16 มี.ค. 2021 เวลา 14:42 • ประวัติศาสตร์
มหากาพย์หรือประวัติศาสตร์: สมมติฐาน (ไม่) ใหม่ในการรื้อสร้างรามายณะ
หากกล่าวถึงวรรณคดีไทยสักเรื่องหนึ่งที่มีความโดดเด่นทั้งด้านโครงเรื่อง แง่คิด และคุณค่า เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “รามเกียรติ์” เป็นตัวเต็งที่สำคัญเรื่องหนึ่ง และได้แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ถึงความสำคัญ อันปราฏผ่านงานจิตรกรรมฝาผนังในพระอารามหลวงที่สำคัญหลายแห่ง ตลอดจนนาฏกรรมชั้นสูงของไทยอย่าง “โขน”
อย่างไรก็ตาม บทความนี้มิได้มีเป้าหมายที่จะสะท้อนให้เห็นคุณค่าในเชิงวรรณคดี ทว่ามุ่งนำเสนอมุมมองแนวคิดใหม่ที่มีผู้พยายามศึกษาประวัติศาสตร์จาก “มหากาพย์” หรือ Mythodology ทั้งยังหาหลักฐานมายืนยันสมมติฐานของตนเอง เขาเชื่อว่า มหากาพย์รามายณะนั้นมีพื้นฐานความจริงทางประวัติศาสตร์ แต่ถูกเสริมแต่งให้เกินธรรมชาติของมนุษย์ในภายหลัง และที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น เขาเสนอว่าอินเดียไม่ใช่ถิ่นกำเนิดของมหากาพย์นี้!!! โดยในบทความนี้ผู้เขียนจะสรุปและเรียบเรียงประเด็นสำคัญจากบทความเรื่อง Indian Epic Ramayana and Elamite connection from Ancient Mesopotamia ของ Bipin Shah มานำเสนอให้ง่ายต่อการติดตาม
Shah เริ่มต้นด้วยการนำเสนอแนวคิดต้นกำเนิดที่แท้จริงของรามายณะ แน่นอนว่าไม่ใช่ดินแดนชมพูทวีป ทว่าเป็นดินแดนที่ถัดไปทางตะวันตกอันเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติอย่าง “เมโสโปเตเมีย” ดินแดนที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์ซึ่งผลัดกันขึ้นมามีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติส Shah เชื่อว่าชาว Elamite ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมือง Larsa บริเวณตอนใต้ระหว่างแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของมหากาพย์รามายณะ ตลอดจนรามาจันทรา ลักษมัณ หนุมาน ต่างก็เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์
ภาพที่ 1 แสดงบริเวณที่ตั้งเมือง Larsa ที่อยู่ระหว่างสาขาของแม่น้ำยูเฟรติสและที่ตั้งเมือง Nippur จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Nippur
Shah อ้างว่าชาว Elamite ได้อพยพจาก Larsa เมโสโปเตเมียมายังเกาะบริเวณตอนใต้ของอินเดียซึ่งก็คือ “ศรีลังกา” หรือ “Lanka” เขาใช้หลักฐานจากความสัมพันธ์ทางภาษาที่ปรากฏในชื่อเรียกของเกาะดังกล่าวมาตลอดหลายยุคสมัยที่สื่อและแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กับชาว Elamite โดยเริ่มจากคำเรียกที่ติดปากชาวพื้นเมืองในปัจจุบันว่าเกาะ “Lanka” (ลังกา) นั้น ความหมายของคำนี้ในตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติกของชนพื้นเมืองบนเกาะจะหมายถึง เกาะที่อยู่ในแม่น้ำ ต่างจากเกาะในมหาสมุทรดังเช่นสภาพภูมิศาสตร์ที่แท้จริงของศรีลังกา Shah ได้ใช้ประเด็นนี้เองชี้ให้เห็นว่าน่าจะหมายถึงถิ่นที่อยู่เดิมของชาว Elamite คือ Larsa ที่เป็นดินแดนซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำไทกริสกับยูเฟรติส (สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมในปะเด็นความสัมพันธ์ระหว่างชาว Elamite กับ ชาว Tamil บนเกาะศรีลังกา สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความเรื่อง The Elamite and Tamil Connection ของ Bipin Shah)
