10 มี.ค. 2021 เวลา 13:14 • ยานยนต์
นี่เป็น Post แรกของผมสำหรับ Blockdit นะครับเป็นบทความที่ผมเคยเขียนไว้ใน Platform อื่น ถูกใจ ไม่ถูกใจอย่างไร น้อมรับคำติชมครับ
1
Royal Enfield Classic 500
"สไตล์เก่าที่เก๋าแต่ไม่แก่"
Part 1
"ก่อนจะเข้าเรื่องขอเกริ่นซัก 3 ย่อหน้านะครับ ถ้าใครจะข้ามไปช่วงรีวิวก็โดดไปย่อหน้าที่ 4 ได้เลย"
จะเริ่มต้นรีวิวรถซักคัน คงไม่มีคันไหนดีเท่ารถตัวเอง เพราะเราใช้มันทุกวันเราจะรู้ดีว่ามันเป็นยังไง โดยการรีวิวรถในแบบของผมนั้น ผมจะตั้งสมติฐานว่า รถทุกคันดีหมดเพียงแต่ว่าจะเหมาะกับใครเท่านั้นเอง จะว่าไปก่อนหน้านี้ผมก็ทำคลิปรีวิวลง YouTube channel ของตัวเองมาแล้ว (ลองเข้าไปดูกันได้ตาม Link นี้ครับ https://youtu.be/RJDuwAUcPb8) มันก็มีคนเข้ามาดูอยู่เรื่อย ๆ แต่ตอนนั้นก็เพิ่งเริ่มทำเป็นคลิปแรก ๆ คลิปก็เลยออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร เสียงพูดก็เบาเพราะไม่มีไมค์ เสียงรบกวนก็เยอะบางอย่างก็พูดผิด ถึงขั้นมีคนคอมเม้นมาให้ความเห็นว่า "คุณพูดเบาไป คุณสลัด" อันนี้ผมลดทอนความรุนแรงของคำให้ดู soft ลงนะครับ ของจริงมันแรงกว่านี้ ผมก็เลย reply ตอบขอโทษขอโพยกันไป ที่นี้พอมาเริ่มเขียน blog ก็เลยจะขอแก้ตัวใหม่ เพราะว่าการถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือมันง่ายกว่าชัดเจนกว่าผิดก็แก้ แต่เสียก็ตรงที่เมื่อยมือหน่อยก็เท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านเผื่อใครกำลังจด ๆจ้อง ๆ อยากจะถอยมาไว้ในครอบครองซักคัน จะได้ตัดสินใจง่ายขึ้นครับ
ถ้าจะพูดถึงประวัติ Royal Enfield นั้นมีมายาวนานมากถึงมากที่สุด จนแทบจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรก ๆของโลกเลยก็ว่าได้ผมคงไม่ได้ลงลึกแต่ถ้าหากใครสนใจก็ไปหาอ่านได้ที่ website ของเขาเลยตาม Link นี้นะครับ https://www.royalenfield.com/th/th/home/since-1901/ หลังจากที่ผมไปงานเปิดตัวศูนย์ลพบุรี มีอยู่ประโยคหนึ่งที่ทาง Royal Enfield บอกไว้ชัดเจนว่า "เป้าหมายของเรา คือการผลิดรถ Classic" ด้วยประโยคนี้ผมจึงไม่แปลกใจ ว่าทำไมรถของ Royal Enfield แต่ละรุ่นถึงได้ออกมาหน้าตาดิบ ๆ ถูกใจสายวินเทจเป็นยิ่งนัก แม้กระทั่ง Interceptor 650 หรือ Continental GT 650 ที่ออกมาในปี 2017 ก็ยังคงความดิบซึ่งเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างลงตัว
