Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ค
คุยเล่นให้เป็นเรื่อง
•
ติดตาม
11 มี.ค. 2021 เวลา 02:46 • ไลฟ์สไตล์
อบอวลด้วยไออุ่นกับหนังแห่งความทรงจำ “สัญญาหน้าเสาธง”
เรื่อง : ชญานุช วีรสาร (2559)
จากคนทำรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กจนรู้ไส้รู้พุงเด็กเป็นอย่างดี วันนี้ “ทิฆัมพร ภูพันนา” หันมาทำหนังยาวที่ส่งตัวเองเป็นผู้กำกับเรื่องแรกในชีวิต แม้จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กที่เขาคุ้นเคย แต่มันกลับใช้เวลานานถึงห้าปี กว่าจะได้เป็นหนังแห่งความทรงจำที่จะนำเราย้อนเวลาค้นหาความสุขเก่าๆ เขารำพึงถึงที่มาของหนังเรื่องนี้ไว้ว่า
“แม้ช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์จะโบกมือลาจากวิถีชีวิตของผมไปหลายสิบปีแล้วก็ตาม ทว่าภาพของความสนุกสนานตามประสาเด็กบ้านทุ่ง และความงามของสังคมเอื้ออารีในคืนวันอันไร้แสงนีออน ยังคงกระจ่างชัดในกล่องความทรงจำของผม”
ถาม : ทำไมจึงตั้งชื่อหนังเรื่องนี้ว่า สัญญาหน้าเสาธง
ตอบ : หนังเรื่องนี้มีที่มาจากเรื่องสั้น “สัญญาหน้าเสาธง” ของทัศนาวดี ซึ่งเขียนขึ้นจากประสบการณ์ในวัยเยาว์และประสบการณ์วิชาชีพครู ที่พูดถึงเด็กนักเรียนหญิงขี้เหร่คนหนึ่งที่เพื่อนๆ ในห้องชอบแกล้ง มาเจอกับเด็กนักเรียนชายขี้ดื้ออีกคนที่มักจะถูกเพื่อนล้อว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน และเป็นไม้เบื่อไม้เบากันมาตลอด จนครูต้องใช้ความศักดิ์สิทธิ์ของธงชาติหน้าเสาธงที่คนทั้งโรงเรียนเคารพมาใช้เป็นกุศโลบายในการสงบศึก จึงเป็นที่มาของ “สัญญาหน้าเสาธง” ครับ
ถาม : ตัวอย่างหนังเรื่องนี้ ดูจะหลากหลายอารมณ์ คุณจัดให้มันเป็นหนังดราม่า ตลก หรือโรแมนติก
ตอบ : มีส่วนผสมของทุกอย่างครับ มันไม่ใช่หนังที่มีมุขตลกฮาตลาดแตกเหมือนหนังที่คนดูทั่วไปชอบ แต่ก็มีให้ได้อมยิ้มแก้มบุ๋มบ้าง ทุกอย่างมีส่วนผสมเบาๆ สนุก เศร้า เคล้าเสียงหัวเราะในใจ ผมว่ากลมกล่อมนะครับ
ถาม : คุณคิดว่ามันเป็นหนังสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่
ตอบ : ดูได้ทุกเพศทุกวัยครับ แต่หนังจะทำหน้าที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่มคนดู สำหรับเด็กอาจจะได้ความสนุกและเปิดโลกการเรียนรู้ใหม่ๆ เห็นการสร้างโลกของเด็กในสนามเด็กเล่นตามธรรมชาติ ส่วนผู้ใหญ่หนังจะทำหน้าที่ส่งมอบกุญแจวิเศษใช้เปิดลิ้นชักของความทรงจำ ความสนุกอาจไม่ใช่ที่ตัวหนัง แต่อาจอยู่ที่ประสบการณ์ร่วมวัยเยาว์ที่คนดูมองเห็นตัวเองวิ่งอยู่ในเรื่องราวตรงหน้า ผมเชื่อว่าทุกคนมีอีเหี่ยวเป็นของตัวเองอยู่แล้ว
ถาม : ทุกวันนี้มีหนังที่ใช้ภาษาอีสานทั้งเรื่อง หรือหนังที่พูดถึงสภาพชนบทในอีสานมากขึ้น หนังเรื่องนี้เป็นหนังทางเลือกที่ต่างไปจากเรื่องอื่นๆ อย่างไร
ตอบ : สัญญาหน้าเสาธง ตั้งใจนำเสนอความสุข ความงดงาม และจินตนาการวัยเยาว์ผ่านช่วงเวลาและบริบทของอีสานในช่วงปี 2525-2529 เราไม่ได้ใช้นักแสดงมีชื่อเสียง แต่คัดเลือกจากคนในพื้นที่ถ่ายทำและค่อยๆ ฝึกสอนการแสดงผ่านการเล่น และวิถีชีวิตจริงๆ ของพวกขา ทำให้เกิดความสมจริงโดยการจัดวางที่เหมาะสม หนังไม่ได้นำเสนอภาพความแร้นแค้น ความอดอยากปากแห้ง หรือเอาความงี่เง่า เปิ่น ตลกโปกฮาที่หลายๆ เรื่องได้สร้างภาพปรากฏของคนอีสานไว้ แต่เรื่องนี้นำเสนอความเป็นคนของคนอีสานที่ผมมองว่าโคตรสร้างสรรค์
ถาม : ทราบว่าคุณเขียนบทเองด้วย มีภาพของคุณหรือของใครอยู่ในนั้นหรือเปล่า
