17 มี.ค. 2021 เวลา 05:28 • ความคิดเห็น
What a wonderful world.
การจราจรยามเช้าในจังหวะที่ทุกคนออกสู่ท้องถนนเวลาไล่เลี่ยกัน ต่างคนต่างมุ่งหน้าไปยังที่หมายของตนเองด้วยความเร่งรีบ มึนงง สับสน กระวนกระวาย หรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อต้องเผชิญกับการจราจรแบบนี้ฉันมักเปิดเพลงแจ๊สคลอเบาๆในรถเพื่อหวังให้ดนตรีช่วยลดระดับความหงุดหงิดของตัวเองลงมาบ้าง และ หลุยส์ อาร์มสตรอง (Louis Armstrong) ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
I see green of trees, red roses too,I see them bloom for me and you,and I think to myself what a wonderful world.
I see skies of blue, and clouds of white, the bright blessed day, the dark sacred night, and I think to myself, what a wonderful world.
The colors of the rainbow so pretty in the sky, are also on the faces of people going by, I see friends shaking hands, saying how do you do, they’re really saying I love you.
I hear babies cry, I watch them grow, they’ll learn much more than I’ll ever know, and I think to myself, what a wonderful world.
Yes, I think to myself what a wonderful world.
แค่เริ่มขึ้นอินโทรคลอมาเบาๆก็สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับฉันได้ทุกครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังโดยยังไม่รู้ที่มาที่ไปของผู้ที่แต่งและขับร้องเพลงนี้ แต่ทุกคำที่ถูกถ่ายทอดออกมาช่างเชิญชวนให้เรามองออกไปรอบตัวเพื่อหาสิ่งที่เรียกว่าความสวยงามของโลกใบนี้จริงๆ
แม้สถานการณ์รอบตัวจะยุ่งเหยิง วุ่นวาย ซักแค่ไหน ณ เวลานั้นเหมือนหลุยส์ อาร์มสตรองจะสะกิดให้เรามองสิ่งรอบตัวด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไป การได้เห็นเมฆกำลังลอยอ้อยอิ่ง เห็นคนกวาดถนนที่กำลังยื่นกล่องข้าวให้คนไร้บ้านใต้ทางด่วน เห็นเพื่อนร่วมทางแสดงน้ำใจต่อกันบนท้องถนน เห็นคู่พ่อลูกที่พูดคุยกันภายใต้หมวกกันน็อคฝาแฝด เหมือนเวลามันเดินช้าและสงบลงอย่างประหลาด
ทั้งๆที่ภาพเหล่านั้นมันดูไม่มีอะไร เป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นได้ทุกวัน จะมองผ่านๆไปก็คงไม่แปลก แต่หากเติมความละเอียดอ่อนลงไปซักนิด จะค้นพบว่ามันมีความสวยงามอยู่ในนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความรัก ความหวัง รอยยิ้ม น้ำใจ ความเอื้ออาทร เป็นความสวยงามที่มนุษย์เราแต่งแต้มให้โลกใบนี้จริงๆ
ในภายหลังฉันได้ทราบว่าผู้แต่งเพลงนี้ (Bob Thiele, George David weiss) ต้องการสื่อถึงความงดงามในโลกนี้เช่น ท้องฟ้าสีคราม สีสันของรุ้งกินน้ำ ความอบอุ่นและมิตรภาพของผู้คนที่มีต่อกัน เสียงร้องของเด็กทารก(ที่แสดงถึงความเกิดขึ้นของชีวิตใหม่และการเรียนรู้ใหม่ๆ) แม้ในสภาวะที่เรื่องเจ็บปวดมากมายเกิดขึ้นรอบๆตัว เนื้อเพลงต้องการสื่อให้ผู้ฟังเข้าใจว่าแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้าย โลกยังมีด้านดีๆที่ควรค่าให้เราได้เชยชม
Www.lisahewwit.tumbler.com
