15 มี.ค. 2021 เวลา 18:17 • การตลาด
#BenNote #The_Secret_Sauce
#Rinen หลักคิดญี่ปุ่นสร้างธุรกิจ 100 ปีด้วยการถาม #คุณเกิดมาทำไม
อ.เกตุ กฤตินี พงษ์ธนเลิศ (เกตุวดี Marumura)
คุณเคน นครินทร์ วนกิจไพบูลย์
Podcasted on March 13, 2021
ที่จริงเบ็นฟังและเขียนเล่าเรื่อง Rinen มาแล้ว 2-3 ครั้ง แต่ยังคงชอบฟัง สนุก และอัศจรรย์ใจทุกครั้งที่ได้ฟังเคสดีๆ จาก อ.เกตุ ... มันเป็นความรู้สึกดี ๆ มาก ๆ ที่ได้ฟังเรื่องของคนที่รักและมี passion กับสิ่งที่ตัวเองทำขั้นสุด คนญี่ปุ่นมีความญี่ปุ๊นญี่ปุ่น คือละเอียด ใส่หัวใจ และลึกซึ้งกับงานอย่างยิ่งยวด งานของคนญี่ปุ่นจึง “ลึก” มากๆ และ “ล้ำ” มากๆ
เสน่ห์ของการฟังอาจารย์เกตุเล่าเคสต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะเคส Rinen นะคะ (ล่าสุดฟังอาจารย์เกตุเล่าเรื่อง Packaging Design ที่เป็นมากกว่า packaging design) เสน่ห์คือความ “คิดได้ไงวะ” ที่เราจะได้ค่ะ 555 เบ็นชอบฟังว่าเค้าคิดให้มันลึกแบบไหนได้บ้าง ละเอียดเบอร์ไหนได้อีก และสำหรับ podcast นี้มีความเน้นไปเรื่องการพัฒนาตัวเองตามลูกค้า ตามกาลเวลาแต่ไม่ทิ้งหัวใจตนเอง ... น่าสนใจมากกกกก ... มากเลยเนอะ
นี่ไม่นับว่าเบ็นรักความญี่ปุ่นด้วยน่ะนะคะ รักผู้คน รักวัฒนธรรม รักบรรยากาศ จากที่ได้สัมผัส เท่าที่ได้สัมผัส (ก็ไม่มากครั้ง ไม่ยาวนานนะคะ ประสบการณ์ญี่ปุ่นน้อยนิดแหละค่ะ แต่รักมาก 555) เบ็นรักความใส่ใจคนอื่นโดยธรรมชาติของคนญี่ปุ่นมาก ดังนั้นเวลาได้ฟังอะไรแบบนี้จะอินมาก ... เฮ้ออออ ... โควิดถล่มจนเซกันไปเบอร์นี้ ก็ไม่รู้จะมีโอกาสได้ไปอีกเมื่อไหร่ ... ช่วงนี้เลยฟังเรื่องญี่ปุ่นบ้าง ดูเรื่องญี่ปุ่นบ้างแก้คิดถึง 😊
(#นอกเรื่อง #ข้ามได้ค่ะ 😬 อยากแนะนำให้ดูเรื่องการสร้างงานคราฟท์ทั้งหลายของญี่ปุ่นค่ะ ... แล้วจะตายไปเลย 555 ยอมใจในความพิถีพิถัน ลึกซึ้ง ... มันคืออารมณ์แบบ... คุณศิลปินไม้ไผ่มีปล้องไม้ไผ่พันธ์ต่างๆ จากทั่วญี่ปุ่นสะสมอยู่ในบ้านเป็นสิบๆ สายพันธ์ แล้วพออยากทำงานสักชิ้นก็ไปด้อมๆ เลือกมาว่าไม้ไผ่พันธ์ไหน ปล้องไหนเหมาะ แล้วก็ทำ ... ผลงานที่ดูเป็นกล่องไม้ธรรมดานี่เลอค่าขึ้นมาเลย คือแม่งทำยากมั่กๆ ... (งานหัตถศิลป์ไทยก็เช่นกัน)
ที่เป็นขั้นกว่าคือ เพื่อไม่ให้ความรู้ภูมิปัญญาสูญหายไป ศิลปินท่านวาดรายละเอียดแบบทุกขั้นตอน เขียนอธิบายไว้ในสมุด มีการทำทำเนียบรูป ... นั่นนนน มีความ Knowledge Management ไปอีก ... ลอง search youtube ดูนะคะ มันสร้างแรงบันดาลใจ และทำให้เรา Amaze จริงๆ บางทีก็มาย้อนถามตัวเองว่าเราลึกกับงานของเรามากพอหรือยัง ลึกกว่านี้ได้อีกไหม เราเป็นศิลปินแห่งอาชีพเราได้ไหม)
อ่ะออกทะเลญี่ปุ่นไปไกลละ เราไปฟังเรื่องที่ อ.เกตุเล่าให้คุณเคนฟังกันดีกว่า
🥰🥰
#เข้าเรื่อง
ทำไมประเทศญี่ปุ่นจึงมีองค์กรอายุ 100 ปีมากที่สุดในโลก เขาคิดยังงัยเพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้ยั่งยืนยาวนานกันนะ ในโลกปัจจุบันที่องค์กรมีอายุสั้นลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Startup ที่เกิดดับกันรวดเร็ว แนวคิดนี้น่าจะช่วยให้เราเข้าใจและมองธุรกิจของเราในแบบ long term ได้มากขึ้น