พูดถึงเรื่องความดิบผมขอขยายความคำว่าดิบของผมอีกซักหน่อย นั่นคือคุณจะมีรถมอเตอร์ไซค์ที่เป็นรถมอเตอร์ไซค์เพียว ๆ เทคโนโลยี่อำนวยความสะดวกนั้นหาได้น้อยมาก แบรก ABS เครื่องยนต์หัวฉีด หรือแม้กระทั่งการมีเรือนไมล์ที่เป็น digital ในส่วนของมาตรวัดน้ำมันและ ODO นี่ก็ถือว่าใหม่มากแล้ว ฟังดูแล้วเหมือนเป็นจุดอ่อน แต่ผมกลับมองเป็นจุดแข็งอย่างมากของ Royal Enfield ที่จะครอบครองใจนักบิดสายวินเทจไว้ได้ยาวนาน และความดิบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ก็ยังคงถ่ายทอดมาจากอดีตกาลผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านกลิ่นควันปืนและไอสงครามมาจนถึงปัจจุบันแล้วมาฝังตัวอยู่กับรถมอเตอร์ไซค์สองรุ่นที่ดูเหมือนว่าจะมีชีวิตอมตะ อย่างเจ้า Bullet และ Classic 500 ซึ่งในบทความนี้ผมจะบรรยายถึงสรรพคุณของเจ้า Classic 500 ที่ผมไปสอยมาไว้ในครอบครองจนเกี่ยวดองเป็นมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปโดยปริยาย
ใน Part ที่ 1 นี้เรามาว่ากันด้วยเรื่องสเปคกันก่อน
 
ในที่นี้ผมคงกล่าวรวมการดูและไปด้วยในบางจุด และเนื่องจากผมใช้รถคันนี้มาเป็นระยะเวลา1ปีเดินทางไปเกือบ 20,000 กม. จึงได้รู้ตื้นลึกหนาบางของมันพอควร บางบทความอาจดูเหมือนรถคันนี้มีข้อติมากมาย แต่ถ้าคุณอ่านไปจนจบ part 2 แล้วพอจับความรู้สึกผมได้จะรู้ว่าทำไมผมถึงได้รักมันนัก ชนิดทีว่า "ถ้าให้เลือกอีกกี่ทีผมก็ยังจะซื้อมันมาขับอยู่ดี"
Royal Enfield รุ่น Classic จำหน่ายที่ไทยจะอยู่ในพิดกัด 500 cc เครืองยนต์หัวฉีด แต่ที่อินเดียยังมีรุ่น 350 cc คาบูเรเตอร์ขายอีกด้วย ซึ่ง Design โดยรวมของตัวรถ มองปร๊าดเดียวก็รู้ทันทีว่านี่เป็นรถ classic แค่เริ่มต้นจากหัวรถก็เป็นสิ่งที่ไม่มีรถในยุคปัจจุบันคันไหนมี
คือโคมไฟหน้าทรงกลมแบบย้อนยุค ไม่รู้เขาเรียกทรงอะไรแต่ผมขอเรียกว่าทรงโพธ์ดำ โดยด้านบนของโคมได้ฝังเรือนไมล์แบบเข็มที่มีตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 160 km/h (ใครบิดถึงบอกผมหน่อย) และมีคำว่า Royal Enfield อยู่ที่ตัวเรือน โดยไม่มีอะไรที่เป็น digital เลยแม้กระทั่งตัวเลขบอกระยะทางรวม ฝั่งซ้ายเป็นรูเสียบกุญแจ ฝั่งขวาจะเป็นไฟแสดงสถานะ น้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันเครื่อง ไม่มีมาตรวัดนะครับน้ำมันพร่องเมื่อไรไฟจะเตือนสีส้ม ส่วนเวลาเดินทางก็ไม่ต้องกังวลนะครับ ไฟน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มขึ้นเมื่อไรวิ่งได้อีกร่วม 50 กว่าโล เจอปั๊มเติมทันแน่นอน
