18 มี.ค. 2021 เวลา 08:53 • นิยาย เรื่องสั้น
“ความทรงจำของวันวาน”
หลังจากที่ย่าเสียชีวิต ผมก็รับช่วงต่อจากท่าน และต้องทำอะไรต่อมิอะไรอีกหลายเรื่องที่ไม่คุ้นเคย จากที่คิดว่า งาน ‘ฟ้อนผี’ ที่บ้านจะจัดเป็นปีสุดท้าย แต่ที่ไหนได้ ผมต้องมารับช่วงเสียเอง ทีแรกก็กล้า ๆ      กลัว ๆ ทำอะไรไม่ถูก มันเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อสำหรับคนหนุ่มวัยทำงาน และกำลังก้าวหน้าอย่างผม แต่จากตอนนั้นจวบจนถึงตอนนี้ เวลาเลยผ่านมากว่า 30 ปี...ผมไม่หนุ่มอีกต่อไปแล้ว 
            สองสามปีก่อน ผมออกจากงานด้วยความภาคภูมิใจ แม้จะเป็นการลาออกก่อนเวลาถึง  5 ปี แต่สำหรับผมมันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม
            ตอนนี้ครอบครัวผมแทบไม่เหลือใครแล้ว พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ล่วงหน้าไปรอผมก่อนแล้ว มีบางทีมาเที่ยวหาในฝัน เอาเลขเด็ดมาฝากบ้าง นอกนั้นก็มาแจ้งให้ทราบว่า สบายดีไม่มีห่วงอะไร หลังจากที่น้องชายแต่งงานกับน้องสะใภ้เมื่อสิบปีก่อน นาน ๆ ถึงแวะมาหาผมสักที ด้วยอยู่ต่างจังหวัด แม้จะอยู่ในภาคเหนือด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ ไป-มา-หากันสะดวก น้องชายผมแต่งงานตอนอายุเกือบสี่สิบแล้ว น้องสะใภ้ก็เป็นรุ่นน้องในที่ทำงาน ทั้งสองรักกันดี
งานฟ้อนผีจัดครั้งสุดท้ายเมื่อ 16 ปีก่อน ตั้งแต่มีโรคระบาดครั้งนั้น ชีวิตคนในสังคมก็เปลี่ยนไป...นานมากแล้วที่เครือญาติไม่อาจมารวมตัวกัน  
ตอนนี้คนประกอบพิธีกรรมเก่า ๆ ทั้งนักดนตรีปี่พาทย์ พ่อค้าแม่ขายที่เคยซื้อข้าวของเครื่องใช้ คนเฒ่าคนแก่ทั้งหลายก็ล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สนใจ ไม่เรียนรู้ ถอยห่าง ด้วยกลัวถูกกล่าวหาว่า งมงาย หลาย ๆ พิธีกรรมความเชื่อดั้งเดิมในสังคมก็ถูกลืมเลือนไป
คงเหลือแต่ผมที่จดจำทุกอย่างได้ดี แม้จะไม่ได้จัดงานฟ้อนผีใหญ่โตเหมือนเมื่อก่อน
แต่ก็ยังคงต้องทำเหมือนเดิม ดังเช่น ย่า พ่อ แม่ เคยทำมาไม่อาจเว้นได้ เพราะผม คือ คนสุดท้ายที่จำ ‘เจ้าปู่’ ได้
ทุกวันนี้…เวลาไหว้เจ้าปู่ก็นั่งร้องไห้ตรงหน้าหิ้งทุกครั้ง นึกน้อยใจเมื่อไหร่ท่านจะพาไปอยู่ด้วย ทำไม? ทิ้งผมไว้ ให้ต้องจดจำเรื่องราวมากมายคนเดียว...ตอนนั้นย่าก็คงเป็นเหมือนกัน
……….
สาย ๆ ของเมื่อวาน น้องชายโทรมาบอกว่าสุดสัปดาห์นี้ จะเอาหลานชายมาฝากเลี้ยงหนึ่งวัน เพราะต้องไปทำธุระที่ต่างจังหวัด
“พี่หนึ่ง ผมจะเอาออมสินมาฝากพี่ไว้วันนึงนะ”
“อ้าว! แล้วไม่ให้อยู่กับยายมันล่ะ”
“ไม่ได้หรอก อยู่กับคนบ้านนั้น มันดื้อ”
“เออ ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว จะเอามาเมื่อไหร่ก็มา”
ในสายตาของพวกญาติพี่น้องทั้งสายใกล้และไกล มักจะมองว่าผมเป็นคนดุ เจ้าระเบียบ ยิ่งเวลาเข้าทรง ยิ่งน่ากลัว ทำให้ลูกหลานไม่กล้าเข้าใกล้ ทว่าออมสิน ลูกของน้องชายกลับไม่เป็นเช่นนั้น น้องชายเคยเล่าให้ผมฟังว่า วันแรกที่พาเจ้าตัวแสบมากราบเจ้าปู่ ลูกหลานคนอื่นเห็นเจ้าปู่ ก็ร้องไห้งอแงจะกลับบ้าน แต่เจ้าออมสินกลับนั่งยิ้มเผล้ พอเจ้าปู่กวักมือเรียก มันก็รีบคลานเข้าไปเอาหัวหนุนตัก จนน่าหมั่นไส้
แต่ผมไม่เคยเจอออมสินจริง ๆ เลยสักครั้ง เพราะทุกครั้งจะเป็นเจ้าปู่ที่เจอ
……….
            เช้าตรู่ของวันนัดหมาย ผมรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน รถของน้องชายมาจอดหน้าบ้านเงียบ ๆ ทั้งน้องชายและน้องสะใภ้ ลงจากรถมาพร้อมพาลูกชายตัวดี
            “อยู่กับลุงอย่าดื้อล่ะ”
            “รู้แล้วน่า พ่ออย่าพูดมากได้มั้ยเนี่ย”
“ฝากออมสินด้วยนะพี่ จัดเต็มเลยนะไม่ต้องเกรงใจ”  น้องชายเอามือยีหัวออมสินไปทีนึง
“โธ่ !พ่อ ออมไม่ใช่เด็กแล้วนะ” ออมสินทำหน้าบึ้ง
ออมสินเป็นเด็กชายวัย 10 ขวบ  ตาโต ผิวขาว ผอมบางตัวเล็ก ผมสั้นหัวเหม่ง ชอบสะพายเป้ด้านหลัง หากดูไม่ดีจะนึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงแก่น ๆ อาจเป็นเพราะน้องสะใภ้เป็นคนหน้าหวาน ออมสินก็เลยได้ความละม้ายคล้ายแม่มาเยอะ นิสัยหลาย ๆ อย่างคล้ายผู้หญิง คงเพราะอยู่กับแม่และยายมากไปนิด แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกลึก ๆ ว่าเจ้าหลานชายมันละม้ายคล้ายคนคุ้นเคย โดยเฉพาะตอนที่ยิ้มกว้างสบายอารมณ์
            “ลุงหนึ่งมีอะไรเล่นมั้ย”
            “ไม่มี”
            “มีเกมเล่นมั้ย อินเตอร์เน็ต คอมพิวเตอร์ ไอโฟน ไอแพด” ออมสินถามหาเทคโนโลยี
            “ไม่มีหรอก”
            “งั้นของที่เตรียมมาก็เล่นไม่ได้ อ่ะดิ” ออมสินเปิดเป้ที่สะพายอยู่ด้านหลัง ซึ่งเต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัยมากมาย ผมเห็นก็ได้แต่อมยิ้ม
            “แบกอะไรมาเยอะแยะ ของใช้ไม่ได้ที่นี่ทั้งนั้น พ่อไม่ได้บอกเหรอ”