💖 // หนึ่ง //
#เริ่มกันที่รากความคิด
นักธุรกิจญี่ปุ่นที่องค์กรอยู่ได้นานๆ ไม่ไม่ได้ทำธุรกิจเพื่อเงิน เค้าจะเห็นว่าสินค้าของเค้ามีคุณค่าบางอย่างที่อยากส่งต่อไปสู่ผู้คนไปอีกนานๆ
เช่นร้านดอกไม้ก็จะคิดว่าถ้าเราไม่ทำร้านดอกไม้แล้ว ก็อาจจะไม่มีใครได้รับดอกไม้สวยๆ แบบนี้อีกเลยก็ได้ พยายามทำต่อดีกว่า แนวคิดแบบนี้ไม่เหมือนกับแนวคิดธุรกิจปกติทั่วๆ ไป ร้านดอกไม้ทั่วไปจะมองตัวเลขเป็นหลักจะเอาดอกไม้จากไหนถึงจะขายได้เยอะที่สุด ทิ้งดอกไม้น้อยที่สุด
ร้านดอกไม้ญี่ปุ่นก็มองตัวเลขในแต่ละวันเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันเค้าคิดด้วยว่า ... ดีใจจังที่สาวๆ ออฟฟิศหายเหนื่อยจากการทำงานเพราะดอกไม้จากร้านเขา อยากให้สาวๆ ชุ่มชื่นหัวใจต่อไปจัง มีใครอีกไหมนะที่ต้องการให้เอกไม้ไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต”
วิธีคิดแบบนี้ทำให้วิธีการ deversify business น่ารักกว่าที่อื่น (อ.เกตุเปลี่ยนเป็นคำว่า unique ... คือวิธีการ diverse จะ unigue กว่าที่อื่น แต่เบ็นชอบคำว่า “น่ารัก” มากกว่า มันดูคาวาอี้ คิเรเนะ human touch แบบญี่ปุ่นๆ ดี :))
ร้านดอกไม้ที่ อ.เกตุพูดถึงคือร้าน Hibiya Kadan อายุประมาณ 200 ปี ซึ่งแก่นขององค์กรคือ “จะทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้นด้วยดอกไม้และต้นไม้” เวลาเค้ากลับมาถามตัวเองว่าใครที่ต้องการให้ดอกไม้ดีขึ้น
- ตอนแรกอาจจะเป็นหนุ่มสาวซื้อดอกไม้ให้กัน
- แต่เอ๊ะคนทำงานออฟฟิศก็ต้องการนะ Working Woman ตัวคนเดียวทำงานเหนื่อยๆ กลับบ้านมีดอกไม้เล็กๆ วางไม่ต้องเสียเวลาจัดก็น่าจะดี Hibiya Kadan ก็ทำดอกไม้เล็กๆ 500 yen ขาย ให้สาวๆ ออฟฟิศซื้อกลับไปวางที่บ้านได้เลย
- ยังไม่พอ ... คนออฟฟิศต้องการแต่ไม่มีเวลาปลูกต้นไม้ งั้นให้เช่าต้นไม้ไปวางในออฟฟิศ ในห้องประชุม :) ที่พีคคือไม่ได้คิด product หรือ service เฉยๆ แต่ทำวิจัยจริงจังมีผลเป็นตัวเลขออกมาว่าถ้ามีต้นไม้ในห้องประชุมจะทำให้ talk negative ลดลง 20% คนจะทะเลาะกันน้อยลง นี่ ... เล่นใหญ่เบอร์นี้
เค้าจริงจังกับการทำให้ชีวิตคนดีขึ้นตามแก่นหลักขององค์กร มองว่าดอกไม้และต้นไม้จะทำให้ชีวิตคนดีขึ้นยังงัยจริงๆ ไม่ได้มองลูกค้าว่าเป็นแค่คนมาซื้อแล้วจบไป
มันคือการคิดถึงเหตุผลในการมีอยู่ขององค์กร ... คือ Why? ... อารมณ์ประมาณว่า “เราเกิดมาทำไม”
💖 // สอง //
#ริเน็นคือ
ดังนั้น Rinen คือ ปรัชญาธุรกิจ สิ่งที่องค์กรยึดมั่น สิ่งที่เราเชื่อ เหมือนเป็นศีล 5 เป็นกฎขององค์กร ซึ่งพนักงานทุกคนในองค์กรจะต้องเรียนรู้
ที่ญี่ปุ่นเป็นประเพณีว่าถ้าเป็นเด็กจบใหม่จะเริ่มทำงาน 1 เมษายนพร้อมกันหมดทั้งประเทศ เพราะมีแนวคิดว่าเด็กจบใหม่คือผ้าขาว บริษัทจะ groom ให้เป็นคนของบริษัทไปจนจบชีวิตการทำงาน (เค้ามองยาวววววอ่ะโนะ) บริษัทจะทุ่มเทกับเลือดใหม่มากๆ จะใช้เวลาเทรน 1 ปี เด็กใหม่จะเข้าพร้อมกัน เรียนรู้พร้อมกันเป็นรุ่น มีความสนิทสนมกันเหมือนเพื่อนมหาวิทยาลัย
บริษัทจะสอดแทรก สอน rinen ตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน ก่อนจะไปสอนเทคนิคการขาย การบริการหรือเรื่องอื่นๆ เพราะฉะนั้นคนญี่ปุ่น (ในองค์กรที่ประสบความสำเร็จ) จะรู้เรื่อง Rinen เป็นอย่างดี
