Shah ตีความประเด็นการแย่งชิงนางสีดาในรามายณะว่า แท้จริงแล้ว Silli-Adad ได้กระทำการล่วงละเมิดต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่บูชา Ishtar ที่บรรดาชาว Elamite นับถือ โดยการขโมยรูปบูชาของเทพีองค์นี้ไปจากเทวสถานซึ่งเป็นที่บูชา นั่นทำให้ฝ่ายของ Rim-Sin ใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศสงครามและยึดครอง Larsa จาก Silli-Adad เนื่องจาก Ishtar นั้นเป็นเทวีแห่งสรวงสวรรค์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเทพแห่งดวงดาวและที่สำคัญคือ จันทราเทพที่ของตระกูลนับถือ Rim-Sin กระนั้นก็ตาม Shah เชื่อว่ามูลเหตุที่แท้จริงมาจากความต้องการควบคุมเมืองที่เป็นยุทธศาสตร์ทางการค้าและมีความสำคัญทางศาสนา ประกอบกับการที่ Silli-Adad ปกครองอย่างกดขี่เป็นเหตุให้ Rim-Sin และพันธมิตรเข้าปราบปราม และได้เข้าปกครองแทนในท้ายที่สุด
จากการตีความประเด็นนาง Sita ของ Shah จะเห็นว่ามีแนวคิดการตีความคล้ายคลึงกับการตีความมหากาพย์ของทางฝั่งกรีกที่ตามเนื้อความกล่าวถึงการช่วงชิงสตรีอันเป็นชนวนสงครามระหว่างสองนครรัฐ ทว่านักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่า “ศึกชิงนาง” ที่พบสอดคล้องกันทั้งในมหากาพย์อีเลียด (Iliad) ซึ่งเป็นเรื่องราวของสงครามกรุงทรอยกับมหากาพย์รามายณะนั้นเป็นภาพแทนที่ถูกเสริมแต่งขึ้นในลักษณะเดียวกัน อีกทั้งจุดจบของเรื่องก็ยังคล้ายคลึงกัน นั่นคือ ฝ่ายที่ลักพาสตรีไปเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ซึ่งประเด็นนี้มีนักวิชาการได้ศึกษาเปรียบเทียบโครงเรื่องของมหากาพย์ทั้งสองเอาไว้แล้ว Shah เองก็น่าจะได้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเหล่านี้เพื่อสร้างคำอธิบายของเขาเอง ตัวอย่างงานศึกษาเปรียบเทียบมหากาพย์ทั้งสอง คือ Indo-European ideology in the Ramayana and the Iliad ของ Reyes Bertolín Cebrián
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ ถิ่นกำเนิดของรามาจันทรา ตามมหากาพย์คือ เมืองอโยธยา ซึ่ง Shah ชี้ว่า คำว่า Ayodhaya เป็นคำในภาษาอารยันที่มาจากคำว่า Agade ในภาษาอัคคาเดียน ทว่าในปัจจุบันนักวิชาการและนักโบราณคดียังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าเมือง Agade นั้น ตั้งอยู่บริเวณใด
สำหรับคำอธิบายว่าเหตุใดเรื่องราวของกษัตริย์เมโสโปเตเมียจึงได้กลายเป็นมหากาพย์ของอินเดียนั้น Shah แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อกันระหว่างดินแดนลุ่มน้ำสินธุกับลุ่มน้ำไทกริสและยูเฟรติส ตลอดจนคาบสมุทรอาระเบียและตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ตลอดจนแนวคิดของบรรดานักวิชาการที่เชื่อว่าชาว Elamite ได้อพยพไปตั้งรกรากใหม่ที่เกาะซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศศรีลังกา ดังนั้น การแพร่กระจายเรื่องราวของ Rim-Sin ไปยังอินเดียนั้นอาจเป็นได้ทั้งจากการติดต่อค้าขายกันหรือการที่บรรดาผู้อพยพได้นำเรื่องราวเหล่านี้มากับพวกเขาและได้บอกเล่าสืบทอดต่อกันมา จนกระทั่งมีการผสมผสานกับคติความเชื่อตามปุราณะต่าง ๆ ของผู้นับถือฮินดูในบริเวณลุ่มน้ำสินธุ
ครั้งหนึ่ง ไฮน์ริช ชไลมันน์ (Heinrich Schliemann) ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการค้นหาร่องรอยและซากโบราณสถานตามมหากาพย์ที่ถูกเชื่อว่าเป็นเรื่องในจินตนาการ ทว่าด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ กรุงทรอยมีอยู่จริง สถานะของมหากาพย์อีเลียดจึงเริ่มได้รับความสนใจศึกษาจากแวดวงประวัติศาสตร์มากขึ้น และแน่นอนว่าการค้นพบของชไลมันน์ ได้จุดประกายให้บรรดานักวิชาการหรือผู้ที่สนใจพยายามพิสูจน์ความเป็นประวัติศาสตร์และการมีตัวตนอยู่จริงในตำนานและมหากาพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพระคัมภีร์ของชาวอิสราเอล และรวมถึงมหากาพย์รามายณะที่ได้กล่าวมานี้ด้วย ทว่าความพยายามในการพิสูจน์และนำเสนอแนวคิดของบรรดานักวิชาการอาชีพหรือสมัครเล่นจะสำเร็จผลและได้รับการยอมรับว่าเป็น “ความจริง” และเชื่อว่าตัวละครในรามายณะมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์หรือไม่นั้น ยังคงต้องรอเวลาในการศึกษาเพิ่มเติมและหาหลักฐานมายืนยัน ตลอดจนรอว่าเมื่อไหร่วงวิชาการจะยอมรับร่วมกัน
หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถดูได้จากบทความเรื่อง Rama, The Great King of Sumer, Elam and Indus ของ Ranajit Pal และ บทความขนาดยาวเรื่อง Comparative Analysis of Ram Chandra of Ramayana and Rim-Sin of Mesopotamia-a Follow-up ของ Bipin Shah ซึ่งเป็นบทความหลักที่ผู้เขียนสรุปความมา ในตัวบทความนั้น Shah ได้นำเสนอประเด็นเรื่องลำดับเวลาที่เป็นปัญหาไม่สอดคล้องกันระหว่าง Rim-Sin กับ Silli-Adad เอาไว้ด้วย อันเป็นประเด็นที่เขาเห็นแย้งจากนักวิชาการอื่น ๆ เช่น Ranajit Pal โดยผู้อ่านสามารถเปรียบเทียบแนวคิดได้จากบทความทั้งสองนี้