ตอบ : บทของหนังเรื่องนี้เขียนจากต้นธารเรื่องสั้นที่ว่ามาแล้ว รวมกับข้อมูลจากความทรงจำวัยเยาว์ ทั้งจากผู้เขียนเรื่องสั้น ตัวผมเอง และของอีกหลายๆ คน ที่มีความทรงจำคล้ายๆ กัน ฉะนั้นภาพที่เกิดขึ้นในหนังจึงทำหน้าที่เสมือนตัวแทนความทรงจำร่วม คนดูมองเห็นตัวเองในเรื่องราวตรงหน้าผ่านตัวละครสมมติ ผมเชื่อว่าอีเหี่ยวของทุกคนยังคงวิ่งเล่นซนในหัวใจเสมอ
ถาม : ทำไมต้องเป็นเรื่องราวในมหาสารคาม
ตอบ : จริงๆ แล้ว เรื่องราวในภาพยนตร์ก็คงเป็นเพียงตัวแทนหนึ่งของความทรงจำวัยเด็ก เป็นตัวแทนของเด็กๆ ในภูมิภาคนี้ ตามท้องเรื่องในเรื่องสั้นฉากอยู่ที่ อ.พิมาย นครราชสีมา แต่ด้วยความที่เป็นหนังเด็ก เราต้องปักหลักถ่ายทำเป็นเวลานาน จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่เราสามารถประสานงาน และจัดการได้สะดวก ผมเองก็เป็นคนมหาสารคามโดยกำเนิด การจัดการกองถ่ายที่นี่จึงมีปัญหาและอุปสรรคน้อยที่สุด ที่นี่มีสภาพหมู่บ้านที่มีทั้งทุ่งนา ป่า ดิน โรงเรียน ถนนครบ นักแสดงหลัก ตัวประกอบอยู่ในพื้นที่หมดเลย
ถาม : ดูเหมือนคุณจะผูกพันกับเด็กๆ ในหนังเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
ตอบ : ผมโชคดีมากที่ได้มาเจอเด็กๆ กลุ่มนี้โดยบังเอิญขณะที่เขากำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานตอนที่ผมจอดรถฉี่ข้างทาง พวกเขายังมีวิถีชีวิตคล้ายๆ เด็กในเรื่องที่ผมเขียนจากความทรงจำเมื่อสามสิบปีก่อน ยังใส่เบ็ด ขุดแย้ ดักหนู ยิงกะปอม เลี้ยงควาย การค่อยๆ ใส่คาแร็กเตอร์ของตัวละครที่อยากได้เข้าไป จึงไม่ใช่เรื่องยาก ผมค่อยๆ ทำให้พวกเขากลายเป็นตัวละครที่ผมต้องการโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว ผ่านการเล่นด้วย การสร้างความไว้วางใจกัน จนในที่สุดผมก็พร้อมเปิดกล้อง แรกๆ พ่อแม่เด็กไม่ค่อยไว้ใจ จนตอนหลังเขาทำอาหารมาเลี้ยงกองถ่ายเล็กๆ ของผม และขอบคุณเราที่ทำให้เด็กๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ผมสนิทกับเด็กๆ จนทุกคนเรียกว่าพ่อ แต่ผมสั่งห้าม ให้เรียกพี่ เพราะผมยังไม่แก่ (หัวเราะ)
ถาม : สิ่งที่อยากให้คนดูซึมซับจากหนังเรื่องนี้มากที่สุดคืออะไร
ตอบ : ยิ่งเรารู้สึกกับปัจจุบันและอนาคตเสมือนว่าเป็นเพื่อนแปลกหน้ามากเท่าใด ความทรงจำแห่งอดีตก็ยิ่งสวยงามสุกสกาว และเซ้าซี้ชี้ชวนให้หวนรำลึกถึงมากขึ้นเท่านั้นครับ
ถาม : คิดว่าคนดูที่ไม่ใช่คนอีสาน จะเข้าใจหรืออินไปกับหนังของคุณหรือเปล่า
ตอบ : หนังเป็นภาษาสากล ลองเปิดใจดูหนังให้จบนะครับ แล้วคนดูที่ไม่ใช่คนอีสานก็จะมีคำตอบเองว่าดูรู้เรื่องหรือเปล่า ผมสัญญาว่าจะไม่ปล้นเวลาสองชั่วโมงที่มีค่าไปจากคนดูอย่างแน่นอนครับ
ถาม : อะไรจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของคุณเมื่อหนังได้ฉายออกไปแล้ว
ตอบ : เราทำหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เริ่มต้นที่ผลกำไร แต่เราเริ่มต้นจากการอยากใช้ความสามารถสร้างงานศิลปะ หากหนังฉายไปแล้วจะได้เงินมากกว่าที่ร่วมทุนกันสร้าง อันนั้นถือเป็นอานิสงส์และความดีงามของหนังครับ ผมอยากตั้ง “กองทุนสัญญาหน้าเสาธง” เพื่อเป็นที่ที่สามารถสร้างอนาคตทางการศึกษาให้แก่เด็กๆ ในโรงเรียนที่ด้อยโอกาสได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ
จากพลังของกลุ่มนักแสดงเด็กตัวน้อย บวกความละเมียดละไมของผู้กำกับเลือดอีสาน ทำให้วันนี้เราจึงมีโอกาสได้ชมหนังเล็กๆ ที่เต็มเปี่ยมด้วยความทรงจำอันยิ่งใหญ่ในใจของใครหลายคน...สัญญาหน้าธง
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย