17 มี.ค. 2021 เวลา 13:54 • นิยาย เรื่องสั้น
สวัสดีครับวันนี้วัน พุธขึ้น4ค่ำเดือน5
อย่าตีค่าของคน แค่เพียงสิ่งที่เห็นภายนอก
หรือจากชาติกำเหนิด เพราะนั่นอาจไม่ได้เป็นตัว
วัดอะไรเลย ถึงคุณค่าที่แท้จริงของคน
ทุรโยชน์ 3
ผู้มีใจกว้างขวาง
เรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อตอนเหล่า ลูกศิษย์ ของโทรณาจารย์ เรียนจบหลักสูตร
โทรณาจารย์ จึงจัดให้มี การประลองฝีมือ
ของลูกศิษย์ ขึ้น นัยหนึ่งก็เพื่อโปรโมท ตัวเอง
และศิษย์ เอก อย่างอรชุน
ว่ากันว่าในงานนี้มีคนให้ความสนใจเข้าชม
เป็นล้านคน มากกว่าโอลิมปิกอีก555
ในวันงาน การประลองคู่แรกเริ่มขึ้นด้วย
การต่อสู้ ระหว่าง ทุรโยชน์ กับภีมะ ซึ่งเป็นการดวลโดยไช้อาวุธที่ทั้งคู่ถนัด นั่นก็คือ คทา
การต่อสู้เริ่มขึ้น ทั้งคู่ต่างมีฝีมือที่ทัดเทียม
และทำท่าจะรุนแรงขึ้นเลื่อยๆ เพราะต่างก็มีความ
แค้นส่วนตัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ร้อนถึงอาจารย์
ต้องส่งคนมาห้าม ทัพไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย
ทั้งสองจึงยินยอมยุติ แบบคาใจทั้งสองฝ่าย
ยุติไปคู่แรก
พอมาถึงการแสดงวิชายิงธนู งานนี้เพียงแค่ อรชุน ก้าวขึ้นเวที เสียงโห่ร้องของประชนอย่างชื่นชม ล้นหลาม จนพระราชาธฤตราช ซึ่งเป็นพ่อ
ของทุรโยชน์ ซึ่งตาบอด ต้องถามว่าคนโห่ร้อง
อะไรกัน พอได้รับคำตอบว่า คนแสดงความชื่น
ชม อรชุน ของฝ่ายปาณฑพ เท่านั้นแหละครับ
แกคิดทันทีเลยครับ ว่าความนิยมของประชาชน ที่มีต่อหลานฝ่ายปาณฑพ เป็นอันมากเช่นนี้ เป็นอันตรายต่อการสืบต่อราชบัลลังค์
ของทุรโยชน์ ลูกชายของแกแน่
การแสดงฝีมือ ด้านการยิงธนู
ไม่มีใครสามารถ ต่อกรกับอรชุน ได้แม่แต่คนเดียว อรชุน จะได้รางวัลชนะเลิศอยู่แล้ว ถ้า
ถ้าไม่มีเสียง คำรามมาจาก อีกมุมหนึ่ง ของเวที
ประลอง
และเจ้าของเสียงนั้น ดีดสายธนู และเดิน
อย่างองอาจประดุจเสือดำ ขึ้นบนเวทีประลอง
และแสดง วิชายิงธนู มีอัศจรรย์ ดูว่าจะเหนือกว่า
อรชุนด้วยซ้ำ บุรุษคนนี่คือ กรรณ หรือราธียะ
นั่นเองครับ อรชุนถึงกับไม่พอใจเจ้าเป็นใครกันบังอาจขึ้นมาบนเวทีนี้
ราธียะ โต้กลบไปว่า
ก็นี่เป็นการแข่งขันประลองฝีมือกันไม่ใช่การจัดแสดงส่วนตัวใช้เป็นที่โอ้อวดของเจ้าเพียงคนเดียว
