13 มี.ค. 2021 เวลา 15:55 • ประวัติศาสตร์
• ซุนเย่าถิง | ขันทีคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์จีน
ถ้าหากพูดถึงเรื่องราวของขันที (Eunuch) เชื่อเลยว่าทุก ๆ คน น่าจะนึกถึงเรื่องราวของขุนนางเพศชายที่ถูกตอน ที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์ภายในพระราชวังกันอย่างแน่นอน
1
และแน่นอนว่าจีนน่าจะเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่มีเรื่องราวของขันทีมาเป็นเวลาช้านาน ตลอดประวัติศาสตร์ของจีนหลายพันปี ก็ได้มีขันทีอยู่หลายคนที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์
สำหรับในบทความนี้ แอดมินจะขอพาทุก ๆ คน ไปทำความรู้จักกับชายชาวจีนคนหนึ่ง
ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็น "ขันทีคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์จีน"
ชื่อของเขาก็คือ ซุนเย่าถิง (Sun Yaoting | 孫耀庭)
ซุนเย่าถิง ขันทีคนสุดท้ายของจีน
ซุนเย่าถิงเกิดในปี 1902 ที่เมืองเทียนจิน ในครอบครัวชาวนาที่ยากจน
1
ในปี 1910 ในขณะที่ซุนมีอายุได้เพียง 8 ขวบ พ่อและลุงของเขาก็ได้ตัดสินที่จะส่งตัวของซุนไปเป็นขันทีภายในวัง เพราะอย่างน้อยการเป็นขันทีอยู่ในวัง ก็ยังดีกว่าอยู่อย่างอดตาย
ซึ่งพ่อและลุงก็คือคนที่ทำการใช้มีดตัดไปที่ "กล่องดวงใจ" ของซุนจนขาดด้วยมือของพวกเขาเอง
2
ภาพจำลองขั้นตอนการตอนของขันที
หลังจากนั้นกล่องดวงใจของซุน ก็ถูกนำไปผัดกับกระทะ ก่อนที่จะนำไปห่อกับกระดาษเคลือบน้ำมัน แล้วนำไปเก็บใส่ไว้ในกล่องเป็นอย่างดี
3
ซุนใช้เวลาพักฟื้นไม่นานนัก เขาก็ได้ถูกส่งตัวไปเป็นขันทีภายในพระราชวังต้องห้าม ภายในกรุงปักกิ่ง
2
ดูเหมือนว่าชีวิตต่อจากนี้ของซุนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยอนาคต และเงินทองที่ครอบครัวของเขาจะได้รับมา
แต่อนิจจา โชคชะตากลับเล่นตลกกับซุนซะอย่างนั้น ...
2
เพราะเพียงแค่ไม่กี่ปีหลังจากที่ซุนได้เข้ามาเป็นขันทีในพระราชวังต้องห้าม การปฏิวัติซินไฮ่ก็ได้ส่งผลให้ระบอบจักรพรรดิจีน และราชวงศ์ชิงต้องถึงกาลล่มสลายลงในปี 1912
4
ถึงแม้ว่าจีนจะกลายเป็นสาธารณรัฐแล้ว แต่ซุนก็ยังคงทำหน้าที่เป็นขันทีตามเดิม และปรนนิบัติรับใช้จักรพรรดิปูยี (Puyi) ที่บัดนี้พระองค์ไม่ได้มีสถานะเป็นจักรพรรดิจีนอีกต่อไปแล้ว รวมไปถึงพระราชวงศ์องค์อื่น ๆ ที่ยังคงอาศัยอยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามต่อไป โดยที่ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลสาธารณรัฐ
4
ซุนเย่าถิง (คนที่ 2 จากขวามือ) และเพื่อนขันทีของเขา
ต่อมาในปี 1924 เมื่อปูยีและพระราชวงศ์ถูกเนรเทศออกจากพระราชวังต้องห้าม ซุนก็ยังคงตามปรนนิบัติรับใช้เหล่าพระราชวงศ์ต่อไป
เมื่อถึงช่วงทศวรรษที่ 1930 ซุนประสบปัญหาทางด้านสุขภาพ ทำให้เขาตัดสินใจที่ลาจากพระราชวงศ์ และเดินทางกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงปักกิ่ง
3
แต่ชีวิตของซุนในกรุงปักกิ่ง ก็เรียกได้ว่าตกระกำลำบากเลยทีเดียว ผลสุดท้ายเขาเลยต้องไปอาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งแทน
1
ถึงแม้ว่าซุนจะยากลำบากมากน้อยเพียงใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาได้เก็บรักษาไว้ยิ่งชีวิต ซึ่งก็คือกล่องที่บรรจุกล่องดวงใจของซุนนั่นเอง
กาลเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงยุคของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซุนก็ยังคงอาศัยอยู่ที่วัดแห่งเดิม แต่โชคยังเข้าข้างซุนอยู่บ้าง ตรงที่มีนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ได้เดินทางมาหาเขา เนื่องจากได้ทราบเรื่องราวของการเคยเป็นขันทีของซุนมาก่อน
3
ทว่าในปี 1966 จีนได้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม พวกเรดการ์ดก็ได้บุกเข้ามาในที่พักของซุน และนำกล่องที่บรรจุกล่องดวงใจของซุนมาเผาจนไม่เหลือซาก ...
4
สาเหตุที่ทำให้พวกเรดการ์ดทำการเผาทำลายกล่องที่เปรียบเสมือนเป็นชีวิตของอดีตขันทีผู้นี้ ก็เพราะว่าซุนคือ "เศษซาก" ของวัฒนธรรมแบบเก่า ...
1
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ได้สร้างความเศร้าเสียใจให้กับซุนเป็นอย่างมาก
1
ท้ายที่สุดซุนเย่าถิงก็ได้เสียชีวิตลงในปี 1996 ที่กรุงปักกิ่ง ด้วยวัย 94 ปี ปิดฉากขันทีคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์จีน
โดยก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า
1
"ชาติหน้าผมคงเกิดมาเป็นหมู หรือไม่ก็หมา ผมคงไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นคนได้อีกแล้วล่ะ"
1
ซึ่งคำพูดนี้ก็สื่อถึงความเชื่อของจีนว่า ถ้าหากตายไปโดยมีอวัยวะครบไม่ครบ ชาติหน้าจะไม่สามารถเกิดมาเป็นคนได้อีก
1
ซุนคงหวังว่าบรรพบุรุษของเขาจะให้อภัยเขาได้ ถ้าหากว่าเขาไม่มี "กล่องดวงใจ" ติดตามไปกับเขาด้วย ...
1
*** Reference
#HistofunDeluxe
โฆษณา