ตัวรถเป็นเหล็กทั้งคันตั้งแต่บังโคลนหน้ายันบังโคลนท้าย ทำให้รถมีน้ำหนักถึง 194 ก.ก. ซึ่งก็ถือว่าหนักพอควรเวลาซอกแซกช่วงรถติด สำหรับคนตัวเล็กสูง 165 ซม. อย่างผมเพราะตัวรถสูง 1090 มม. ทำให้วางเท้าที่พื้นได้ไม่เต็มถ้าคนสูงซัก 175 ก็หน้าจะพอดี แต่พอผมใช้งานไปสักพักก็เริ่มชินแล้วยิ่งไปปาดเบาะลงมาอีกครึ่งหนึ่งก็ช่วยได้เยอะ
ตัวเครื่องยนต์เป็นเครื่องเป็นเครื่องสูบเดียวระบบหัวฉีดระบายความร้อนด้วยอากาศที่ขนาด 499 cc. ปัดเศษที่ 500 ถ้วน ช่วงชักยาวรอบต่ำให้แรงบิดที่เหลือกำลัง 41.3 นิวตั้นเมตรที่ 4000 รอบ เพื่อทะยานขึ้นทางชัน ส่วนแรงม้าให้มา 27.2 ตัวที่ 5250 รอบ ซึ่งบอกได้เลยว่ารถคันนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อความเร็วดังนั้นอย่าคาดหวังครับ อีกทั้งเกียร์มี 5 speed และมีช่วงว่าระหว่างเกียร์ค่อนข้างกว้างหากจะขับให้ smooth มือและเท้าของคุณต้องสัมพันธ์กันอย่างเป็นหนึ่งเดียว แต่ความ classic ของตัวเครื่องยังไม่หมดแค่นั้นตัววาล์วเปิดปิดยังเป็นแบบก้านกระทุ้ง ทำให้มีเสียงติ๊ก ๆ ดูโบร้านโบราณ แถมถ้าใครแต่งท่อมานี่ หลับตาฟังสามารถรู้ได้แต่ไกลว่ารถคันนี้ไม่รุ่น Classic ก็ Bullet เพราะมันจะมีความลั่นทุ่งให้สุ้มเสียง ตับ ตับ ตับ ตับ ตับ มาในจังหวะ slow แบบสม่ำเสมอซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่เครื่องยนต์ไหน ๆก็ไม่สามารถมีให้คุณได้ ตบท้ายด้วยคันสตาร์เท้า แม้จะมีสตาร์ทมือมาให้แต่การมีคันสตาร์ทเท้าก็สร้างความเท่ห์ให้รถคันนี้พอควร จนหลายต่อหลายคนต้องถ่ายรูปโพสต์ท่าตอนสตาร์ทเท้ากันนักต่อนัก ผมก็ทำ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ส่วนตัวแฟรมนั้นเป็นรูปแบบเฉพาะของรุ่นนี้เนื่องจากไม่ได้ทำเป็นเปลมาโอละเห่รองรับเครื่องยนต์ หากแต่ใช้ตัวเครื่องเป็นตัวยึดแฟรมด้านล่างส่วนหน้ากับหลังเข้าด้วยกัน และนี้ก็เป็นต้นกำเหนิดแห่งชื่อเสียงด้านการสั่นของตัวเครื่องถึงตัวคน เพราะไม่มีเทคโนโลยี่ซับแรงกันสั่นที่เขาใส่มาให้อย่างในรถสมัยใหม่ เพราะถ้าใส่มันก็ไม่ classic พูดก็พูดเถอะผมเสพติดความสั่นของมันไปแล้วมันเหมือนฟังจังหวะกลองของเพลงแนวฟั้งค์ที่ Saxophone pub ยังไงยังงั้น แต่กับเรื่องความทนทานแล้วหายห่วงครับ รถคันนี้ถูกพิสูจน์ด้วยการเป็นรถที่ถูกนิยมใช้เดินทางไปเลห์ ลาดัก ประเทศอินเดีย ใต่ถนนที่สูงที่สุดในโลกบนเทือกเขาหิมาลัย ผ่านทั้งทางดำทางฝุ่นทางหิน คนอินเดียใช้รถรุ่นนี้เดินทางมาหลายปีถ้าของมันไม่ดีคงอยู่ไม่ได้ถึงทุกวันนี้ (ผมไม่ได้ไปเองนะดูในคลิป แนะนำให้ดู Viewfinder ของคุณภูริ เพื่อสร้างแรงบัลดาลใจครับ)
มาต่อที่ โช๊คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิค ขนาด 33 มม. ระยะยุบตัว 130 มม. ถูกหุ้มด้วยปลอกเหล็กที่เป็นชิ้นงานเดียวกันกับแผงเรืองไมล์ ทำให้ไม่โชว์ท่อแป๊บของก้านโช๊คด้านใน ส่งผลให้รถดูบึกบึนขึ้น ส่วนเรื่องความนิ่มนวลโช๊คคู่หน้านี้สร้างความนุ่มนวลได้ดีกันดาลแค่ไหนก็เอาอยู่ อย่าไปถึงขั้นเอ็นดูโร่แล้วกันเอ๊ะแต่ก็ไม่แน่นะอาจไปได้เพียงแต่ไม่เคยลอง
ส่วนโช๊คอัพหลังก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่แพ้โช๊คหน้า ด้วยโช๊คแก๊สมีซับแท้ง ปรับพรีโหลดได้ 5 ระดับ ระยะยุบตัวที่ 80 มม. ถึอเป็นโช๊คที่นิ่มมากทีเดียวแต่ไม่หนึบนะครับ ดังนั้นถ้าใช้รวมกับความเร็วที่เหมาะสมของรถคันนี้แล้วล่ะก็ถือว่าลงตัว แต่หากขับเร็วเกินไปอาจมีอาหารย้วยบ้าง ก่อนเข้าชิ้นส่วนถัดไปขอกล่าวถึงพรีโหลดของสปริงซักหน่อยผมมีความเชื่อว่าท่านผู้อ่านบางท่านย้ำแค่บางท่านนะครับ อาจยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าพรีโหลดคือการปรับความนิ่มความแข็งของสปริง ซึ่งที่จริงแล้วมันเป็นการปรับสปริงให้ยืดหดเพื่อเพิ่มลดระยะยุบตัวของโช๊คอัพนะครับ ความแข็งอ่อนของสปริงยังคงเดิม
ไหน ๆก็มาที่เรื่องความนิ่ม ขอวกเข้าเรื่องเบาะนะครับโดยเบาะที่ติดรถมาเป็นเบาะเดี่ยวมีสปริงด้านหลังช่วยลดแรงกระแทก อันนี้ผมว่าต้องสำหรับคนมีน้ำหนักตัวเยอะสักหน่อยถึงจะดี ส่วนผมตัวนิดเดียวน้ำหนักตัวก็เบา แถมเวลานั่งก้นก็ไปอยู่ที่ปลายด้านหน้าของเบาะ สปริงจึงไม่ได้มีผลอะไรแต่ก็ไม่ใช่ปัญหานั่งสบายอยู่ครับ ปัญหามันอยู่ที่เบาะหลังนี่แหละ ก็อย่างว่ารถคันนี้ตอนขายทำมาเป็นเบาะเดี่ยวดังนั้นเบาหลังจึงเป็นเบาะเสริมซึ่งมีจุดยึดอยู่ที่เบ้าน็อตหัวโช๊คหลังและใต้เบาะหน้า ตัวเบาะเป็นทรงขนมปังและด้านในเป็นโฟมฉีดขึ้นรูป ถึงแม้เราจะมีโช๊คอัพที่นิ่มมากแต่ตัวเบาะก็สามารถส่งแรงสั่นสะเทือนจากดุมล้อถึงเบาะได้อย่างดี ภรรยาผมเธอจึงบ่นเมื่อยและปวดตรูดอยู่เสมอทั้ง ๆที่ท่านั่งแสนสบาย