💖 // สาม //
#Rinen VS #Vision_Mission
โครงสร้างของ Rinen คล้ายกับ Vision Mission ของตะวันตก แต่จะไม่ได้เน้นที่กำไรสูงสุด มองที่สังคมและลูกค้าเป็นหลัก
เช่นร้านเค้ก Taneya ขายเค้กวงไม้ มีความเชื่อว่าวัตถุดิบต้องดี ต้อง organic แต่ไม่มีใครสวัตถุดิบดีๆ ให้ วัตถุดิบ organic ค่อยๆ ลดลง esp. ข้าวสาลี ดังนั้นปลูกเองมันเร้ยยยย เพื่อ proof ว่าวัตถุดิบ organic ขายได้จริง จะได้จูงใจเกษตรกรให้หันมาปลูกได้
Taneya ไปกู้ Bank มาเหมาซื้อภูเขาเพื่อปลูกข้าว ... bank ถึงกะงง แกเป็นร้านขนมจะมาปลูกข้าวเพื่อ...!!! ก็เพื่อทำให้เกษตรกรหันมาปลูกให้ฉันไง
... (สุโค่ยยยย ... คิดได้อ่ะเนาะ) การทำแบบนี้มันเกินคำว่า Feasibility Study มันไม่ใช่เรื่องตัวเลข แต่มันคือการที่เราอยากให้สิ่งดีๆ สิ่งที่เราเชื่ออยู่ต่อไป
💖 // สี่ //
#หลักของริเน็น
1. value
ข้อแรก A must คือการสร้างคุณค่าให้กับคนอื่น ... คนอื่นคือลูกค้า คู่ค้า สังคม ไม่ใช่เพื่อตัวเอง จะไม่มีเป้าหมายเป็นการเติบโตหรือยอดขาย เพราะนั่นคือเพื่อตัวเอง ... Rinen จะเป็นหลักคิดเพื่อนคนอื่น
บางบริษัทมี Rinen ง่ายมากคือ “จะเป็นบริษัทที่ดี” (อ.เกตุบอกว่าง่ายๆไม่ได้เท่อะไร แต่เบ็นว่าโคตรเท่เลย และทำยากมากด้วยเนอะ) ... ปรัชญาง่ายๆ แต่ตั้งใจทำจริงๆ ... ต้องการเป็นบริษัทที่ดีจริงๆ
คุณเคนเสริมว่าเรื่องนี้ถ้าเทียบกับตะวันตกน่าจะคล้ายๆ Social Enterprise หรือ Stakeholders Capitalism ค่ะที่คิดถึง Stakeholders ด้วยไม่ได้คิดถึง Shareholders อย่างเดียว
(ชอบคำนี้แฮะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย Stakeholders Capitalism:))
2. Practice
ทำจริงๆ อย่าแค่มีเพื่อเอาไว้แปะฝาผนัง Rinen จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่เอามาใช้สอนพนักงาน และใช้เป็นเกณฑ์ในการรับพนักงาน
💖 // ห้า //
#อะไรไม่ใช่ริเน็น
ไม่มี ... ที่จริงมันไม่มีอะไรถูกผิด เพราะมันคือความเชื่อคือปรัชญา แต่...
#ปรัชญาที่ไม่ใช่เรา ไม่ได้มาจากความเชื่อของผู้บริหาร ไม่ใช่ปรัชญาที่ดี มันจะเหมือนเราพยายามจะเล่นละครเป็นใครก็ไม่รู้
#ปรัชญาที่ดีคือปรัชญาที่สะท้อนวิธีคิดของผู้ก่อตั้ง
เช่น Honda ปรัชญาคือ “การสร้างความฝันให้กับผู้คนด้วยเทคโนโลยี” ดังนั้น Honda จะไม่ได้ทำแค่รถ แต่ทำรถแข่ง ทำเครื่องบิน เพราะนั่นคือความฝันของผู้คน
ในขณะที่ Toyota จะสร้างความสุขให้กับผู้คน ล่าสุดประธาน Toyota ปัจจุบันกล่าวว่าจะ “Industrialize Happiness” จะสร้างความสุขในระดับอุตสากหรรม คือเป็น โรงงานผลิตความสุข (เนี่ยยยยย ... คิดได้อ่าาา) ซึ่งมันโตโยต๊า โตโยต้า ... ทางฝั่ง Honda จะไม่พูดแบบนี้ จะไปพูดเรื่อง Passion, Fun, Creative
ไม่มีอะไรผิด แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน แต่ละองค์กรไป และมันจะสะท้อนไปที่การเลือกคนด้วย พนักงาน Toyota จึงจะ formal กว่า ใส่สูทจริงจัง แต่ Honda People จะย้อมผมได้ เฮ้วๆ ... เป็นคนละ nature คนละ character กันเลย
💖 // หก //
#ริเน็นสร้างยังงัย
1.
