14 มี.ค. 2021 เวลา 05:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ปีที่สองของการลงทุน
"ทหารใหม่อยากกลับบ้าน"
จากประสบการณ์การลงทุนในปีแรก ผมมองเห็นจุดอ่อนและข้อบกพร่องของตัวเองหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุดคือการตัดสินใจซื้อขายด้วยอารมณ์ เสพข่าวสารหุ้นมากมายแต่ไม่สามารถทำเงินได้ ผมพยายามมองในแง่ดี "ปีแรกก็เหมือนกับการปรับพื้นฐานไปก็แล้วกัน"
เป้าหมายหนักแน่นในปีที่สอง กับความพยายามจะเป็นนักลงทุนแบบ VI ให้จงได้นั้น ผมจดรายการข้อผิดพลาดของตัวเองออกมามากมาย ข้อผิดพลาดที่ทำไปแล้วไม่ได้เงินแถมบางครั้งเสียผมเงินอีกต่างหาก เป้าหมายก็เพื่อเตือนใจตัวเองและเพื่อปรับปรุงตัวเองให้ลดข้อผิดพลาดลง เช่น
1.อย่าใช้ข่าวในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
2.อย่าดูราคาหุ้นระหว่างวันมากเกินไป
3.อย่าขายหุ้นในวันที่ราคาลงแรงๆ
4.อย่าซื้อหุ้นในวันที่ราคาลงแรงๆ
5.อย่าซื้อหุ้นในวันที่หุ้นขึ้นแรงๆ
6.อย่าซื้อหุ้นในวันที่หุ้น IPO
7.อย่าซื้อหุ้นจนเงินสดหมดพอร์ต ต้องมีเงินสดติดไว้
8.อย่าซื้อหรือขายถ้ายังไม่ได้เช็ควันขึ้น XD
9.ก่อนซื้อหรือขาย ให้เช็ควันงบออก เสียก่อน
10.อย่าขายหุ้นพื้นฐานดีเด็ดขาดแม้ราคาจะจูงใจ
11.อย่าซื้อหุ้นตัวเดียวด้วยเงินส่วนใหญ่
12.อย่านำเงินสำรองของบ้านมาซื้อหุ้น
13.อย่ากลัวถ้าราคาหุ้นตกลงมาโดยที่พื้นฐานไม่เปลี่ยน
14.กล้าๆซื้อเมื่อราคาตกลงมามากๆ ถ้าศึกษามาดีแล้ว
14.หุ้น 80% ที่ซื้อเป็นหุ้นที่พื้นฐานดี อย่าขายให้ใคร 15.หุ้น 20% ที่ซื้อผิดให้รีบขาย ก่อนที่จะไม่มีใครซื้อ
1
จริงๆมีอีกมากมายที่ผมจดไว้สองหน้ากระดาษ ถ้าผมทำได้ทุกอย่างตามที่เขียน"ผมคงไม่มีวันขาดทุน"
แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น ผมพยายามอย่างหนักที่จะทำตามสิ่งที่เขียนไว้ แต่ตลาดหุ้นมันไม่ต่างอะไรจากบ่อนการพนันในเมืองใหญ่ มันมีแสงสีหลอกล่อให้เข้าไปติดกับ และหลงระเริงกับความตื่นเต้นท้าทายที่ได้เสี่ยงโชค มันไม่ต่างกับ"หวย"สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ชอบหนักหนา "ผมก็เป็นอีกคนที่มีกิเลสนี้แอบฝังติดตัวอยู่ไม่น้อย" เรื่องที่มีเหตุผลและง่ายๆผมกลับทำได้ยาก ผมจึงไม่ต่างจากทหารใหม่ในค่ายฝึก ซึ่งช่วงแรกครูฝึกจะฝึกความอดทนของร่างกายและจิตใจ รวมทั้งฝึกวินัยต่างๆอย่างหนัก
พื้นฐานของผมเป็นคนไม่ค่อยมีความอดทน เชื่อคนง่าย และวินัยไม่ดีนัก การที่ต้องฝืนและฝึกความอดทนต่ออารมณ์ ความกล้า ความกลัว รวมถึงสิ่งเร้าต่างๆในตลาดหุ้น จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ผมตกอยู่ในสภาพของ"ทหารใหม่ที่ฝึกหนักจนคิดอยากจะหนีกลับบ้าน " กลับไปอยู่กับความสุขสบายเหมือนที่เคยเป็น แต่ถ้าผมเลือกหนีกลับบ้าน แน่นอนว่าผมต้องได้รับบทลงโทษอย่างหนักเลยทีเดียว ดังนั้นผมจึงต้องอดทนอยู่ในสภาพนี้เป็นเวลาหลายเดือน
ในความเป็นจริง ทหารใหม่ในค่ายฝึกทุกคนนั้น ฝึกหนักอยู่แค่หกเดือน สามเดือนแรกเป็นช่วงที่ทรมานที่สุด สามเดือนต่อมาก็เริ่มชิน ร่างกายและจิตใจเริ่มปรับตัวได้ ตัวผมเองในตลาดหุ้นก็เช่นกัน เมื่อฝึกความอดทนอย่างหนักมาครึ่งปี ครึ่งปีหลัง ทุกอย่างดูง่ายขึ้น ผมแทบไม่ต้องฝืนอะไรอีกแล้ว ข้อผิดพลาดต่างๆลดน้อยลง เริ่มใช้เหตุผลในการตัดสินใจมากขึ้น ดูราคาหุ้นน้อยลงมาก แค่วันละหนสองหน ราคาหุ้น 2-3%ที่เคยมีผลอารมณ์ เริ่มขยับเป็น 5% เป็น 10% และมากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยซื้อขายเมื่อราคาขยับแค่ 2-3% ผมเริ่มซื้อเมื่อราคาตกลงมาที่10-20% และเริ่มพิจารณาว่าจะขายหุ้นหรือเปล่าเมื่อราคาเพิ่มขึ้นมาเกิน 20%
เมื่อใช้เหตุผลมากขึ้นในการซื้อขาย. พอร์ตผมก็เริ่มดีขึ้น ผมกดซื้อกดขายน้อยลงมาก หุ้นในพอร์ตแทบไม่เปลี่ยนตัว แต่พอร์ตกลับโตขึ้นมา 5% และได้ปันผลเฉลี่ยที่ 2.7% รวมๆแล้วผลตอบแทนอยู่ที่ 7.7% ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากตั้งมากมาย
"ทำน้อยแต่ได้มาก" คำคมนี้ผุดขึ้นมาในหัว มันเป็นจริงในตลาดหุ้น และชีวิตการลงทุนของผม
หากผมฝึกฝนตัวเองต่อไป "การได้กำไรหุ้น 100 % หรือเป็นเด้งๆก็คงเป็นไปได้" ผมเริ่มจินตนาการถึงผลลัพท์หากผมฝึกฝนตัวเองมากขึ้นไปอีก ผมจะมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีก แสงสว่างปลายอุโมงค์ดูชัดเจนมากขึ้น "แต่มันจะเป็นเพียงความโลภในจินตนาการหรือความจริงในโลกของการลงทุน"
ปีที่สามของการลงทุน คงเป็นปีที่ผมต้องพยายามเพิ่มขึ้นอีก เพื่อพิสูจน์หนทางของความสำเร็จในการลงทุนหุ้น ด้วยตัวตนของผมเอง" "เพราะแค่การอ่านหนังสือและความรู้มากมายที่มีไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในตลาดหุ้นของผมเลยแม้แต่น้อย"
โฆษณา