            “พ่อหลอกออมแหง ๆ เลย เซ็งอ่ะ”
            “ชอบเล่นเกมเหรอเรา มีเครื่องเกมเยอะเลย”
            “ใช่ ฮะ ชอบมาก ชอบเล่นเกมต่อสู้ ผจญภัยผ่านด่าน เกมยิงปืนด้วย”
            “ชอบอ่านการ์ตูนด้วยเหรอ เห็นแบกการ์ตูนมาหลายเล่มเลย”
            “ใช่ ฮะ ชอบมาก ตอนนี้ติดมากเรื่องนึง พระเอกใช้ดาบญี่ปุ่นสู้กับพวกอสูร ลุงรู้จักมั้ยฮะ”
            ผมไม่ตอบอะไรอีก หันหลังแล้วเดินนำเข้าบ้าน ออมสินรีบตามผมเข้าบ้านเหมือนอยากจะคุยต่อ ผมพาเดินขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านแล้วชี้ไปที่ห้องนอนทางซ้ายมือ
            “ออมนอนห้องนี้นะ จัดของไว้ให้เรียบร้อย” ออมสินได้ฟังก็ทำหน้าเลิกลั่ก ตัวสั่น จากที่ปากพูดเจื้อยแจ้ว ก็กลับเงียบก้มหน้า ทำอะไรไม่ถูก มันทำให้ผมอ่านอาการออกและรู้ว่า เจ้าตัวแสบไม่เคยนอนคนเดียวมาก่อน
            “หัดนอนคนเดียวได้แล้ว โตแล้ว”
            “ออมกลัวผี” พอได้ยินหลานพูดอย่างนั้น ผมก็สะกิดใจ คิดว่าหลานคงพิเศษกว่าคนอื่น ผมเข้าไปแตะไหล่ทั้งสองข้าง นั่งยอง ๆ มองหน้าหลานชาย
            “มองเห็นใช่มั้ย” ผมถามตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมใดใดอีก ออมสินพยักหน้า น้ำตารื้น
            “นึกถึงเจ้าปู่ไว้ แล้วผีมันจะกลัว” แม้มันอาจจะไม่ใช่คำปลอบที่ดีนัก แต่ก็ทำให้ออมสินยิ้มกว้างได้อย่างประหลาด
……….
ผ่านไปกว่าครึ่งค่อนวัน ผมกับหลานชายก็ปรับตัวเข้าหากันได้ดี ออมสินเลี้ยงง่ายกว่าที่คิด แม้จะเป็นคนที่เลือกทาน แต่ก็ไม่ได้ลำบากเกินกว่าจะหาได้ ไข่เจียวสักฟอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้มเปล่า ๆ ก็อยู่ได้ ผักผลไม้ก็กินได้หมดทุกอย่าง ถ้าเทียบกับผมแล้ว ออมสินถือว่ากินง่ายอยู่ง่ายกว่ามากในสภาพแวดล้อมสังคมปัจจุบันที่ข้าวยากหมากแพง
            ช่วงบ่าย ๆ ผมเลยลองสอนให้เล่นหมากรุก ซึ่งออมสินก็ทำได้ดี เรียนรู้เร็วมาก แม้จะยังไม่สามารถเอาชนะผมได้ แต่ก็สนุกกับทุกเกมที่เล่น จนเวลาล่วงเลยไปถึงตอนเย็น ผมนึกอะไรบางอย่างออก จึงรีบลุกพรวดพราดจนลืมไปว่ากำลังเล่นหมากรุกอยู่
            “ลุงจะไปไหน ไม่เล่นแล้วเหรอฮะ”
            “เปล่า ๆ มันจะเย็นแล้ว เดี๋ยวลุงต้องทำกับข้าวแล้ว”  ออมสินทำหน้า งง ๆ
            “มาช่วยลุงทำมั้ยล่ะ” พอพูดจบออมสินก็ยิ้มกว้างรีบวิ่งตามเข้าครัวมาแต่โดยดี
……….
