13 มี.ค. 2021 เวลา 14:42 • การศึกษา
ตัวแทนผู้เข้าสอบใบประกอบวิชาชีพครูเข้าร้องเรียนปัญหา
วันที่ 12 มีนาคม 2564 ที่ห้องประชุมมาลากุล สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา มีการจัดประชุมรับฟังข้อร้องเรียนและข้อเสนอของคณะผู้แทนผู้เข้ารับการทดสอบ และประเมินสมรรถนะครู ด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพครั้งที่ 1 ซึ่งคณะผู้แทนผู้เข้ารับการทดสอบ ได้นำเสนอประเด็นต่อที่ประชุม ได้แก่
ประเด็นที่ 1 การกำหนดวิชาเอกที่ไม่เหมาะสมและมีจำกัดเพียง 30 วิชาเอก
ประเด็นที่ 2 ประเด็นผังการออกข้อสอบ (Test blueprint)
ประเด็นที่ 3 ผลกระทบด้านการประกอบวิชาชีพ
3.1 กรณีผู้เข้าสอบเป็นครูหรือลูกจ้างในสถานศึกษาของรัฐ สังกัด สพฐ. ที่มีอายุการทำงานครบ 3 ปี หรือกำลังจะครบ 3 ปี ไม่หลังวันสุดท้ายของการรับสมัครจะไม่สามารถสมัครสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครูผู้ช่วย กรณีพิเศษปี 2564
3.2 กรณีผู้เข้าสอบมีความประสงค์จะสอบแข่งขันเป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย จะไม่สามารถสมัครได้ เพราะการประกาศผลสอบของคุรุสภา และการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจะสามารถดำเนินการได้ภายหลัง 31 มีนาคม 2564
3.3 ผู้เข้ารับการสอบ ไม่สามารถประกอบวิชาชีพครูได้เนื่องจากไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู แม้ผู้เข้าสอบส่วนมากจะมีหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แต่ไม่สามารถนำไปประกอบวิชาชีพในสถานศึกษาแห่งอื่นได้ ทั้งผู้เข้าสอบที่ต่อหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพมาแล้วมากกว่า 3 ครั้ง อาจไม่สามารถต่อได้อีก อาจส่งผลให้ต้องออกจากวิชาชีพครูในสถานศึกษาของรัฐและสถานศึกษาเอกชน
ในที่ประชุมเลขาธิการคุรุสภากล่าวชี้แจงว่า “เล็งเห็นปัญหาผลกระทบจากการสอบครั้งแรกนี้ เมื่อผลการสอบออกมาจะต้องมีการวิเคราะห์อย่างหนักว่าข้อสอบเป็นอย่างไร” และชี้แจงว่า “คุรุสภาไม่ได้มีอำนาจทุกอย่าง มีโครงสร้างการบริหาร ทั้งคณะกรรมการครุสภา คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ในบางเรื่องต้องผ่านคณะกรรมการดังกล่าวก่อน ทั้งนี้ยินดีรับฟังปัญหา ในเรื่องการสอบนี้ไม่สามารถยุติได้ เนื่องจากเป็นกฎหมายข้อบังคับคุรุสภา ซึ่งแนวคิดนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2557 จนมามีรัฐธรรมนูญ 2560 จนมีข้อบังคับต่าง ๆ ที่แก้ไขปรับปรุงเรื่อยมา จนประจวบกับปี การศึกษา 2562 มีการเปลี่ยนหลักสูตรจาก 5 ปี เป็น 4 ปี คณะกรรมการจึงเห็นว่าถึงเวลาที่ต้องเริ่มสอบ”
ในเรื่องการออกข้อสอบวิชาเอกที่มีเพียง 30 วิชาเอกนั้น เลขาธิการคุรุสภา ชี้แจงว่า “ การจัดทำข้อสอบต้องใช้งบประมาณมาก วิชาที่มีคนสอบน้อยอาจจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายทั้งต้องบริหารจัดการงบที่มีจำกัด อีกทั้งยังมีอีกหลายวิชา ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดทำข้อสอบแต่ละวิชาอยู่ที่ประมาณ 2-3 แสนบาท เงินค่าสมัครสอบจึงไม่เพียงพอ”
เลขาธิการคุรุสภา กล่าวเสริมว่า “หากผลการสอบออกมาแล้วไม่เหมาะสม จะนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังกล่าวว่า “ เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ที่สามารถดำเนินการได้ ก็จะดำเนินการให้ ส่วนเรื่องที่ต้องผ่านคณะกรรมการต่าง ๆ ก็ต้องแล้วแต่มติของคณะกรรมการนั้น ๆ”
ทางด้านผอ.สำนักมาตรฐานวิชาชีพให้ข้อมูลว่า “หลักสูตร ป.บัณฑิตวิชาชีพครู นั้นมีลักษณะเฉพาะ ในระยะแรกของการใช้หลักสูตรนี้ จะใช้กับครูที่มีหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพครูเท่านั้น ซึ่งนักศึกษาป.บัณฑิตนี้จะมีวิชาเอกที่หลากหลายมาก สำหรับในการสอบครั้งแรกนั้น ได้ทราบถึงปัญหาเบื้องต้น มาบ้าง โดยเฉพาะในเอกศิลปะ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น”
และยังกล่าวเสริมอีกว่า “ที่เลือก สทศ. ในการจัดการสอบครั้งนี้ เพราะเป็นการจัดสอบครั้งแรก จึงต้องเลือกหน่วยงานที่มีมาตรฐานในการจัดสอบ ในอนาคตจะมีการจัดสอบมากขึ้น ในส่วนของสาเหตุที่มีการเลื่อนการจัดสอบ จากประมาณการเดือน ต.ค. 63 เพราะเป็นไปตามมาตรฐานของสทศ.ที่จะต้องใช้เวลามากพอสมควร ในการจัดทำข้อสอบ โดยประมาณ 8 เดือน”
ด้านประเด็นเกี่ยวกับ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และการต่ออนุญาตหนังสือให้ประกอบวิชาชีพโดยไม่มีใบอนุญาตนั้น ผอสำนักทะเบียนและใบอนุญาต ได้ชี้แจงว่า “สำหรับหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพโดยไม่มีใบอนุญาตนั้น มีเงื่อนไขคือ มีอายุ 2 ปี ให้ได้ไม่เกิน 3 ครั้ง ในการต่อครั้งที่ 4 ต้องนำพิจารณาเป็นราย ๆ ไป ซึ่งคุรุสภาดำเนินการเองไม่ได้ ต้องผ่านคณะกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการมองว่าวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุม การให้ระยะเวลาดังกล่าวตามคณะกรรมการนั้นเพียงพอแล้ว ซึ่งคุรุสภาสามารถทำได้ในเฉพาะส่วนที่ทำได้เท่านั้น” นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า “คุรุสภาทราบถึงปัญหาเหล่านี้ดี ตอนนี้ก็กำลังดำเนินการยกร่างประกาศยกเว้นใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิชาชีพควมคุมเป็นการชั่วคราว ซึ่งได้นำเสนอคณะอนุกรรมการแล้ว และมีส่วนที่ต้องปรับแก้ไขอยู่”
สำหรับข้อเรียกร้องที่ต้องการให้ออกหนังสือรับรองสิทธิให้ผู้สำเร็จการศึกษานั้น ชี้แจงว่า “ในปัจจุบันนี้เอกสารหลักฐานที่ใช้สำหรับประกอบวิชาชีพครู มีเพียง 3 อย่างคือ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ใบอนุญาตปฏิบัติการสอนที่ยังไม่หมดอายุ และหนังสืออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ไม่มีหนังสือรับรองสิทธิและหากมีก็เป็นใบรับรองซึ่งมีอายุไม่กี่เดือนเท่านั้น”
โดยในประเด็นนี้ ที่ปรึกษาของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา และผู้เชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านกฎหมายได้ให้ข้อคิดเห็นว่า สำหรับการออกหนังสือรับรองที่เป็นอำนาจของคุรุสภาอาจออกให้ได้ แต่ ในเรื่องของการนำไปใช้สอบแข่งขันหรือบรรจุแต่งตั้งได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของหน่วยผู้ใช้ครู ที่ยังไม่ทราบว่าจะให้ใช้ได้หรือไม่ ซึ่งจะได้นำเสนอคณะกรรมการต่อไป
นอกจากนี้ ผอ.สำนักมาตรฐานวิชาชีพ ชี้แจงว่ายังต้องรอการประกาศผล เพื่อพิจารณาว่าข้อสอบเป็นอย่างไร สำหรับหลักฐานต่าง ๆ ที่คุรุสภาออกนั้น ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายใช้ ซึ่งต้องยอมรับเงื่อนไขของฝ่ายบรรจุด้วย”
ทางด้านเลขาคุรุสภา เสริมกล่าวว่า “หากมีการออกหลักฐานรับรองก็จะสามารถออกได้ตามสภาพจริงเท่านั้นที่พึงกระทำได้”
สำหรับขอสงสัยเกี่ยวกับงบประมาณนั้น ผอ.สำนักมาตรฐานวิชาชีพ ให้ข้อมูลว่า “คุรุสภามีรายได้เพียงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และงบประมาณแผ่นดิน ไม่เหมือนกับ สกสค ที่หารายได้ได้เอง สำหรับการจัดสอบนี้ได้รับงบประมาณมาจำกัด โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณให้ถึงปี 65 เท่านั้น หลังจากนี้จะต้องบริหารจัดการเอง”
สุดท้าย เลขาธิการคุรุสภา กล่าวย้ำว่า “ยินดีรับฟังทุกเสียงสะท้อน และจะนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ที่ได้สะท้อนมาให้กับคณะกรรมการต่อไป สำหรับการประกาศผลการทดสอบบนั้น คุรุสภาจะดำเนินการประกาศผลสอบหลังจากประชุมคณะกรรมการคุรุสภา ในวันที่ 26 และหากสอบผ่านทั้ง 5 วิชา และมีคะแนนผลการประเมินครบถ้วน ก็จะสามารถดำเนินการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางระบบได้เลย ขอให้มั่นใจว่าจะสามารถทันการสอบคัดเลือกครูกรณีพิเศษนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากได้เตรียมระบบต่าง ๆ ไว้รองรับแล้ว”
โฆษณา