11 มี.ค. 2021 เวลา 09:25 • ธุรกิจ
กลับมาเขียนให้อ่านอย่างจุใจใน แพลตฟอร์ม "Blockdit" เกี่ยวกับ "Business Model" ที่มีแฟนเพจ 32,000 กับยอด Reach "+1,000,000"
"โปรแกรเมอร์ล้านล้าน" มีใครจะคิดบ้างมั้ยครับว่า จากเด็กผู้ชายคนนึงที่ชื่นชอบการเขียนโปรแกรม จะสามารถสร้างตัวเองจนมีรายได้ที่รวยติดระดับโลก
ถ้าพูดถึงความ "ร่ำรวย" มาดูตัวเลข "ความรวย" กันครับว่า "รวยขนาดไหน"
รวยขนาดที่มีรายได้ประมาณ "2.5 ล้านล้านบาท" หรือ 15% โดยประมาณของ GDP ประเทศไทย
และมีคนใช้ถึง "2.8 พ้นล้านบัญชี" (ถึงแม้ว่าบางคนจะมีมากกว่า 1 บัญชี) เทียบเท่าได้ 35% ของประชากรโลกที่มีประมาณ "7.8 พันล้านคน"
กรรมกรธุรกิจกำลังเล่าถึงธุรกิจแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า "Facebook"
และมาศึกษา "โมเดลธุรกิจของ Facebook" กันครับ
"Facebook" ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว จากไอเดียการเขียนเวปในแนว "Matching" กัน จับคู่สาว หนุ่มๆ แล้วให้นักศึกษาโหวต
ประมาณว่า "สุ่ม" รายชื่อเพื่อนในมหาลัยเป็นคู่ๆ อาทิเช่น "ญาญ่า" กับ "พอลล่า" แล้วโหวตว่าใครสวยกว่ากัน
หลังจากนั้นจึงเกิด "The Facebook" ที่เป็นเหมือน "สมุดกระจก" ที่ไว้เขียนเรื่องราว ลงรูปตัวเองที่สามารถแชร์ให้คนอื่นอ่าน
หรือสามารถไป "อ่าน เขียน แซว" ในเรื่องราวของคนอื่นได้ จึงเหมือนเป็นการ "ย่อ" โลกให้เล็กลง
"เชื่อม"ความสัมพันธ์ด้วยปลายนิ้วเท่านั้น
เป็นการ "เล่น" กิเลสของมนุษย์ที่ชอบ "แชร์" เรื่องราวของตัวเอง และชอบ "ดู" เรื่องราวของคนอื่น
นี่คือ 1 ใน 3 ปัจจัยที่ทำให้ "The Facebook" แพร่หลายอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนชื่อเป็น "Facebook"
และปัจจัยต่อมาก็คือ การใช้ "Facebook" สามารถใช้งานได้ "ฟรี" โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการโพสข้อความ ลงรูป เข้าไปดูเรื่องราวต่างๆ
ปัจจัยข้อสุดท้าย คือ เรื่องของ "ขนาด" ของคนใช้งานต้อง "มาก" เพียงพอ เช่น อยากค้นหาเพื่อนคนไหนก็เจอ และขอ "แอด" เป็นเพื่อน
รวมทั้งต้องมี "ดารา" ที่เป็นแม่เหล็กต่างๆของแต่ละวงการ เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมของคนเล่นต่างๆในการเข้าไปชมเรื่องราว
"Facebook" จึงกลายเป็น "Platform" ที่เป็น "Ecosystem" ที่ใหญ่และแพร่หลายไปทั่วโลก
แต่การทำแบบนี้ได้จำเป็นต้องมี "เม็ดเงิน" ต่างๆเข้ามาสนับสนุนเพี่อสร้าง "รายได้" และ "ผลกำไร" เพื่อเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อมีกลุ่มคนจำนวนมากและแต่ละคนมีความเป็น "ปัจเจกบุคคล" ที่ไม่เหมือนกัน ความชอบ ฐานะ รสนิยมที่ไม่เหมือนกัน
แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือ "มีข้อมูล" ที่ "Facebook" ใช้อัลกอลิทึ่มต่างๆในการวิเคราะห์ต่างๆ แล้วสามารถแยก "คนจำนวนมาก" เป็น "ชนิดข้อมูล" แต่ละประเภทได้
แล้วนำข้อมูลเหล่านี้ ไปแลกกับ บริษัทต่างๆที่ต้องการ "โฆษณา" สินค้าและบริการต่างๆ เข้าไป
เช่น ถ้าอยากขายบ้านแบบนี้ ราคาเท่านี้ ก็สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายต่างๆ แล้วก็จ่ายเงินตามงบที่มีเพื่อแลกกับ "จำนวนคน" เพื่อให้ทาง "Facebook" กระจายโฆษณาไปหากลุ่มคนเป้าหมายเหล่านั้น
