10 มี.ค. 2021 เวลา 23:51 • ประวัติศาสตร์
พระราชบัญญัติสหภาพปี 1707
พระราชบัญญัติสหภาพ(Acts of Union 1707)เป็นพระราชบัญญัติของรัฐสภาสองฉบับ และเป็นพระราชบัญญัติสหภาพกับสกอตแลนด์ที่ผ่านในปี ค.ศ. 1706 โดยผ่านทางรัฐสภาแห่งอังกฤษและพระราชบัญญัติสหภาพกับอังกฤษผ่านในปี ค.ศ. 1707 โดยรัฐสภาแห่งสกอตแลนด์ โดยพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับคือราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรสกอตแลนด์ซึ่งในเวลานั้นเป็นรัฐที่แยกจากกันและมีสภานิติบัญญัติที่แยกจากกัน แต่มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวกัน ให้กลายเป็นราชอาณาจักรเดียวกันในนามของ “ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่” (Kingdom of Great Britain)
จากภาพเเผนที่ราชอาณาจักรบริเตนใหญ่(Kingdom of Great Britain)ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555,(https://en.m.wikipedia.org/wiki/File:Flag-map_of_the_Kingdom_of_Great_Britain_(1707-1801).svg)
ทั้งสองประเทศมีพระมหากษัตริย์ร่วมกันนับในปี 1603 เมื่อเซอร์โรเบิร์ต เซซิล(Sir Robert Cecil)ได้ทำการส่งสารลับไปยังพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์(James VI,King of Scotland)ซึ่งเจมส์ทรงเป็นพระราชนัดดาของพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 (Queen Elizabeth I,Queen of England) ในฐานะที่พระเจ้าเจมส์ทรงเป็นพระราชปนัดดาในพระนางเจ้ามาร์กาเร็ต(Margaret Tudor) พระธิดาในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 (Henry VII,King of England) ให้สืบทอดราชบัลลังก์อังกฤษ แม้ว่าจะถูกอธิบายว่าสิ่งนี้เป็นสหภาพระหว่างประมุขแล้ว แต่ราชอาณาจักรอังกฤษและราชอาณาจักรสกอตแลนด์ก็ยังแยกและถือว่าเป็นคนละราชอาณาจักรจนกระทั่งในปี 1707 (ซึ่งก่อนที่จะถึงปี 1707 ทั้งสองรัฐบาลก็มีความพยายามที่จะรวมราชอาณาจักรกันในปี 1606, 1667 และ 1689 แล้ว)
.
การกระทำมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707 ในวันนี้รัฐสภาสก็อตแลนด์และรัฐสภาอังกฤษพร้อมใจกันจัดตั้งรัฐสภาแห่งบริเตนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ที่พระราชวังเวสต์มินสเตอร์ในลอนดอนซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาอังกฤษ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวจึงเรียกว่าการรวมรัฐสภา
สาเหตุ
.
ก่อนปี 1603 อังกฤษและสกอตแลนด์เป็นอาณาจักรที่แยกจากกันโดยประมุข เมื่อพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 1 ไม่เคยแต่งงานหลังจากปี 1567 ทายาทของพระองค์เลยกลายเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์สจ๊วร์ตเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์หลังจากการเสียชีวิตของพระนางเจ้าอลิซาเบธทั้งสองก็กลายเป็นรัฐร่วมประมุขและเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์เมื่อครองบัลลังก์อังกฤษก็กลายเป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษและเจมส์ที่หกแห่งสกอตแลนด์ พระองค์ประกาศความตั้งใจที่จะรวมทั้งสองราชอาณาจักรโดยใช้ตำแหน่ง "King of Great Britain" หรือ “พระมหากษัตริย์แห่งบริเตนใหญ่”
.
เมื่อพระเจ้าเจมส์ทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษทางรัฐสภาอังกฤษกังวลว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่โครงสร้างทางการเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คล้ายกับสกอตแลนด์(ซึ่งในสกอตแลนด์เองนั้นพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมาก แต่สภามีอำนาจน้อยเพราะพระเจ้าเจมส์ทรงจำกัดอำนาจสภาตั้งแต่ปี 1583 เมื่อเจมส์ได้ครองบัลลังก์อังกฤษทางอังกฤษกลัวมาก ว่าอาจจะเป็นไปได้ที่เจมส์จะลดอำนาจสภาทำให้สภาอ่อนแอและดึงอำนาจรวบเข้าสู่พระมหากษัตริย์)
.
พระองค์ทรงตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับการสร้างคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์และอังกฤษที่เป็นหนึ่งเดียวซึ่งเป็นก้าวแรกสู่การรวมสหภาพ อย่างไรก็ตามแม้ว่าทั้งสองจะสร้างโครงสร้างทางศาสนาแบบเดียวกัน แต่ทั้งสองก็มีความแตกต่างกันมากในหลักคำสอน คริสตจักรแห่งสกอตแลนด์เป็นผู้นับถือลัทธิคาลวินนิสม์(Calvinism)และมองว่าศาสนจักรอังกฤษจำนวนมากปฏิบัติดีกว่าคาทอลิกเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้ความพยายามที่จะกำหนดนโยบายทางศาสนาของเจมส์และโอรสของพระองค์คือชาร์ลส์ที่ 1 ในที่สุดก็นำไปสู่สงครามกลางเมืองในปี 1639–1651 ซึ่งต่อมาทางสกอตแลนด์และอังกฤษก็รวมตัวกันในนามของจักรภพ(ขอไม่เจาะลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอเอาไว้เล่าในโอกาสหน้า)
การรวมสหภาพ
.