ตอบให้ได้ว่าเราทำธุรกิจไปเพื่ออะไร หรือคุณค่าของธุรกิจเราคืออะไร
ถามตัวเองง่ายๆ ถ้าไม่มีเราใครจะคิดถึงเรายังงัยบ้าง ถ้าไม่มีเราจะเกิดอะไรขึ้น คำถามนี้จะทำให้เห็นภาพชัดเจนถ้าเราสั่งสมอะไรมาระดับหนึ่ง ว่าคุณค่าของเราคืออะไร
ไม่สำคัญว่าองค์กรคุณจะอายุเท่าไหร่ ทบทวนดูว่าคุณค่าของคุณคืออะไร
2.
ประโยคจะเรียบง่ายหรือสวยหรูอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญที่สุดคือผู้บริหารอยากพูดเรื่องนี้ทุกวันไหม เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องบอกคนในองค์กรของเราทุกวัน ทุกอาทิตย์
คุณพูดประโยคนี้แล้วโอเคหรือยัง พูดแล้วคล่องปากไหม รู้สึกตื่นเต้นที่จะเล่าหรือเปล่า ถ้าใช่ ... เอาเลย นั่นแหละ Rinen ของคุณ ไม่มีอะไรถูกผิด เอาที่เป็นคุณ
3.
ตั้ง Rinen มาแล้ว อย่าลืมถามตัวเองซ้ำว่าทำไมใช้คำนั้น ประโยคนั้น แล้วตอบอีกที เพื่อ reconfirm ว่าเราเชื่อและเป็นแบบนั้นจริงๆ
Ex. The Standard จะทำข่าวที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม
Why? ทำไมใช้คำว่าเปลี่ยนแปลง
Why? ทำไมใช้คำว่าเชิงบวก
ถามและตอบตัวเองดูว่าเรื่องราวที่ออกมามันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไหม ถ้าใช่ก็ CF :)
4.
มี Why (Rinen) อย่างเดียวไม่พอ ต้องเอา Why? มาใช้ในการตัดสินใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในองค์กรด้วย
Ex. The Standard ใช้ตัดสินใจว่าจะเสนอข่าวใดๆ ที่ controversial หรือในองค์กร question ไหม ... โดยดูว่ามันสร้าง impact เชิงบวกให้สังคมไหม >> #เปลี่ยนแปลง #เชิงบวก >> ใบ้หวยไม่น่าใช่ ก็ไม่เสนอ โดยไม่ได้สนใจยอด Engagement เป็นหลัก
เราต้องเอามันมาถามกัน ตรวจสอบกันในองค์กรตลอดเวลา ไม่งั้นก็จะกลายเป็น Rinen ที่ติดผนังเหมือนเดิม
💖 // เจ็ด //
#จากริเน็นแล้วไปไหน
เมื่อทบทวนตัวเองและได้ Rinen ออกมาแล้ว เอามาสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กรและปฏิบัติ
ของญี่ปุ่นจะทำเหมือนเป็นโรงเรียนเลย ยิ่งในบริษัทที่แข็งแกร่งมากๆ ยิ่งเข้มข้น มีการแชร์ มีการถกกัน คุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มุมมองต่อสิ่งนั้น เหมือนเวลาที่ Aristotle หรือ Socrates สอนปรัชญา ก็ไม่ได้มีตำรา แต่มานั่งถกกัน 🤔
ในวิชาริเน็นขององค์กรญี่ปุ่นก็เช่นกัน มีความถกกัน
Ex. มี morning meeting ที่เป็น weekly หรือ monthly ให้ทุกคนมา share ... ริเน็นเราคืออะไร แล้วแต่ละคนไปสร้าง / ทำอะไรตามริเน็นนั้นมาบ้าง เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะ Rinen 1 ประโยคใครๆ ก็ท่องได้ แต่คุณเป็นคนแบบนั้นหรือยัง คุณเป็นคนขององค์กรหรือยัง มันอยู่ที่การกระทำ
พนักงานใหม่ที่เข้ามาจะต้องเขียน essay ถึงนิยามของของ Rinen ตามความเข้าใจของตนเอง เช่น ความเปลี่ยนแปลงในนิยามของคุณคืออะไร เชิงบวกในนิยามของคุณคืออะไร แล้ว Manager ต้องตรวจ
การทำแบบนี้คือการกระตุกให้พนักได้คิดกับมันจริงๆ ว่าคำๆ นี่ขององค์กรสำหรับตุณมันคืออะไร ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะ Rinen คือปรัชญา มันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แล้วที่สำคัญการกระทำของคุณมันสะท้อนปรัชญานั้นหรือเปล่า
Ex. The Standard อาจจะถามกันว่า
#วันนี้คุณเปลี่ยนแปลงใครในเชิงบวกอย่างไร :)
หรือถ้ามีข่าวไหนดีมากๆ engagement สูงมากๆ ก็เอามาแชร์กันว่ามันมีความ The Standard อย่างไร
So beyond inventing, is the realm of taking it into action
#เอาสิ่งที่อยู่ในกระดาษมาทำจริงและถามพนักงานว่ามันเป็นอย่างไรบ้างมันจึงจะมีชีวิต
💖 // แปด //
#ข้อควรระวัง
เราต้องยึดมั่นใน Rinen มากพอ เพราะมันมีสิ่งที่จะมาเย้ายวนเราให้ละทิ้ง Rinen มากมาย
เช่นเหล้าบ๊วยเจ้าเก่าแก่ 100 ปีของญี่ปุ่น Choya ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก ริเริ่มทำเหล้าบ๊วย เป็นผู้ไป fight กับรัฐบาลว่าจะเอาบ๊วยใส่ในสาเกจนรัฐบาลยอม Choya ใช้บ๊วยคุณภาพดี ไม่ใส่สารกันบูดและสารแต่งกรดที่ทำให้เปรี้ยว พอทำสำเร็จก็มีคนทำตามมากมาย แต่ใช้บ๊วยคุณภาพต่ำ ใช้สารแต่งรส
พนักงานรู้สึกว่ายอดขายตกลงเรื่อยๆ งั้นเราน่าจะทำเหล้าถูกๆ ไปขายแข่งบ้าง ผู้บริหารกลับมาดู Rinen ... ปรัชญาขององค์กรคือการทำเหล้าบ๊วยที่มีคุณภาพ ... จึงตัดสินใจไม่ทำ ยอมยอดขายตกตอนนั้น และคิดหาวิธีอื่นเพื่อสร้างยอดขาย ...
โดยการตั้งคำถามว่าเหล้าบ๊วยคุณภาพดีเอาไปทำอะไรได้อีกบ้าง
- Choya ทำเหล้าบ๊วย Premium ที่แพงขึ้นไปอีกแล้วส่งขายต่างประเทศ เลยกลายเป็นเหล้าบ๊วยเจ้าแรกที่บุกตลาดต่างแดน และขายดีมากๆๆๆๆ ไปอีก 🎉🎉🎉
 
- นอกจากนั้นทำ bar ที่ให้สาวๆ มา mix and match เหล้าบ๊วยเอง เป็นเหล้าบ๊วยใส่เกล็ดน้ำตาลสวยๆ เป็นสีๆ มีรูปร่างต่างๆ ให้คนถ่ายรูป ทำให้คนรักเหล้าบ๊วยมากขึ้น 🥰
เลยกลายเป็น Theme ใหม่ของ Choya ว่าทำยังงัยให้คนอินกับเหล้าบ๊วยมากยิ่งขึ้น
ที่น่าเสียดายคือบ้านเรามักจะยอมแพ้ ... ไม่เห็นคุณค่า ข้าวหมากไม่มีคนกินก็หายไป โรงงานน้ำปลาหมดรุ่นพ่อแม่ ลูกหลานก็ไม่อยากสืบทอดแล้ว ในขณะที่ญี่ปุ่นโรงงานซีอิ๊วสืบทอดกันยาวนาน บางแห่งอายุ 600 ปี เค้าเห็นคุณค่าสิ่งที่ทำ มันเป็นรสชาติดั้งเดิมที่ถ้าเค้าไม่รักษาไว้การกินแบบญี่ปุ่นที่ดีต่อสุขภาพจะหายไป กลายเป็นกินเกลือ กินซอสแบบอื่นกันหมด ... พอเป็นแบบนี้เค้าจะ fight สู้ต่อว่าจะทำยังงัยให้คนยังรักสิ่งนี้ จะเล่ายังงัย จะสื่อสารยังงัย
สรุปว่า #Rinenไม่ใช่การทำสิ่งเดิมๆ ไม่ใช้การหยุดคิด แต่เป็นการยึดหลักหรือแก่นแท้ขององค์กรไว้ แล้วพัฒนาต่อ
💖 // เก้า //
#ทำอย่างไรให้ผู้สืบทอดเป็นคุณค่าและพัฒนาต่อ
ผู้บริหารรุ่นปัจจุบันต้องทุ่มเทกับสินค้าตัวเอง ไม่ใช่ทำสินค้าอะไรก็ได้แล้วจะมาหา Rinen ต้องอินกับสิ่งที่ตัวเองทำเห็นคุณค่าและพัฒนามันต่อไปเรื่อยๆ
คนญี่ปุ่นจะคิดว่า “ขายได้น้อยๆ แต่นานๆ ดีดว่าขายได้เยอะแล้วหวือหวา” ขายให้คน 1 คนซื้อเรา 100 ครั้งดีกว่าขายให้คน 100 คนครั้งเดียว เพราะมันคือ TRUST คนที่กลับมาซื้อเรา 100 ครั้งแสดงว่าเค้าไว้ใจเรา มันคือ Brand Loyalty ซึ่งสร้างยากมาก ถ้าเราสร้างได้ คู่แข่งสร้างไม่ได้ คุณจะกินตลาดได้ยาว
💖 // สิบ //
#ริเน็นจะสู้กับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ทั้งภัยคุกคามทางเศรฐกิจ โควิด disruption เราจะยืนหยัดอย่างไรถ้าขาดทุนมาต่อเนื่อง 2-3 ปี
ขาดทุนแปลว่าผู้บริหารไม่ดี อย่าโทษ industry อย่าโทษคนอื่น ให้กลับมาดูตัวเอง ...