นอกจากที่จะมีกลุ่มผู้ใช้งานทั่วๆไปแล้ว ยังมีอีกฟังช์ชั่นหนึ่งที่เรียกว่า "facebooke page" อาจจะเป็นกลุ่มร้านค้า บริษัท สื่อ แฟนคลับ หรือแม้กระทั่งกลุ่มนักสร้าง "Content"
ที่สร้างเรื่องราวต่างๆของ "เพจ" ขึ้นมา เพื่อรวบรวม "ลูกเพจ"ที่สนไจชื่นชอบในเนื้อหาเพจเหล่านั้น
อาจจำเป็นต้อง "ซื้อ" โฆษณาเพจ เพื่อให้คนเห็นแล้วต่อยอดทางธุรกิจต่างๆ เช่น หาโฆษณาลงเพจตัวเอง เพื่อสร้างรายได้
หรืออาจจะไม่ซื้อโฆษณาใดๆจาก "Facebook" เลย แต่สิ่งที่ "Facebook" ได้ก็คือ การเข้าใช้งาน "Facebook" อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการ "Lock in" ผลิตภัณฑ์ "Facebook" ในใจผู้ใช้งาน
ซึ่งบางทีผู้ใช้งานอาจไม่จำเป็นต้องตาม "ข่าวสาร" จากทีวี อยากมี "ความรู้" โดยไม่ต้องไปร้านหนังสือ
ซึ่งทาง "Facebook" ก็ตอบโจทย์ต่างๆเหล่านี้ได้หมด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว
แต่ก็มีคู่แข่งที่น่ากลัวที่เป็น "Platform" ต่างๆที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และสิ่งนี้ก็อาจจะเป็นตัวการสำคัญที่ "Disruption" ได้
อาทิเช่น Instagram, Facebook, Tiktok, Marketplace platform หรือแม้กระทั่ง Youtube
ดังนั้นสิ่งที่ "Facebook" ทำก็คือ การตัดไฟตัดแต่ต้นลม โดยการซื้อกิจการแอพต่างๆที่กำลังดัง เช่น Instagram, Whatapp เข้าร่วมกับ "Facebook"
ส่วนตัวไหนที่ไม่สามารถซื้อได้ ก็ให้มีฟังช์ชั่นที่เหมือนกัน เช่น Facebook Live, Marketplace, จับคู่ ที่เหมือนแอพดังๆต่างๆ
เพื่อให้เป็นแอพที่ "เปิดโลกกว้าง" โดยผ่านหน้าจอจากมือถือได้นั่นเอง
กรรมกรธุรกิจขอสรุปช่องทางของรายได้จาก "Facebook" ดังนี้
1.รายได้จากค่าโฆษณาต่างๆ ที่ต้องการโฆษณาโดยผ่าน "facebook" เป็นรายได้หลักที่ผ่านโมเดลธุรกิจหลายๆตัว
2.รายได้จาก Media, Content หรือเกมส์ต่างๆ
3.รายได้จากค่าธรรมเนียมของการโอนเงินต่างๆ
Facebook Business Model Canvas
จะเห็นได้ว่า Platform "Facebook" คือการเน้นสร้างสมาชิกให้เข้าร่วมใช้งานให้ได้มากที่สุด โดยผ่านการเล่นฟรี จนเกิด "Ecosystem" ที่จำนวนมากพอ
และเปิดให้มีกลุ่มเพจที่ทำ "Content" บริษัท ห้างร้าน หรือ กลุ่มต่างๆเข้าร่วมใช้งาน เพื่อเกิด "Community" ต่างๆ ทำให้ผู้ใช้งานติดตามใช้งานอย่างต่อเนื่อง
และสร้างรายได้จากการคิดค่าโฆษณาตามรูปแบบต่างๆจากผู้ที่ต้องการลงโฆษณา
จึงเกิดรายได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญต้องพัฒนา "Platform" อย่างต่อเนื่อง ไม่ให้คนหนีไปใช้งานใน "Platform" อื่น
ซึ่งทางกรรมกรธุรกิจหวังว่า โมเดลธุรกิจของ "Facebook" จะเป็นแรงบันดาลใจดีๆสำหรับท่านผู้อ่านในการประยุกต์ใช้ในธุรกิจของท่านให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปครับ
กรรมกรธุรกิจเชื่อว่า
"รายได้ของท่านจะเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอนครับ"
👉🏻👉🏻ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่
ติดตาม "กรรมกรธุรกิจ"ในช่องทางอื่นๆได้ที่
ติดต่องาน E-mail : contact@bizlabor.com
อย่าลืมกด Follow หรือ Like เพื่อไม่พลาดเรื่องราว โมเดลธุรกิจต่างๆที่นำเสนอต่อๆไปนะครับ
มีคอมเม้น ข้อเสนอแนะ ข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ก็สามารถพูดคุยกันได้ครับ จะตอบทุกข้อปัญหา ข้อสนใจครับ
โฆษณา