ในบริบทของยุโรปการรวมศูนย์อำนาจของรัฐมีมากขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 และต้นศตวรรษที่ 18 รวมถึงระบอบกษัตริย์ของฝรั่งเศส สวีเดน เดนมาร์กและสเปน
.
ต่อมาในสมัยของเจมส์ที่ 2 (James II)พระองค์ทรงโดนปฏิวัติซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์” (Glorious Revolution)โดยเหล่าสภาและวิลเลียมที่ 3 แห่งออรานเย เจ้าผู้ครองสถานแห่งกิลเดอร์ส ฮอลแลนด์ ซีแลยด์ อูเทร็คต์และโอเวอร์ไอส์เซิล(William III,Stadtholder of Guelders Holland Zealand Utrecht Overijssel)หลังจากการปฏิวัตปี 1688 นี้ทางรัฐบาลอังกฤษจึงเชิญพระนางแมรี่ที่ 2 (Queen Mary II,Queen of England)พระชายาของวิลเลียมที่ 3 คือวิลเลียมที่ 3 ทรงเป็นพระสวามีของแมรี่ที่ 2 ซึ่งแมรี่ที่ 2 นั้นทรงเป็นรัชทายาทโดยชอบธรรม แต่ทรงไม่รับราชบัลลังก์เพราะต้องการให้พระสวามีคือวิลเลียมที่ 3 เจ้าชายแห่งดัตช์เป็นกษัตริย์อังกฤษด้วยทางสภาอังกฤษเลยยินยิมและไม่ขัดพระประสงค์ อังกฤษ สกอตแลนด์และไอร์แลนด์จึงใช้พระมหากษัตริย์ร่วมกัน 2 พระองค์
.
พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 ทรงตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ปี 1701 (English Act of Settlement 1701) ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ใครก็ตามที่เป็นคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกขึ้นมาเป็นกษัตริย์อังกฤษ “ตลอดกาล” ซึ่งจะทำให้เหมือนกับรัชสมัยของเจมส์ที่ 2 อีกและพระมหากษัตริย์แห่งอังกฤษจะเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ของราชวงศ์ฮันโนเวอร์(House of Hanover)พระนาแอนน์ผู้ซึ่งตรัสกล่าวต่อรัฐสภาอังกฤษว่าสหภาพเป็นสิ่งที่ 'จำเป็นมาก' อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติความมั่นคงแห่งสก็อต 1704 ถูกส่งต่อหลังจากรัฐสภาอังกฤษโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับสกอตแลนด์ได้กำหนดให้ "ท่านหญิงโซฟีแห่งพาลาทิเนต" พระชายาในเจ้าผู้คัดเลือกแห่งฮันโนเฟอร์( Electoress Sophie of Hanover,หลานสาวของเจมส์ที่ 1 หรือที่ 6) เป็นผู้สืบทอดของต่อจากพระนางแอนน์ หากพระนางแอนน์ไม่มีรัชทายาทเพราะพระราชินีนาถแมรีที่ 2 เสด็จสวรรคตเมื่อ 1694 พระโอรสพระองค์สุดท้ายของเจ้าหญิงแอนน์สิ้นพระชนม์ใน 1700 และพระเจ้าวิลเลียม ที่ 3 มิได้ทรงเสกสมรสใหม่ กับทั้งโอกาสที่เจ้าหญิงแอนน์จะมีพระราชบุตรอีกก็เป็นไปได้ยากเพราะมีพระชนมายุมากขึ้นทางอังกฤษจึงเลือกเจ้าหญิงโซฟีขึ้นครองราชบัลลังก์ต่อ ส่วนทางรัฐสภาสกอตแลนด์นั้นก็ต้องการรักษาราชวงศ์สจ๊วตไว้เพราะหากอังกฤษปกครองโดยราชวงศ์ฮันโนเวอร์ซึ่งเป็นราชวงศ์เยอรมันจะทำให้สกอตแลนด์ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากอังกฤษเลย จึงออกพระราชบัญญัติรักษาความปลอดภัย (Act of Security) ว่าถ้าราชวงศ์สจ๊วตในอังกฤษหมดไปทางรัฐบาลสกอตแลนด์จะตั้งสมาชิกพระราชวงศ์สจ๊วตพระองค์อื่นมาครองสกอตแลนด์ต่อ ทำให้พระนางแอนน์แห่งอังกฤษทรงเกรงว่าสกอตแลนด์จะแยกตัวและไปเข้าพวกกับฝรั่งเศสซึ่งในตอนนั้นฝรั่งเศสถือเป็นปฏิปักษ์ต่ออังกฤษอย่างรุนแรง ทำให้พระนางเจ้าแอนน์ออกพระราชบัญญัติต่างด้าว (Aliens Act) ในค.ศ. 1705 ว่าชาวสกอตในอังกฤษจะเป็นคนต่างด้าว เว้นแต่สกอตแลนด์จะเลิกพระราชบัญญัติรักษาความปลอดภัย หรือรวมเข้ากับอังกฤษ สกอตแลนด์เลือกที่จะเข้าร่วมเป็นราชอาณาจักรเดียวกับอังกฤษ
พระนางเเอนน์เเห่งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่เเละไอร์แลนด์(Queen Anne, Queen of Great Britain and Ireland)
รายการอ้างอิง
โฆษณา