เพลงได้รับการปล่อยเป็นซิงเกิลในปี 1967 ระหว่างช่วงสงครามเวียดนาม มันถูกเขียนขึ้นเพื่อพยายามนำความหวังมาสู่เหยื่อหลายล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม ทั้งการสูญเสียบุคคลที่รัก และเพื่อบรรเทาบรรยากาศความขัดแย้งรุนแรงในยุคที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยกสีผิว เชื้อชาติ และปมปัญหาทางการเมืองในอเมริกา แต่หลุย อาร์มสตรองผู้ขับร้องเพลงนี้ ซึ่งเป็นชาวอเมริกันผิวสีกลับได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสังคมคนผิวขาว ในฐานะนักดนตรีและปุถุชนธรรมดา
ภาพจาก www.sheetmusic.ws
ซึ่งผู้แต่งก็ได้เคยเล่าไว้ในหนังสือ Off the record: Songwriters on Songwriting ว่าเขาเขียนเพลงนี้ขึ้นมาเพื่ออาร์มสตรองโดยเฉพาะ และได้แรงบันดาลใจมาจากความสามารถของ อาร์มสตรองที่สามารถรวมผู้คนหลายเชื้อชาติเป็นหนึ่งผ่านความเป็นตัวเขา
เป็นรอยยิ้มที่ใครเห็นก็ต้องยิ้มตาม☺️
อันที่จริงสถานการณ์สังคมและโลกปัจจุบัน ถ้ามองในภาพรวมในบางบริบทมันก็ไม่ได้ต่างจากภาวะสงครามนักหรอก มันไม่ใช่สงครามระหว่างประเทศ ไม่ใช่การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์มาห้ำหั่นกันอย่างสมัยก่อน
มันคือสงครามระหว่างผู้เห็นต่าง ที่ไม่ใช่แค่ความต่างทางสีผิวและพันธุกรรม และเกิดขึ้นได้ไม่ว่าคุณจะอยู่ประเทศเดียวกันหรือประเทศไหนๆในโลกนี้ รวมไปถึงสงครามระหว่างผู้ที่มุ่งหวังผลประโยชน์ในของสิ่งเดียวกัน(ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่รู้บอกว่ามันช่างมีจำกัดเสียเหลือเกิน) ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นทรัพยากรณ์ธรรมชาติ ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพย์สินทางปัญญา เงินตรา ฯลฯ โดยมีอาวุธหลักเป็น วาทกรรม จิตวิทยา ข้อมูลเสมือนจริง ชุดความคิด และมายาต่างๆผ่านสื่อที่ทรงอานุภาพอย่างอินเตอร์เนท การทำร้ายหรือทำลายใครซักคนมันง่ายแค่เพียงกดหน้าจอ และผลกระทบของมันก็เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังที่ได้มีการนำเสนอในสารคดีดังทาง netflix ที่ชื่อ The social dilemma
แต่สรรพสิ่งมีมากกว่าด้านเดียวเสมอ โลกไม่ได้มีแต่ด้านที่เลวร้าย เพียงแค่เราวางอารมณ์ด้านลบและอคติต่างๆลง เราจะยังพบเห็นสิ่งเหล่านั้นได้จากผู้คนและสิ่งต่างๆรอบตัว
การมองโลกในแง่ร้ายมีข้อดีคือทำให้เราระมัดระวังและป้องกันตัวจากสิ่งที่เป็นภัยกระทบชีวิตเราเมื่อไหร่ก็ได้ แต่การมองโลกในแง่ดีจะทำให้เราใช้ชีวิตในโลกที่ซับซ้อนและขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆใบนี้ได้อย่างมีกำลังใจ เหมือนต้นไม้ที่ได้รับน้ำและค่อยๆเติบโต
การเติบโตของจิตวิญญาณย่อมต้องอาศัยพลังงานบวกทั้งสิ้น พลังงานบวกเหล่านี้คือสิ่งงดงามของโลกใบนี้ที่พระเจ้าได้มอบให้มนุษย์ทุกคนมา ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเมตตา ความเอื้ออาทร ความเสียสละ และเรามีหน้าที่เติมมันให้ตนเองและคนรอบข้างผ่านทัศนคติและการกระทำ
อย่างไรก็ตามท่ามกลางโลกแห่งความย้อนแย้งนี้ หลุยส์ อาร์มสตรองยังคงย้ำในตอนท้ายว่า “ Yes I think to myself.....what a wonderful world”
โฆษณา