ประเด็นที่ต่อมาที่ Shah หยิบยกมาสนับสนุนแนวคิดของเขาคือ การพิสูจน์ว่ารามาจันทรา หรือ Ramachandra ในมหากาพย์รามยณะแท้จริงแล้วคือ กษัตริย์ของชาว Elamite ที่ปรากฏพระนามว่า Rim-Sin I โดยเริ่มจากการพิจารณาความหมายของพระนาม Rim-Sin ในภาษาสุเมเรียน คำว่า Rim จะแปลว่า “ผู้ปกครอง” (ruler) ส่วนคำว่า Sin นั้นแปลว่า จันทราเทพ (moon god) ดังนั้น พระนาม Rim-Sin จึงแปลได้ว่า กษัตริย์ที่บูชาจันทราเทพ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับชื่อ รามาจันทรา ในรามยณะได้พอดี นอกจากนี้พระนาม Rim-Sin หากอ่านจากจารึกของทางฝั่งอินเดียจะอ่านว่า “Rama Sana” ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาธรรมเนียมการยกย่องบูชากษัตริย์ดุจเทพเจ้าในดินแดนตะวันออกกลางก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าสถานะของ Rim-Sin น่าจะใกล้เคียงกับรามาจันทราในมหากาพย์เป็นอย่างยิ่ง
ย้อนกลับมาพิจารณาตัวตนทางประวัติศาสตร์ของรามาจันทรา หากเชื่อตาม Shah ว่า บุรุษกึ่งเทพในมหากาพย์ผู้นี้คือ กษัตริย์ Rim-Sin I ผู้ที่ถูกจารึกว่าครองราชย์นานถึง 60 ปี ภารกิจสำคัญที่ถูกจารึกเอาไว้ก็คือ การยกกองทัพปราบปรามและปลดปล่อย Larsa จากทรราช Silli-Adad และดำเนินการปกครองโดยชอบธรรม ส่วนที่มาที่ไปของ Rim-Sin ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ปกครอง Larsa นั้น จากหลักฐานที่มีทำให้เชื่อได้ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ Elamite ดังนั้น เรื่องราวในรามายณะก่อนที่จะได้รับการเสริมแต่งจากชาวอารยัน แท้จริงแล้วเป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกเรื่องราวของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย เพราะนอกจากจะสามารถยกทัพเข้ายึดครอง Larsa ได้ในช่วงต้นของการเป็นกษัตริย์แล้ว ตลอดระยะเวลาการครองราชย์ที่ยาวนานของ Rim-Sin เขาสามารถพิชิตและปกครองดินแดนส่วนใหญ่ในเมโสโปเตเมีย ตลอดจนถึงลุ่มแม่น้ำสินธุ
อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ Shah นำเสนอว่ามีตัวตนทางประวัติศาสตร์ก็คือ Ravana (ราวณะ หรือ ทศกัณฐ์) ที่มีความสับสนอยู่ค่อนข้างมากว่าตัวตนทางประวัติศาสตร์ของเขานั้นคือใครกันแน่ นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าเป็นกษัตริย์ Hammuravi ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ “สร้างกฎหมาย” ทำให้ Shah ไม่เชื่อว่าผู้ปกครองที่ดีอย่าง Hammuravi จะเป็น Ravana เขากลับเชื่อว่าตัวตนของ Ravana ที่แท้จริงนั้นคือ Silli-Adad ซึ่งปรากฏในจารึกว่าพ่ายแพ้สงครามให้กับฝ่าย Rim-Sin และต้องเสียดินแดน Lasar ให้ Rim-Sin ขึ้นมาปกครองแทน สำหรับร่องรอยที่เราพบเกี่ยวกับ Silli-Adad นั้น ชื่อของเขาแปลว่า “เทพเจ้าแห่งพายุ” (the god of thunder) เดิมทีเป็นผู้ปกครองนครรัฐ Uruk ก่อนที่จะเข้าปกครอง Larsa แต่ด้วยการปกครองที่กดขี่ประชาชน เป็นเหตุให้ปกครองได้เพียงไม่กี่ปีก็ถูกยึดอำนาจ