ผมแก้ไขด้วยการปาดเบาะให้เรียบแล้วฝังเจล สรุปว่าคิดผิดครับ เจลไม่ได้ทำให้มันนิ่มขึ้นเลยตอนใช้นิวจิ้มเหมือนจะนิ่มแต่ถ้าลองเอาฝ่ามือวางถึงรู้ว่ามันแข็งเหมือนเดิม แต่ผมก็เพิ่งไปทราบทางแก้มาจากผู้รู้ท่านหนึ่งว่าเราควรให้ร้านเบาะเปลี่ยนเอาโฟมออกแล้วเอาฟองน้ำใส่จากนั้นจัดทรงใหม่ก็จะนั่งสบายขึ้น อันนี้ผมยังไม่ได้ลองนะครับยังเสียดายตังค์ค่าเจลอยู่ แต่คงทำเร็ว ๆนี้แน่ แต่ถ้าหากใครไม่ชอบทรงเบาะเดิมก็มีเบาะแต่งให้เลือกมากมายทั้งเบาะยาวเบาะแยก ก็ลองไปหาดูนะครับหาไม่ยาก search google แป๊บเดียวก็เจอ เรื่องนี้ยาวหน่อยนะครับเพราะมันเป็นปัญหาของผมจริง ๆ ถ้าแฟนนั่งไม่สบาย จะเดินทางไกลได้อย่างไรล่ะจริงป่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ต่อไปมาถึงจุดที่ผมว่ามันสวยที่สุดของรถคันนี้แล้วแหละนั่นคือถังน้ำมัน ซึ่งรุ่นที่ผมซื้อมาเป็นรุ่น Classic Chrome ดำ จึงใด้สีโครเมี่ยมคาดดำตัดด้วยเส้นสีทองขุ่น ๆเขียนด้วยมือตามสไตล์ Royal Enfield ตัวถังน้ำมันเป็นทรงหยดน้ำ ความจุ 13.5 ลิตร ซึ่งประหยัดน้ำมันที่ 30 กม./ ลิตร พาผมเดินทางไป-กลับกรุงเทพ-พัทยา ได้ด้วยน้ำมันถังเดียว (หมดไปประมาณ 9 ลิตร) แถมยังเหลือให้วิ่งได้อีกหลายกิโล และยิ่งเจอแสงไฟยิ่งให้ความสวยสะดุดตา ส่วนฝาถังแบบที่ขายในไทยเป็นแบบหมุนเกลียวชุบโครเมี่ยมเงาแว๊บ แต่ไม่ไม่กุญแจล็อค ส่วนรุ่นที่มีกุญแจจะขายที่ต่างระเทศผมจำไม่ได้ว่าประเทศไหน ส่วนของแต่งที่เป็นกุญแจก็มีนะครับ ลองหากันดู ติดนิดนึงตรงวิธีการเติมน้ำมัน ถังรุ่นนี้รูเติมมันเล็กนิดเดียวเวลาพนักงานเติมน้ำมันเขาเติมให้ต้องบอกให้แหย่ลึก ๆ แต่พอลึกเกินไปหัวจ่ายมันก็ตัดต้องแบบพอดี ๆ หลายครั้งที่พนักงานเติมแล้วน้ำมันกระฉอกเลอะถังไปหมด ผมจึงต้องพกผ้าเช็ดไว้เสมอครับ แหย่หัวจ่ายลงถังปุ๊บเอาผ้าห่อปั๊บ อุ่นใจ เรื่องฝาถังนี่ยังมีอีกเรื่องครับ อาจเกิดกับผมคนเดียวเพราะความสูงเราไม่ผ่านเกนฑ์ เวลาเที่ยงวันแสงแดดสะท้อนฝาถังเข้าเบ้าตาพอดีเป๊ะแต่ก็เลี่ยง ๆเอาได้
คราวนี้มาที่เรื่องเบรกกันบ้างเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรกสองลูกสูบ ส่วนเบรกหลังเป็นดรัมเบรก ซึ่งถ้าเป็นรุ่นสีด้าน ๆทั้งหลาย เช่น Stealth Black, Squadron Blue หรือ Desert Green จะได้ Disk เบรกหลังมาด้วย อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ แต่ผมว่าหน้าดิสก์หลังดรัมก็เพียงพอแล้วสำหรับรถคันนี้ ซึ่งตามสไตล์เบรกดรัมใช้ไปนาน ๆเสียงจะดังอี๊ด ๆ แต่แก้ไขง่ายมากครับก็แค่ถอดออกมาเอากระดาษทรายหยาบลูบ ๆที่ตัวผ้าเบรกก็หายแล้วครับเดี๋ยวจะบอกวิธีถอดตอนบรรยายเรื่องล้อ