ดูตัวอย่างจากบริษัทในตลาดหุ้นญี่ปุ่น 2 เจ้าเป็นห้างที่ยอดขายและกำไรเติบโตติดต่อ 31 ปีไม่เคยตกเลย ในขณะที่ห้างอื่นๆ เช่น Dia ปิดไป Jusco ลดขนาดกิจการ ... ดังนั้นไม่เกี่ยวกับ Industry
ห้างแรกคือ Yauco ที่ไซตามะ ตั้งใจ support คนทำอาหาร มี corner ชื่อ cooking meal support ทำหน้าที่คล้าย concierge ของโรงแรม ทำอะไรไม่เป็นสอนให้ มีการคิดสูตร บอกสูตร พนักงาน concierge เป็นแม่บ้านที่อยากช่วยให้คนทำอาหารเป็นมารับงาน Part-time (โอ้ยยยย ย่ารักขนาด) ที่ญี่ปุ่นมี culture ว่สต้องทำอาหารกินเองเพราะถูกกว่า ช่วง Covid ที่ต้อง WFH มุมนี้เลยฮิตมากในหมู่หนุ่มๆ วัยทำงานที่ทำอาหารไม่เป็น ว่ะฮ่าฮ่า ... กลายเป็นดีไปอีก ... ยอดขายไม่ตก
ห้างมีการปรับ Shelf ตามเทรนด์ตลอดเวลา คนชอยกินอะไร แบบไหนกันแล้ว ปรับตาม แต่คง Rinen ไว้คือต้องการช่วยให้คนทำอาหารได้เอง
อีกเจ้าคือ OK Supermarket... Rinen คือ Low Price, High Quality ห้างนี้ทำทุกอย่างเพื่อลดต่นทุน โดยไม่ compromise กับ Quality ของลูกค้า เช่นที่นี่ไม่มีตู้แช่ ขายเครื่องดื่มอุณหภูมิปกติเท่านั้น และเลือกเจ้าเด็ดๆ เท่านั่นเพื่อลด cost
ห้างนี้มี Honest Card เขียนบอกลูกค้าว่า ... แครอทตอนี้แพงนะ อาทิตย์หน้าราคาจะถูก ถ้าไม่รีบใช้ยังไมาต้องซื้อ 😮 หรือองุ่นช่วงนี้เอาเข้ามาจาก Africa จะเปรี้ยวหน่อยนะ เดือนหน้าของ Florida ที่หวานกว่าจะเข้า ถ้าจะซื้อตอนนี้แล้วเปรี่ยวไปให้กินกะน้ำผึ่งจะอร่อยขึ้น 😇
Sexy เลยยยย...
2 ห้างนี้ทำให้เราเห็นว่าปรัญชาไม่ได้ทำให้ยอดขายตกหรือไม่พัฒนานะ ตรงกันข้ามถ้าเรายึดมันแน่นพอ ปรัชญาจะทำให้เรากล้าเปลี่ยน
ปรัชญาคือเราจะ High Quality แต่ High Quality ของ 20 ปีที่แล้วกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราต้องเปลี่ยน ...
ถ้าเราดูแต่ตัวเลข เห็นห้างนี้ทำ low price และยอดขายขึ้น เราจะทำตาม แต่คุณจะแพ้ในที่สุด เพราะคุณไม่เข้าใจ ไม่ได้อินเรื่องการลดราคาแบบเค้า มันไม่ใช่ตัวคุณ
#ริเน็นคือแก่นที่คุณต้องยึดไว้ตลอดเวลา ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรที่เปลี่ยนแปลงขึ้น เราต้องใช้ Rinen ของตัวเองมา Adapt ต่อ
ดังนั้น Rinen จะยิ่งช่วยให้เราเติบโตถ้าเราเข้าใจแก่นของเราดีพอ
💖 // สิบหนึ่ง //
#Rinen_and_Core_Competency
ถ้าทำให้ Rinen กลายเป็นองค์ความรู้ได้ มันจะกลายเป็น Core Competency ของบริษัท
บริษัทญี่ปุ่น เช่น Hibiya Kando ร้านดอกไม้ 200 ปีจะไม่โตออกไปนอกอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่เวลาเรามีเงินเยอะๆ เราจะไปลงทุนตาม trend เช่น อสังหาฯ health care แต่ Hibiya จะไม่ทำแบบนั้น จะทำดอกไม้แต่พัฒนาเรื่องราวของดอกไม้ตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น เปิดคลาสสอนผู้สูงอายุจัดดอกไม้ Hibiya จะ #ไม่ทิ้งรากเดิมของตัวเอง
ซึ่งพอเค้าสะสม Knowhow ไปถึงระดับหนึ่ง Hibiya จะรู้ดีกว่าคนอื่น แล้วไม่มีสามารถเอาชนะเค้าได้ ... ถ้าสิ่งนี้หายไป “เวลา” ที่องค์กรนี้มีจะไม่มีใครมาแทนได้
*สำหรับบริษัทใหญ่ที่ Diversify ไปในหลายธุรกิจจะใช้ Stretegy ที่ต่างออกไป คือแต่ละขาก็มี Rinen ของตนเอง แต่อยู่ใต้ umbrella ใหญ่ เช่น ความสุข >> ตึกที่สร้างความสุข / อาหารที่สร้างความสุข / รถที่สร้างความสุข :)