นอกจาก รามาจันทรากับราวณะที่ Shah พยายามชี้ให้เห็นว่ามีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์ อีกหนึ่งตัวละครสำคัญก็คือ หนุมาน หรือ Hanuman แม้ว่าตามเนื้อความในมหากาพย์หนุมานจะเป็นพญาวานร ซึ่งไปพร้องกับเรื่องราวของตัวละครเอกของจีนที่ได้รับการบูชาประหนึ่งเทพเจ้าอย่าง เห้งเจีย ซึ่งในส่วนนี้ Shah เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กันบางอย่าง ทว่าเขาไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด สิ่งที่ Shah ทำคือ พยายามชี้ให้เห็นว่าหนุมาน แท้จริงแล้วก็คือ Enlil-Bani ผู้ปกครองเมือง Nippur ซึ่งเป็นบริวารของ Larsa สำหรับพระนาม Enlil-Bani โดย Shah เสนอว่าชื่อนี้แปลว่า the son of wind หรือ วายุบุตร นั่นสอดคล้องต้องกันกับชาติกำเนิดของ Hanuman อย่างไม่มีข้อสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จารึก CBS 13909 กล่าวถึงถึงความสัมพันธ์ในลักษณะรัฐบรรณาการที่ Nippur มีต่อ Larsa ตลอดจนการร่วมรบในกองทัพภายใต้การบังคับบัญชาของ Rim-Sin โดยเฉพาะในการพิชิต Larsa
แม้ว่า Shah ได้พยายามพิสูจน์การมีตัวตนทางประวัติศาสตร์ของตัวละครสำคัญในรามายณะหลายตัวด้วยกัน แต่กรณีของนางสีดา หรือ Shita กลับต่างออกไป สีดาไม่ใช่บุคคลทางประวัติศาสตร์แต่คือ เทพเจ้าแห่งความรัก ความอุดมสมบูรณ์ และสงคราม นามว่า Inanna ในภาษาสุเมเรียน หรือ Ishtar ในภาษาอัคคาเดียนที่เข้ามาแทนที่สุเมเรียนในภายหลัง เมื่อเขียนชื่อเป็นภาษาในถิ่นลุ่มน้ำสินธุอักษร I และ R ถูกละไป ทำให้เหลือเพียง Shita
ภาพที่ 2 ภาพของเทวี Ishtar หรือ Inanna จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Ishtar
Shah ตีความประเด็นการแย่งชิงนางสีดาในรามายณะว่า แท้จริงแล้ว Silli-Adad ได้กระทำการล่วงละเมิดต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่บูชา Ishtar ที่บรรดาชาว Elamite นับถือ โดยการขโมยรูปบูชาของเทพีองค์นี้ไปจากเทวสถานซึ่งเป็นที่บูชา นั่นทำให้ฝ่ายของ Rim-Sin ใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามและยึดครอง Larsa จาก Silli-Adad เนื่องจาก Ishtar นั้นเป็นเทวีแห่งสรวงสวรรค์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเทพแห่งดวงดาวและที่สำคัญคือ จันทราเทพที่ของตระกูลนับถือ Rim-Sin กระนั้นก็ตาม Shah เชื่อว่ามูลเหตุที่แท้จริงมาจากความต้องการควบคุมเมืองที่เป็นยุทธศาสตร์ทางการค้าและมีความสำคัญทางศาสนา ประกอบกับการที่ Silli-Adad ปกครองอย่างกดขี่เป็นเหตุให้ Rim-Sin และพันธมิตรเข้าปราบปราม และได้เข้าปกครองแทนในท้ายที่สุด
จากการตีความประเด็นนาง Sita ของ Shah จะเห็นว่ามีแนวคิดการตีความคล้ายคลึงกับการตีความมหากาพย์ของทางฝั่งกรีกที่ตามเนื้อความกล่าวถึงการช่วงชิงสตรีอันเป็นชนวนสงครามระหว่างสองนครรัฐ ทว่านักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า “ศึกชิงนาง” ที่พบสอดคล้องกันทั้งในมหากาพย์อีเลียด (Iliad) ซึ่งเป็นเรื่องราวของสงครามกรุงทรอยกับมหากาพย์รามายณะนั้นเป็นภาพแทนที่ถูกเสริมแต่งขึ้นในลักษณะเดียวกัน อีกทั้งจุดจบของเรื่องก็ยังคล้ายคลึงกัน นั่นคือ ฝ่ายที่ลักพาสตรีไปเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ซึ่งประเด็นนี้มีนักวิชาการได้ศึกษาเปรียบเทียบโครงเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองเอาไว้แล้ว Shah เองก็น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเหล่านี้เพื่อสร้างคำอธิบายของเขาเอง ตัวอย่างงานศึกษาเปรียบเทียบมหากาพย์ทั้งสอง คือ Indo-European ideology in the Ramayana and the Iliad ของ Reyes Bertolín Cebrián