เอาละสิครับอย่างนี้ก็เป็นเรื่อง
จึงเกิดการท้าดวลธนู กับแบบตัวต่อตัวเกิดขึ้น
พวกฝ่ายเการพกับพระราชาธฤตราชถือหาง
ราธียะแน่อยู่แล้ว ส่วนท้าวภีษมะ โทรณาจารย
กฤปาจารย และพี่น้อง ฝ่ายปาณฑบถือหาง
อรชุน
และในสภาวะที่ตึงเครียด ทั้งสองเตรียมน้าวคัน
ธนู เพื่อปนะลอง
กฤปาจารย์ อาจารย์คนแรกของทั้งพี่น้อง
ทั้งสองฝ่าย ก็เดินขึ้นไปบนเวทีขัดจังหวะ
แล้วประกาศกติกาว่า
อนชุนเป็นคนในวรรณะกษัตริย์ และกษัตริย์
จะต่อสู้กับคนในวรรณะกษัตริย์ เท่านั้นส่วนเจ้าหนุ่มน้อยที่มาท้าสู้จงแจ้งมาว่าเจ้าเกิดในครอบครัวไหนตระกูลใดมีชาติกำเหนิดเช่นไร
และปกครองแคว้นใด เพราะมีกฎว่าเจ้าชายใน
วรรณะจะไม่ลดตัวไปต่อสู้กับผู้ต่ำต้อยกว่าเป็นอันขาด
เอาละสิครับเดิดการพลิกผันเช่นนี้
ราธียะ ที่เคย องอาจ กลับคอตกเหมือนดอกหญ้า
ที่ชุ่มด้วยน้ำค้าง เลยทีเดียว เพราะไม่สามารถ
ประกาศชาติกำเหนิดของตัวเองได้ เพราะแกไม่รู้
ด้วยซ้ำไปว่าใคร เป็นพ่อเป็นแม่ของแก
ดูเหมือนจะจบข่าวแล้วสำหรับ ราธียะ
แต่ก่อนที่เรื่องราวจะยุติลงเพียงเท่านั้น
ทุรโยชน์ กระโดดลุกจากที่นั่งของตน
ราวกับงูเห่าแผ่แม่เบี้ย แล้วกล่าวว่า
ท่านอาจารย์ ตามหลักการที่เรายึดถือมาแต่โบราณเราถือว่ากษัตริย์ หรือผู้เกิดในวรรณะ
กษัตริย์ มีอยู่ สามชนิด ด้วยกัน นั่นคือ หนึ่ง
เกิดในวรรณะกษัตริย์ สอง เป็นกษัตริย์ เพราะ
ความกล้าหาญ สาม เป็นกษัตริย์ เพราะเอาชนะ
พระราชาที่ปกครองแค้วนเดิมอยู่ใด้
ท่านอาจารย์ ท่านสามารถก่อไฟจากการตีหิน
เหล็กไฟ เช่นเดียวกันก็สามารถก่อไฟขึ้นจากน้ำ
ความกล้าหาญต่างหากคือคุณสมบัติของคนใน
วรรณะกษัตริย์ แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังยืนยัน
ที่จะต้องต่อสู้กับคนในวรรณะกษัตริย์ งั้นข้า
ขอแต่งตั้งให้เจ้าหนุ่มคนนี้เป็น พระราชาแห่งแคว้น อังคะ
เอาแล้วไงครับ กับคำพูดที่มีเหตุมีผลของ
ทุรโยชน์ กับ ความใจถึง ที่ยกฐานะ ที่เป็นของตัวเองให้กับราธียะ
ทำเอาคนแซ่ซ้องสรรเสริญกันกระหึ่ม ได้ใจ
ชนทุกชั้น ที่คอยเชียร์
แกจัดการทำพิธี มุรธาภิเษก ให้เลยในบัดนั้น
แล้วถอดมงกุฏ ของแกสวมให้แก่ ราธียะ
เอาสิครับแกเอาจริง พูดจริงทำจริง ไม่กลัวเข็มฉีดยา ใจนายมันถึงจริง ทุรโยชน์