💖 // สิบสอง //
นอกจาก Rinen แล้วสิ่งที่ทำให้องค์กรญี่ปุ่นอยู่ยั้งยืนยงคือความเป็นนักเรียนรู้
- รู้ในสิ่งที่ตัวเองรัก
- เรียนรู้ในสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
- และกล้าเปลี่ยนตัวเอง
คนญี่ปุ่นจะเรียนรู้ Knowhow ให้ลึกขึ้นเรื่อยๆ
Ex. บริษัททำ packaging ที่โดน disrupt ง่ายมาก แต่บริษัทนี้หาความเชี่ยวชาญให้ตัวเอง เป็นบริษัทที่ทำกล่องยาโดยเฉพาะ Marketshare 90% ในญี่ปุ่นอายุ 100 ปี
เค้าสั่งสม Knowhow ว่ายาแต่ละชนิดต้องเขียนยังงัย กฏหมายเป็นอย่างไร คอย update ความรู้ตัวเองว่ากฏหมายเปลี่ยนไปยังงัย บริษัทยาจึงไว้ใจเจ้านี้ ไม่ไปใช้เจ้าอื่น กลัวทำออกมาแล้วผิดกฏหมาย
หรือบริษัท Midori Unsen ผลิตรองเท้าสำหรับคนงานเหมืองที่ safety มาก พัฒนาจนรถเข็นเหยียบเท่าจะกระเด้งออก 😱 เค้าทำรองเท้าจนสุดแล้ว ก็มาดูว่าแล้วคนอยากได้อะไรอีก หมวก เชือก ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Safety บริษัทนี้จัดให้ :) เค้าเก่งเรื่องความปลอดภัยไม่ใช่รองเท้า
นี่คือการที่เราไม่ได้ยึดติดกับรองเท้า แต่ดู need คน ดูความแข็งแกร่งของเรา ใช้จุดแข็งที่เรามีแล้วปรับไป ต่อยอดไปเรื่อยๆ
💖 // สิบสาม //
Rinen ทำให้เราสามารถการเติบโตแบบ only one ... ไม่ซ้ำใครได้
ข้อดีคือ deep มากจนไม่มีใครเลียนแบบได้ เช่น บริษัทที่ขายน้อตอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นน้อตที่ทำให้ Nasa ก็จะ deep มากและไม่หยุดที่จะพัฒนาให้มันดีขึ้นเรื่อยๆ
ข้อเสียคือความเสี่ยงสูงเพราะกว่าจะพัฒนาอะไรขึ้นมาได้ อาจจะใช้เวลานาน และอาจล้มเหลวได้ ซึ่งบริษัทที่อยู่มานานๆ ก็จะมีทุนพอมีาจะรีบความเสี่ยงนั้น
ยิ่งเล็กเรายิ่งทำอะไรที่พิเศษ คนอื่นไม่ทำ หรือไม่ทำซ้ำได้ :)
Ex. กระเป๋าที่มี rinen ว่าจะเป็นกระเป๋าที่ใช่ไปได้ 3 generations แบบอาจลอกเลียนได้ แต่คุณภาพและ process ที่เค้าใส่ลงไปไม่มีใคครทำได้ เช่น
- มันต้องทนมากๆ วัสดุต้องดี
- หูกระเป๋าขาดบ่อย ก็ออกแบบวิธีการเย็บที่แยกส่วนออกมาแล้วส่งมาซ่อมได้
- พนักงานเย็บต้องเป็นพนักงานร้านด้วย เพื่อให้ได้พบและเข้าใจลูกค้า
- ไม่ขาย online เพราะต้องการเจอลูกค้า
- คนที่จะได้กระเป๋าไปต้องได้คุยและเข้าใจคุณค่าของกระเป๋าจริง
นี่คือความเป็นคนตัวเล็กที่ยึดมั่นว่าจะทำตามความเชื่อของตนเอง แต่ไม่ใช่การฆ่าตัวเอง แบบไม่ทำตามโลก เพราะไม่อยากทำหรือขี้เกียจทำ แต่มันคือการไม่ทำเพราะคิดดีแล้วว่าจะไม่ขาย online เพราะอะไร
💖 // สิบสี่ //
#ริเน็นเริ่มที่คนเล็กๆ
#รวมกันเป็นนิเวศใหญ่ๆ
คนญี่ปุ่นมีอาชีพแปลกๆ เยอะมากเพราะเวลาเค้าสนใจอะไร แล้วเค้าจะลงลึกศึกษาจริงจังจนกลายเป็น Knowhow เช่น Hondo Marie นักจัดบ้าน ก็เชี่ยวชาญว่าจะจัดยังงัยไม่ให้รกอีกเลย พอมี Knowhow แล้วก็ปรับไปเรื่อยๆ ตามลูกค้าที่เปลี่ยนไป แล้วได้ Knowhow ใหม่ มันสั่งสมไปลึกจนเค้าสร้างเป็นอาชีพได้ ... นักถ่ายภาพพยูนยังมี คือถ่ายแต่พยูนมาตลอดชีวิต ใครจะถ่ายพยูนต้องมาหาคนนี้
นี่คือทางรอดของ SMEs นั่นคือการสร้าง Uniqueness ขึ้นมา ซึ่งต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์
