10 มี.ค. 2021 เวลา 14:24 • หนังสือ
Make Time : How to Focus on What Matters Every Day
(ยุ่งจริง หรือแค่คิดไปเอง)
ความแปลกของหนังสือเล่มนี้คือ เนื้อหาหลักของมันเกี่ยวกับการจัดการ,การลด, การควบคุมการใช้เทคโนโลยีอย่างอีเมล สมาร์ทโฟน, โซเซียลเน็ตเวิร์ค ในแต่ละวันให้เหมาะสมจะทำให้เรามีเวลามากขึ้น
แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกเขียนโดยสองนักเขียนที่อดีตทำงานในบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Google โดยทั้งคู่เรียกตัวเองว่าเป็นคนเฉิ่มคลั่งเวลา
ถ้ามองจากหน้าปกแล้วดูเป็นหนังสือสอนการบริหารเวลาธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไร แต่พอได้หยิบมาลองเปิดดูเห็นว่ามีหลายหัวข้อที่น่าสนใจและเนื้อหาเข้ากับยุคสมัย
แนวคิด Make Time ไม่ได้เกี่ยวกับการทำแล้วประสบความสำเร็จในชีวิต แต่เป็นแนวคิดที่ช่วยให้ผู้อ่านมีเวลาในแต่ละวันมากขึ้น
ผู้เขียนเสนอวิธีการมาทั้งหมดร่วม 87 วิธี ถ้าเขียนสรุปหมดน่าจะยาวไปเลยขอยกมาแค่ตัวอย่างบางข้อ
1) กันปฏิทินเอาไว้
ถ้าเราเริ่มต้นวันด้วยปฏิทินโล่งๆ เราก็สามารถกำหนดสิ่งที่เราโฟกัสจะทำให้เสร็จในแต่ละวันได้ง่าย แต่โอกาสนั้นมันช่างเหมือนเดินๆอยู่แล้วเจอแบงก์พันบนทางเท้า
ผู้เขียนเสนอให้เราทำตัวเป็นฝ่ายรุกไม่ใช่ฝ่ายรับ กล่าวคือให้ชิงกดนัดตัวเองไว้ก่อนเลย กำหนดว่าในช่วงนี้เราต้องทำอะไรให้เสร็จ แต่ก็ไม่ควรโลภมากโดยการกันไว้ทั้งวันควรเหลือเวลาให้คนอื่นนัดประชุมด้วย โดยอาจจะเริ่มต้นซักวันละ 1-2 ชั่วโมง
2) ใช้โทรศัพท์ที่ปลอดสิ่งดึงดูดความสนใจ
วิธีการที่ extreme สุดที่ผู้เขียนนำเสนอเลยก็คือการลบ Social Network, Chat, Web browser ออกจากโทรศัพท์ไปเลย ซึ่งน่าจะทำได้ยากสุด แต่ผู้เขียนก็มีเสนอวิธีที่ soft กว่านั้น เช่น
- การ log out จากอีเมล เฟสบุค ทวิตเตอร์ แล้วตั้งรหัสใหม่ให้กดเข้ายากๆ เช่น e$yQK@iYu เพื่อเป็นแรงเสียดทานเวลาอยากกลับเข้าไปเล่น
-การปิดการแจ้งเตือน เหลือไว้แต่เท่าที่จำเป็น เช่น ปฏิทินนัดหมาย เมื่อไรก็ตามที่แอพใหม่ถามว่า "ขอแสดงการแจ้งเตือนได้ไหม" ให้เลือกว่า "ไม่"
-ล้างหน้าจอ Home Screen ในโทรศัพท์ให้เหลือหน้าว่างๆ แล้วเอาแอพที่กินเวลาไปไว้หน้าไกลๆ ให้เราต้องปัดหาซัก 3-4 ครั้ง เพื่อเป็นการถามตัวเองว่า ฉันอยากว่อกแว่กตอนนี้จริงๆหรือ
-สวมนาฬิกาข้อมือ เมื่อไรก็ตามที่อยากรู้เวลาแค่เราเหลือบดูโทรศัพท์ก็อาจจะถูกดึงดูดได้โดยง่าย ถ้าเราสวมนาฬิกาข้อมือก็สามารถเลี่ยงและเอาโทรศัพท์ไว้พ้นจากสายตาเราได้แล้ว จากผลการวิจัยพบว่าคนเราใช้เวลาเฉลี่ย 23 นาที 15 วินาที ในการกลับไปมีสมาธิเต็มที่ในการทำงาน
-ทิ้งโทรศัพท์ไว้ การทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้านเลย หรือปิดเครื่องไปเลยอาจฟังดูน่าสยองไป เราอาจจะใช้วิธีสุดขั้วน้อยลงมาหน่อยอย่างเปลี่ยนจากใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงเป็นใส่ในเป้ หรือเมื่อกลับมาบ้านก็หาลิ้นชักใส่ไว้ไม่ให้อยู่ใกล้ตัว
3) ทำตัวเป็นแฟนคลับไม่แท้
