10 มี.ค. 2021 เวลา 14:29 • หนังสือ
รู้หรือไม่? ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ พวกเราจะเป็นคนรุ่นแรกๆที่อายุเฉลี่ยยืนยาวถึง 100 ปี เป็นผลมาจากพัฒนาการทางด้านโภชนาการ เทคโนโลยี การวินิจฉัยโรคได้ทันท่วงที ไปจนถึงการรักษาที่ให้ผลดีขึ้น
คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วเราจะใช้พรข้อนี้ให้คุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้ได้แนะนำว่าเราจะต้องรื้อชีวิตมาออกแบบกันใหม่เลยทีเดียว
ต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้เขียนเชื่อว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปอันเป็นผลจากเวลาที่เพิ่มขึ้น
1.คนจะทำงานจนอายุเกิน 70 หรือ 80 ปี
แน่นอนการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นหมายถึงเราต้องการใช้เงินมากขึ้น ผู้เขียนคำนวนว่าถ้าเราอยู่ได้ถึงอายุ 100 ปี โดยที่มีเงินเก็บ10% ของรายได้และอยากเกษียณโดยมีเงินร้อยละ 50 ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย เราจะเกษียณได้ตอนอายุราวๆ 80 ปี
2.จะเกิดงานใหม่ๆ และทักษะใหม่ๆ
ในอนาคตหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทนที่มนุษย์มากขึ้น ถ้าเรายังอายุขัยเฉลี่ยเท่าเดิม เราก็จะยังใช้ความรู้เดิมที่มีมาทำงานต่อไปจนเกษียณได้ แต่ถ้าเราต้องทำงานจนอายุเกิน 70 ปี จะอาศัยแค่ความรู้ที่มีคงไม่พอ เราจะจะต้องลงทุนเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อให้ตัวเองยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
3.ชีวิตขยับขยายเป็นหลากหลายขั้น
ปัจจุบันชีวิตของคนส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย 3 ขั้น การเปลี่ยนผ่านหลักๆเกิดขึ้นสองครั้ง ได้แก่ จากชีวิตการเรียนสู่การทำงาน และจากการทำงานสู่การเกษียณ
ผู้เขียนเชื่อว่าต่อไปชีวิตหลากหลายขั้นจะเกิดขึ้นมาแทน คนเราอาจทำอะไรหลายๆอย่างได้มากขึ้น เราอาจจะทำงานหาเงินที่เราต้องทุ่มเทเวลา แต่ในอีกขั้นหนึ่งเราจะหาสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเจอ หรืออาจมุ่งหาโอกาสทำงานที่ช่วยสังคมได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
พรประการหนึ่งของชีวิตที่ยืนยาวขึ้นคือเราไม่ถูกบังคับให้เลือกทางใดทางหนึ่งอีกต่อไปแล้ว
4.การใช้เวลาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ จะสำคัญกว่าการใช้เวลาสันทนาการ
เดิมทีเรามองว่าเวลาว่างเป็นเวลาที่เราไม่ทำอะไรนอกจากนอนดูหนังบนโซฟา การใช้เวลาว่างในการผ่อนคลายเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่หากชีวิตยืนยาวขึ้น เวลาว่างเท่ากับเวลาแห่งการลงทุนกับการเสริมทักษะ สุขภาพ และความสัมพันธ์
5.เลิกเรียงลำดับชีวิต
ชีวิตแบบเดิมมีสามขั้นคือเรียนหนังสือ ทำงาน และเกษียณ เป็นลำดับขั้นชีวิตที่มีความแน่นอนและคาดเดาได้ ผู้คนไม่ต้องเจอโอกาสหรือทางเลือกมากมายจนตาลาย ส่วนบริษัทเอกชนหรือภาครัฐก็ไม่ต้องรับมือกับความต้องการที่แตกต่างหลากหลายของผู้คน ทุกวันนี้นโยบายการคัดเลือก พัฒนาคน และการเลื่อนตำแหน่งในองค์กรส่วนใหญ่ยังคงยึดหลักตามลำดับชีวิตสามขั้นอยู่
ชีวิตหลากหลายขั้นมาพร้อมเป้าหมายและจุดเปลี่ยนที่แตกต่างจากเดิม เมื่อเราเลิกเดินตามลำดับขั้นชีวิตแบบเดิม เราจะคาดเดาอายุของผู้อื่นได้ยากขึ้น ในปัจจุบันถ้ามีคนบอกว่ากำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี หรือกำลังทำงานในตำแหน่งผู้จัดการอาวุโส เราก็จะรู้อายุของคนคนนั้นได้คร่าวๆ แต่ในชีวิตหลากหลายขั้นถ้ามีใครบอกว่ากำลังเรียนปริญญาตรีอยู่จะไม่มีใครทายได้ง่ายๆอีกต่อไป
6.ความเยาว์ที่ยืนยาวขึ้น
แต่เดิมเรามองว่าการมีชีวิตยืนยาวหมายถึงการแก่ตัวนานขึ้น แต่ปัจจุบันเราจะรักษาคุณลักษณะแบบวัยแรกรุ่นไว้แม้จะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อายุจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับลำดับขั้นของชีวิตอีกต่อไป
มิตรภาพต่างวัยจะมีให้เห็นมากขึ้น เพราะคนต่างวัยอาจอยู่ในชีวิตขั้นเดียวกันก็ได้ การที่คนหลายวัยมาคลุกคลีกันจะนำไปสู่ความเข้าอกเข้าใจระหว่างวัยมากขึ้น และช่วยให้คนสูงวัยรักษาคุณลักษณะแห่งความอ่อนเยาว์ไว้ได้มากขึ้น
7.การสู้รบกับฝ่ายบริหารบุคคล
ชีวิตหลากหลายขั้นจะทำให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้เราไม่ต้องชั่งใจเลือกสิ่งที่สำคัญในชีวิตเหมือนแต่ก่อน เช่น ระหว่างงานกับการพักผ่อน ระหว่างงานกับครอบครัว ระหว่างการเงินกับสุขภาพ
สำหรับองค์กรแล้วประเด็นนี้เหมือนฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นจริง องค์กรชอบให้การปฏิบัติงานเป็นไปในแนวทางเดียวกัน อยู่ในระบบที่คาดเดาได้และไม่ซับซ้อน ผู้เขียนเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วความปรารถนาของตัวบุคคลที่ต้องการตัวเลือกและความยืดหยุ่นในชีวิตการงานจะเอาชนะความต้องการของบริษัทที่มุ่งหมายการทำงานที่เป็นระบบและคาดเดาได้อยู่ดี
จากหนังสือ The 100 Year Life โดย Lynda Gratton
โฆษณา