เรื่องนี้มันมาจากรากของวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วย เช่น การทำกิโมโนไม่สามารถทำได้คนเดียว จะมีโรงผ้า โรงย้อม โรงออกแบบลาย แล้วทุกคนต้องทำของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณทำไม่ดีมันจะแย่ทั้ง supply chain ทุกคนจึงต้องพัฒนาให้ลึกที่สุด เวลามาประกอบกันจะได้เหมือนกันดั้ม :) สุดยอดไปเลยเจ้าหุ่นนนน
มันเลยอยู่ในรากว่าทุกคนต้องสั่งสม knowhow ของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะถ้าคุณไม่ match ไม่ sync กับคุณภาพขององคาพยพอื่น คุณก็จะตาย เค้าจะเปลี่ยน supplier แน่นวลลลล สิ่งนี้จึงกลายเป็นการสั่งสมองค์ความรู้ขององค์กรไปด้วย
ที่ญี่ปุ่นจะมีคนทำทุกอย่างคนเดียวตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำน้อย เพราะทุกคนมีความเป็น specialize ของตัวเอง
ถ้าอยากอยู่นานๆ อย่าทำตามสั่งอย่างเดียว สั่งสมความรู้ประสบการณ์ไปด้วย ถามว่าทำไมองค์กรญี่ปุ่นถึงอยากสั่งสมองค์ความรู้ ทำไมอยากอยู่นาน ก็กลับมาที่เรื่องเดิม คือเค้าเห็นคุณค่าของสิ่งที่เค้าทำอยู่ เค้าอยากทำเพื่อคนอื่นให้ดีที่สุด
💖💖💖
ฝากไว้ให้คิดสำหรับคนรุ่นใหม่และผู้ประกอบการที่ต้องการขยายกิจการหรือ scale up เร็วๆ ในโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ไม่ผิดอะไรที่เราอยาก diversify หรือทำยอดขายให้โตขึ้น บริษัท Tanita ทำเครื่องวัด ... เริ่มมาจากทำเครื่องชั่งน้ำหนักก็จริง แต่ตอนนี้ขยายไปทำเครื่องวัด insulin หรือตรวจเลือดแล้วรู้ว่าเป็น alzheimer แล้ว ทำอย่างอื่นแต่ทุกอย่างกลับมาที่รากเดิม คือยังเป็น “การวัดเพื่อให้คนสุขภาพดี”
ฉะนั้นขึ้นอยู่กับเรานิยามธุรกิจเราว่าเราทำอะไร คุณค่าเราคืออะไร ถ้าเราชัดตรงนั้น เราจะขยาย จะ scale อย่างไรก็ได้
สิ่งสำคัญที่อยากจะย้ำคือว่าให้ระลึกไว้เสมอว่ายอดขายกับการเติบโตมันมาจากความสุขของลูกค้า เมื่อไหร่ก็ตามที่ยอดขายตก ขายของไม่ได้ แแลว่าลูกค้าไม่ Happy กับเราแล้ว ไม่ใช่ปัญหาของ Industry และสภาพเศรษฐกิจอย่างเดียว เพราะในขณะที่หุ้นตกก็ยังมีบริษัทที่โตได้
เค้าโตเพราะอะไร เพราะเค้าปรับตามลูกค้า เค้าจึงอยู่ได้ และ Rinen จะเป็นตัว Drive ให้เราเติบโตแบบ Only One
คนเรามีความเชื่อแตกต่างกัน ทำร้านอาหารบางคนเชื่อเรื่องสุขภาพ เรื่องความเร็ว เรื่องความอร่อย #ทุกความเชื่อมีคุณค่า และ #ยิ่งทำก็จะยิ่งชัด #สังคมก็จะยิ่งสนุก
สิ่งที่น่ากลัวคือพอเราเห็นใครทำแล้วดี เราก็ทำเหมือนกันหมด มันก็ไม่มีความแตกต่างหลากหลาย
คุยกับตัวเองเยอะๆ ว่า #ความเป็นตัวของเราคืออะไร ตัวเลขอาจจะสำคัญ การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมอาจจะสำคัญ แต่ที่สำคัญที่สุดคือตัวเราเอง หาให้เจอว่าความเชื่อของเราคืออะไร แล้วยึดให้มั่น ยึดมั่นคือยึดคุณค่า แต่เป็นรูปแบบสินค้าและบริการ ได้
Rinen จะช่วยให้คุณต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงได้ และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เร็ว เพราะเราเห็นแล้วว่าเราอยากจะช่วยลูกค้า แต่ลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องยิ่งเปลี่ยนตาม
💖💖💖
เป็น Session ที่เจ๋งและเรียกความ "คิดได้งัยวะ" จากเบ็นได้เหมือนเคย ... เอาใจช่วยให้หา “กล่องยา” ของตัวเองให้เจอนะคะทุกคน 😉
ฟังเต็มๆ ได้ที่นี่ค่ะ
#benji_is_learning
#benji_is_drawing
#bp_ben
#TheStandard
#เกตุวดี_Marumura
โฆษณา