครับ แต่กำลังจะบอกว่า พระภิกษุทั้งหลาย ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมีวัตถุมากมายอะไร ก็มีชีวิตอยู่ได้เป็นปกติสุขแล้ว นั่นแปลว่าสิ่งอื่นๆที่เหลือคือสิ่งที่อาจเกินความจำเป็น มีก็ดี ไม่มีก็ไม่เป็นไร
หากเราไม่ยึดติดว่าต้องมีโน่น มีนี่ มีนั่น มากมายไม่รู้จบ แต่ระลึกไว้ว่า มีปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นพื้นฐานให้ดีก่อน ก็เป็นที่พอใจแล้ว
จงเป็นคนที่พอใจอะไรง่ายๆ ไม่ใช่ต้องไขว่คว้าโน่นนี่นั้นมาครอบครองไม่รู้จบรู้สิ้น
ที่บอกเช่นนี้ไม่ได้แปลว่าไม่ต้องซื้อวัตถุอะไรเลย แต่หมายความว่า ซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ และเป็นประโยชน์ว่าได้ใช้แน่นอนแล้วค่อยซื้อ ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยตามอารณ์กิเลสอยากได้อยากมีของตนเป็นหลัก เช่น
อาหารไม่จำเป็นต้องทานร้านหรูราคาแพงเป็นประจำ ไปทานเฉพาะโอกาสพิเศษก็พอ จะได้มีเงินเหลือเก็บ
เสื้อผ้าเอาที่ใส่แล้วดูดี ไม่ใช่ต้องแพงหูฉี่ เพราะบางคนใส่ของแพงก็ดูเหมือนของถูก บางคนใส่ของถูกก็ดูแพง ขึ้นอยู่กับการหาให้เหมาะสมกับรูปร่างหน้าตาและอายุของตนเองมากกว่า ลองเปิดดูตู้เสื้อผ้าสิครับจะเห็นว่ามีเสื้อผ้าตัวเก่งที่ใส่ประจำไม่กี่ชุดเอง ที่เหลือคือส่วนเกินทั้งนั้น
ที่อยู่อาศัย เอาที่พอสมควรตามฐานะ ไม่จำเป็นต้องซื้อบ้านหลังใหญ่เกินตัวแล้วปิดห้องที่ไม่ได้ใช้งานทิ้งไว้ให้โทรมเปล่าๆ แถมยังต้องทำงานตาเหลือกเพื่อหาเงินผ่อนบ้านไว้ให้คนรับใช้อยู่มากชั่วโมงกว่านายจ้าง เว้นแต่ท่านรวยมากซื้อบ้านเงินสด หรือ ได้มรดกมาก็ว่าไปอย่าง ผมเคยเจอหลายคนที่มีบ้านใหญ่โต เขาบ่นให้ผมฟังว่าตอนนี้เกษียณแล้วแก่แล้ว ลูกๆก็แยกตัวไปมีครอบครัวหมดแล้ว บ่นว่า “แค่ทำความสะอาดบ้านก็หมดแรงและหมดเวลาทั้งวัน อยากขายบ้านจัง”
การรักษาตัวก็เช่นกัน หัดหาความรู้เรื่องโรคพื้นฐานที่ดูแลรักษาด้วยตนเองได้ แบบไหนจึงควรรีบไปพบแพทย์ ไม่ใช่ว่าไอสองสามแคก ก็รีบไปหาหมอ แถมยังไปโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงๆอีก แบบนี้มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอครับ เริ่มจากไปคลินิกประกันสังคม หรือ คลินิกใกล้บ้านก่อนก็ได้ หมอเหมือนกัน หมอเก่ง หรือ ไม่เก่งไม่ได้ดูกันที่ขนาดของสถานที่ครับ