มากันถึงตัวล้อซึ่งเป็นล้อซี่ลวดทำจากเหล็กชุบโครเมียม ให้ความนิ่มนวลตามสไตล์ล้อซี่ลวดแถมมาด้วยยางหน้าขนาด 90/90-19นิ้ว ยางหลัง 110/80-18นิ้ว ยางที่ให้มาเป็นยาง tubeless แต่ก็มียางใน (ถ้าดูในคลิปผมพูดผิดว่าไม่มียางใน) เนื่องจากเป็นซี่ลวดแบบธรรมดาแทงมาตรง ๆโครงล้อ คงเป็นเรื่องยากที่จะกักลมไว้ได้ ดังนั้นเดินทางไกลพกยางในกับที่ปะยางไปด้วยนะครับหมดสิทธิ์แทงหนอน ส่วนแรงดันลมยางตามคู่มืออยู่ที่ ล้อหน้า 18 psi ล้อหลัง 28 psi ขนาดนี้เหมาะสมดีครับถ้าอัดมากกว่านี้กระด้างไปครับ ขับไม่สบายผมลองมาแล้ว
อันนี้เป็นส่วนที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษในตัวรุ่นที่เป็นดรัมเบรก คือส่วนตัวล้อหลังช่วงเบรกและโซ่อยู่ฝั่งเดียวกัน ตัวแป้นเบรกยึดกับสวิงอาร์มและอยู่ฝั่งเดียวกับโซ่ ทำให้เวลาจะถอดล้อออกมา service เช่นเปลี่ยนยางทำได้เพียงแค่ไขน็อตเบอร์ 24 ตัวนอกตัวเดียว ไม่ต้องยุ่งกับโซ่หรือตั้งเบรกใหม่ อันนี้เหมาะสำหรับนักเดินทาง ถึงยางจะแทงหนอนไม่ได้แต่ก็ ถอดมา service ได้ไม่ยากเย็น ส่วนถ้าจะถอด service ผ้าเบรกก็ขันน็อตตัวเบ้อเริ่มด้านในเบอร์ 30 ก็ถอดได้อย่างง่ายดาย
ต่อไปเรื่องแฮนด์เป็นแฮนเดิลบาร์สไตล์วินเทจยึดด้วยแผ่นโลหะประกบที่ใต้เรือนไมล์ ขนาดกว้างกำลังดีพอใช้งานได้คล่องตัวทั้งในเมืองและนอกเมือง แต่กระจกมองหลังที่ให้มาจะสั่นตามเครื่องยนต์ไปซักหน่อยทำให้มองไม่ชัดในบางจังหวะรอบเครื่องอันนี้ก็เปลี่ยนกันได้มีขายเยอะ
ผมคงจบเรื่องสเปคที่เรื่องของลายเส้นตัวรถนะครับ โดยขั้นตอนการผลิดนั้น Royal Enfield จงใจใช้คนวาดด้วยมือแทนที่จะใช้เครื่องจักรพิมพ์มันขึ้นมา การมีลายเส้นเขียนด้วยมือนี้ทำให้บางจุดมีตำหนิหรือความไม่สม่ำเสมอบ้าง ในสายตาของผมนั้นเป็นจุดขายที่ชัดเจนของมัน เพราะความไม่เนียบนำมาซึ่ง identity หรืออัตลักษณ์ที่แต่ละคันไม่มีทางเหมือนกัน เช่นเดียวกับมนุษย์แม้ฝาแฝดก็ยังมีจุดต่าง ดังนั้น รถของคุณก็คือรถของคุณอย่างแท้จริง
จบ Part 1
ฝากติดตามรายการลัดเลาะด้วยมีทั้งรีวิวที่เที่ยวและยานพาหนะครับออกอากาศทาง YouTube ช่อง TraverseRE
#royalenfieldclassic
#รีวิวมอเตอร์ไซค์
โฆษณา