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ ถิ่นกำเนิดของรามาจันทรา ตามมหากาพย์คือ เมืองอโยธยา ซึ่ง Shah ชี้ว่า คำว่า Ayodhaya เป็นคำในภาษาอารยันที่มาจากคำว่า Agade ในภาษาอัคคาเดียน ทว่าในปัจจุบันนักวิชาการและนักโบราณคดียังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเมือง Agade นั้น ตั้งอยู่บริเวณใด
สำหรับคำอธิบายว่าเหตุใดเรื่องราวของกษัตริย์เมโสโปเตเมียจึงได้กลายเป็นมหากาพย์ของอินเดียนั้น Shah แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อกันระหว่างดินแดนลุ่มน้ำสินธุกับลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติส ตลอดจนคาบสมุทรอาระเบียและตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ตลอดจนแนวคิดของบรรดานักวิชาการที่เชื่อว่าชาว Elamite ได้อพยพไปตั้งรกรากใหม่ที่เกาะซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศศรีลังกา ดังนั้น การแพร่กระจายเรื่องราวของ Rim-Sin ไปยังอินเดียนั้นอาจเป็นได้ทั้งจากการติดต่อค้าขายกันหรือการที่บรรดาผู้อพยพได้นำเรื่องราวเหล่านี้มากับพวกเขาและได้บอกเล่าสืบทอดต่อกันมา จนกระทั่งมีการผสมผสานกับคติความเชื่อตามปุราณะต่าง ๆ ของผู้นับถือฮินดูในบริเวณลุ่มน้ำสินธุ
ครั้งหนึ่ง ไฮน์ริช ชไลมันน์ (Heinrich Schliemann) ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการค้นหาร่องรอยและซากโบราณสถานตามมหากาพย์ที่ถูกเชื่อว่าเป็นเรื่องในจินตนาการ ทว่าด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ กรุงทรอยมีอยู่จริง สถานะของมหากาพย์อีเลียดจึงเริ่มได้รับความสนใจศึกษาจากแวดวงประวัติศาสตร์มากขึ้น และแน่นอนว่าการค้นพบของชไลมันน์ ได้จุดประกายให้บรรดานักวิชาการหรือผู้ที่สนใจพยายามพิสูจน์ความเป็นประวัติศาสตร์และการมีตัวตนอยู่จริงในตำนานและมหากาพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพระคัมภีร์ของชาวอิสราเอล และรวมถึงมหากาพย์รามายณะที่ได้กล่าวมานี้ด้วย ทว่าความพยายามในการพิสูจน์และนำเสนอแนวคิดของบรรดานักวิชาการอาชีพหรือสมัครเล่นจะสำเร็จผลและได้รับการยอมรับว่าเป็น “ความจริง” และเชื่อว่าตัวละครในรามายณะมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์หรือไม่นั้น ยังคงต้องรอเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมและหาหลักฐานมายืนยัน ตลอดจนรอว่าเมื่อไหร่วงวิชาการจะยอมรับร่วมกัน
หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้จากบทความเรื่อง Rama, The Great King of Sumer, Elam and Indus ของ Ranajit Pal และ บทความขนาดยาวเรื่อง Comparative Analysis of Ram Chandra of Ramayana and Rim-Sin of Mesopotamia-a Follow-up ของ Bipin Shah ซึ่งเป็นบทความหลักที่ผู้เขียนสรุปความมา ในตัวบทความนั้น Shah ได้นำเสนอประเด็นเรื่องลำดับเวลาที่เป็นปัญหาไม่สอดคล้องกันระหว่าง Rim-Sin กับ Silli-Adad เอาไว้ด้วย อันเป็นประเด็นที่เขาเห็นแย้งจากนักวิชาการอื่น ๆ เช่น Ranajit Pal โดยผู้อ่านสามารถเปรียบเทียบแนวคิดได้จากบทความทั้งสองนี้
ที่มา ต่วย'ตูนฉบับพิเศษ
โฆษณา