เล่นเอา ราธียะ น้ำตาไหลพราก เหมือนปลอกหอม โผเข้ากอด ทุรโยชน์ อย่าซาบซึ้ง
แล้ว บอกว่า ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี
กับสิ่งที่ทานให้นี้
ทุรโยชน์
ข้าต้องการเพียง มิตรภาพจากท่านเท่านั้น
ดูสิคำพูดนายหล่อมากเลย ทุรโยชน์
จะให้เป็นตัวโกงทุกตอนได้ไงวะ
เรื่ิองกำลังจะดี
พอดี คน ชื่อ อธิรัฐ ที่เก็บราธียะ มาเลี้ยง
เปิดเผยตัว ขึ้นมา แสดงความยินดีกับราธียะ
เิอาอีกแล้ว มีเหตุตลอด ทำไมนะหรือครับ
ก็พ่อเลี้ยงของ แกเป็นคนเลี้ยงม้า
ถือว่าเป็นวรรณะศูทร
พวกปาณฑพ ที่เงียบมานานเพราะถูกทุรโยชน
โขมยซีน ได้ที เห็นเช่นนั้น เลยออกมาเยาะเย้ย
ถากถาง ราธียะ ว่าเจ้า มันแค่คนเลี้ยงม้า
ไปกวาดคอกม้าไป ทำนองนั้น
มาดูสุนทรพจน์ ของทุรโยชน์ ที่ตอบโต้กัน
ภีมะท่านเป็นเจ้าชายที่เกิดในชาติกำเหนิดที่สูงส่ง
สิ่งที่เจ้าพูดออกมานั้นไม่เหมาะควร ที่จะพูดออกมา อย่างที่ข้าพูด ความกล้าหาญไม่ใช่เป็นมรดก
ตกทอดของคนในวรรณะกษัตริย์ หรือเป็นของที่มีอยู่เฉพาะคนในวรรณะกษัตริย์ เท่านั้น สำหรับ
ผู้ที่เป็น วีรบุรุษ หรือสายน้ำ เรื่องแหล่งกำเนิด
มิได้มีความสำคัญอะไร ลองคิดถึงชาติกำเหนิด
ของมหาบุรุษที่ยิ่งใหญ่ดู ที่มาที่ไปล้วนแต่มีเงื่อน
งำทั้งนั้น ลองคิดถึงชาติกำเนิด ของบิดาของข้า
กับบิดาของท่านดู ท่านว่าใครจากความเป็นบุตร
ของมารดา มิใช่จากความเป็นบุตรของบิดา
ท่านเป็นบุตร ของสตรีที่คิดว่าเหมาะควรที่จะมีชายอันเป็นที่รักได้ถึงสามคน(อันนี้แกด่าเจ็บ
เพราะพระนางกุนตี ต้องเรียกเทพ มาทำซ้ำติ้ง
ถึงสามองค์ ถึงจะเกิดพี่น้องปาณฑพ)
ข้าขอวิงวอน ให้พวกท่าน กยุดคำพูดดูหมิ่น
คนอื่นเสียที ประมาณนี้ครับ
คำพูดแกเท่มาก ไม่ให้ยึดถือ เพียงแค่วรรณะ
ที่ตั้งขึ้น ผมว่าถ้าแกไม่ใช่ตัวโกงนะ แกเป็นคน
ที่มองเห็นคุณค่าของคน มากกว่ามองที่ชั้นวรรณะ ตรงนี้ที่แกเหนือกว่า พวกปาณฑพ
ในการเป็นผู้นำครับ
แล้วเรามาตามดูกันครับ ผมชอบแนวของผูแต่ง คือ ในฝ่ายธรรมก็มีอธรรมในฝ่ายอธรรม
ก็มีคุณธรรม มีครบ
ต่อตอนต่อไปครับ
ขอยคุณทุกท่านที่ติดตาม และอ่านครับ
ขอปัญญาจงเจริญ แด่ท่านทั้งหลาย เอวัง
ขอบคุณเรื่องเล่า
ของ อาจารย์ วีระ ธีระภัทร ครับ
ท้าวธฤตราช พระราชาที่ตาบอด
โฆษณา