เราอาจจะคิดไม่ถึงว่าการเป็นแฟนคลับทีมกีฬา ต้องทำให้เราเสียเวลาไปเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการตามข่าว ตามอ่านบทความวิเคราะห์ ตามผลการแข่งขัน การดูถ่ายทอดสด การดูไฮไลท์ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องใช้พลังงานทางอารมณ์อีก พอทีมของเราแพ้ เราอาจจะรู้สึกแย่ไปหลายชั่วโมงหรือเป็นวัน
ผู้เขียนไม่ได้บอกให้เลิกติดตามไปเลย แต่ให้ติดเฉพาะแค่โอกาสหรือแมทสำคัญ เลิกอ่านข่าวเวลาทีมแพ้ เรายังรักทีมของเราอยู่ แต่ก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นมากขึ้นด้วย
4)จัดการกับอีเมลแบบค่อยเป็นค่อยไป
ผลการวิจัยจาก McKinsey Global Institute เผยว่าพนักงานบริษัทใช้เวลาทำงานจริงเพียง39% ส่วนอีก 61% หมดไปกับการติดต่อสื่อสารประสานงาน (พูดคุย ตอบแชท ตอบอีเมล)
ผลวิจัยระบุว่าถ้าเราเช็กอีเมลน้อยลง เราจะเครียดน้อยลงและยังควบคุมอะไรได้เช่นเดิม การเช็กอีเมลน้อยลงทำให้มีเวลาเพิ่มขึ้นมากจนเห็นผลได้จริงๆ
5)เปิดเพลงคลอ
สมองคนเรามักไวต่อสัญญาน สัญญานยังเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราทำอะไรซักอย่าง ทำให้เกิด "วงจรพฤติกรรม" ผู้เขียนแนะนำให้หาเพลงที่เราชอบแต่ไม่ได้ฟังบ่อยๆ เปิดคลอเมื่อเราอยากใช้สมาธิขั้นสูง เมื่อทำซ้ำไม่กี่หนเสียงเพลงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพฤติกรรม การฟังเพลงนั้นจะเป็นทั้งสัญญานและรางวัล
6)ใช้กาเฟอีนให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ผู้เขียนอ้างอิงผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุว่าช่วงเวลาเหมาะสมที่เรากินกาแฟได้โดยยังคงรักษาระดับพลังงานให้คงที่และไม่กระตุ้นระบบประสาทมากเกินไปจนรบกวนการนอน คือ
ดื่มถ้วยแรกช่วง 9.30-10.30
ดื่มถ้วยสุดท้ายช่วง 13.30-14.30
นอกจากนั้นผู้เขียนยังได้แนะนำให้เราเรางีบหลับในช่วงเที่ยง 15 นาทีหลังดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีนต้องใช้เวลาซักพักถึงเข้าสู่กระแสเลือดและส่งไปสมอง พอเราตื่นขึ้นมาคาเฟอีนจะช่วยให้เราสดชื่นขึ้น ผลการศีกษาพบว่าการงีบหลังดื่มกาแฟช่วยพัฒนาด้านการรู้คิดและความทรงจำมากกกว่าการดื่มแต่กาแฟ หรืองีบเพียงอย่างเดียว
7)ใช้เวลากับเผ่าของคุณ
ในชีวิตประจำวันเราจะต้องติดต่อกับคนหลากหลาย แต่ในจำนวนนั้นจะมีซักกี่คนที่เราคุยด้วยจริงๆและมีบทสนทนาที่มีความหมาย ชีวิตสมัยใหม่มีความย้อนแย้งอันโหดร้าย ผู้คนมากมายห้อมล้อมเรา แต่เรากลับรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งกว่าตอนไหนๆ
ผู้เขียนแนะนำให้เราคิดถึงคนที่เราสนิทใจและมอบพลังงานให้เราทุกครั้งที่คุยกัน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คุยกับเขาหรือเธอคนนั้นจริงๆ จะคุยตัวต่อตัวหรือทางโทรศัพท์ก็ได้แต่อย่างน้อยต้องได้ยินเสียงพูด ไม่ใช่เป็นตัวหนังสือ ได้คุยแค่สัปดาห์ละครั้งก็ถือว่าเป็นการชาร์จแบตเตอรี่ในตัวเราได้อย่างดีแล้ว
สุดท้ายผู้เขียนเน้นย้ำว่าเราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย ถ้าเราลดสิ่งดึงดูดความสนใจสักหน่อย เพิ่มพลังงานทางกายและใจมากขึ้น และเพ่งความสนใจไปที่แสงสว่างเพียงจุดเดียว วันธรรมดาๆก็กลายเป็นวันไม่ธรรมดาได้ ไม่ต้องมีปฏิทินโล่ง แค่มีเวลาโฟกัสกับบางอย่างที่พิเศษเพียง 60-90 นาทีก็พอ เป้าหมายคือหาเวลาให้สิ่งสำคัญ ปรับสมดุล และสนุกกับวันของเรามากขึ้นอีกนิด
โฆษณา