“เราจะทำอะไรกินกันฮะ” ออมสินทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น ชะเง้อชะแง้ดูขณะที่ผมกำลังหยิบของในตู้เย็น ผมคิดว่าถ้าเป็นบ้านอื่นคงให้ลูกหลานไปนั่งเล่นหน้าโทรทัศน์ หรือ ไม่ก็อย่ามายุ่ง แต่ผมคิดตรงข้าม ช่วงวัยนี้แหละที่เหมาะจะสอน เพราะเด็กเองพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้
            “ยำจิ้นไก่” ออมสินได้ยินก็ตาโต เพราะไม่รู้จัก
            เมื่อวานครบรอบการเลี้ยงผีปู่ย่า ผมได้เตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ต่าง ๆ ทำตามจารีตที่ได้รับสืบทอดมา เมื่อก่อนนั้นทำไม่เป็น แต่พอหลังจากรับเป็นร่างทรงต่อจากย่า เลยต้องเรียนรู้ทุกอย่างจากคนที่ทำเป็น ย่า พ่อ และแม่ สอนทุกอย่างให้จนหมดไส้หมดพุง ยิ่งไม่ได้ฟ้อนผีนานแล้ว โอกาสหากินก็ยากขึ้น และผมเองก็ไม่คิดจะทำ โดยมากก็เอาไปนึ่งอีกรอบแล้วก็จิ้มน้ำปลาทานเลย แต่วันนี้นึกอยากลองทำให้ออมสินชิม
            “ฉีกไก่ให้ลุงหน่อย เอาพอดีคำ ฉีกเป็นเส้น ๆ ใส่กะละมังเล็ก ๆ นั่นไว้”
            “ยำจิ้นไก่ คือ ยำเนื้อไก่เป็นชิ้น ๆ ใช่มั้ยฮะ เหมือนยำวุ้นเส้นเปรี้ยว ๆ ที่แม่เคยทำแน่ ๆ” ออมสินเริ่มจินตนาการ
            “ไม่เหมือนซะทีเดียว ลองดูละกัน” ผมง่วนกับการควานหาส่วนผสมในตะแกรงผัก
            ยำจิ้นไก่เป็นอาหารคนพื้นเมืองล้านนา จะได้กิน ได้ทานก็ฤดูกาลไหว้ผีนี่แหละ แต่ละบ้านก็มีสูตรไม่เหมือนกัน ที่ย่าผมเคยทำจะใช้เครื่องปรุงรสเป็นพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม กะปิ มะนาว แล้วก็ที่ขาดไม่ได้ คือ ผักไผ่หอมด่วน
            “เมื่อวานลุงไหว้ผีปู่ย่าเหรอฮะ”
            “ใช่ ๆ เดือนนี้เขาไหว้เจ้าที่ผีปู่ย่ากัน แต่เดี๋ยวนี้คงไม่มีที่ไหนทำกันแล้ว คนลืม ๆ กันไปหมดแล้ว แต่ลุงยังจำได้ ถ้าไม่ไหว้ เจ้าปู่จะอดอยาก มันเป็นการอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ”
            “ออ...แล้วที่สำคัญ ไก่ไหว้เจ้านี่แหละ อร่อยที่สุด !” ผมหยิบไก่ที่ออมสินฉีกไว้ ใส่ปาก หน้าตาบ่งบอกความเอร็ดอร่อย จนออมสินกลืนน้ำลาย…เอื้อก ! …ผมเลยหยิบป้อนใส่ปากให้ไปชิ้นนึง
            “เป็นไง อร่อยมั้ย”
            “เค็ม ๆ มัน ๆ อร่อยดีฮะ”
            “สมัยเด็ก ๆ นะลุงไม่รอให้ทวดเราทำเป็นยำหรอก พอไหว้เสร็จ ลุงจะเอาไก่มาฉีกจิ้มน้ำปลากินกับข้าวร้อน ๆ เลย”   
            คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนจะใช้วิธีการหมก หรือ ย่างไฟอ่อนเพื่อให้พริกหนุ่ม หอมแดง กะเทียมสุกนิ่ม แต่เพื่อความรวดเร็ว ผมจึงนำกระทะตั้งไฟแล้วเอาหอมแดง กะเทียม พริกหนุ่มลงคั่วไฟอ่อนแทน โดยเอาของสุกยากลงก่อน ระหว่างที่รอหอมแดงสุก ผมเปิดตู้เย็นเอาน้ำต้มไก่มาตั้งไฟ จากนั้นก็เอาไก่ที่ฉีกลงต้มอีกรอบ
            “ลุงฮะ กลิ่นไหม้ ๆ อะไรน่ะ” ออมสินทำจมูกฟุตฟิต ผมเหลือบไปมองกระทะ จึงรีบกลับหอมแดงไปมา ก่อนที่จะไหม้หมด พอหอมแดงเริ่มสุกก็ใส่พริกหนุ่ม และกระเทียมตามลำดับ ออมสินยืนดูอยู่ใกล้ ๆ อย่างใจจดจ่อ
            “อยากทำมั้ยล่ะ เอ้า...จับตะหลิวแล้วคั่วไปช้า ๆ แตะ ๆ ดูถ้ามันนิ่มแล้วบอกลุง” ผมยื่นตะหลิวให้ ออมสินคว้าหมับทันที พอทำไปก็เริ่มคุ้นเคย ออมสินเอาตะหลิวนาบเครื่องปรุงเหล่านั้นก็รู้ได้ว่านุ่มนิ่มแล้ว เลยบอกผมว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว
            “ไปหยิบกะปิบนโต๊ะมา”
            ผมควักกะปิใส่หม้อต้มไก่ที่น้ำกำลังเดือด กลิ่นเริ่มโชยเตะจมูกลุงหลานเริ่มน้ำลายสอ ต้มต่อไปสักพักเพื่อให้น้ำซึมเข้าเนื้อ ผมลองชิม แล้วให้หลานลองบ้าง เราสองมองหน้ากัน ยกนิ้วโป้งอย่างไม่ต้องนัดหมาย
            “เดี๋ยวเราจะตำน้ำพริก จากของที่เราหมกเมื่อกี้”
            “ดูลุงไว้นะ โตอีกหน่อยแล้วค่อยทำ ข้อแขนเรานิดเดียว ถ้าให้ตำวันนี้ ก็ไม่ได้กินหรอก” ออมสินพยักหน้ารับคำ เตรียมส่งเครื่องปรุงให้
            “ถ้าชอบกินเผ็ดก็ใส่พริกเยอะ เด็ดก้านออกแบบนี้นะ เวลาทำกับข้าวน่ะ ให้ใส่พริกเป็นเลขคี่นะจำไว้” ผมก็พล่ามไป ในขณะที่ออมสินสะกิด
            “ลุงใส่ไปกี่เม็ดแล้วฮะ”
            “เอ้อออ ! ลืมนับ เดี๋ยว ขอนับก่อน” ผมหยิบพริกขึ้นมาจากครกแล้วนับใหม่ ท่าทางที่ผ่อนคลายเป็นกันเองทำให้ออมสินหัวเราะร่า
            “ถ้าใส่ต้องเลขคี่นะ เดี๋ยวไม่อร่อย” …เอ ไม่เคยลองใส่เลขคู่เหมือนกัน
            “เป็นผู้ชาย ทำกับข้าวได้นะมีเสน่ห์ อีกหน่อยโตไปมีแฟนจะได้ทำกับข้าวให้แฟนกิน” ออมสินได้ยินก็ยิ้มกว้าง แต่ผมแน่ใจว่าหลานยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจที่ผมพูด
            หลังจากตำพริกกับหอมแดงเสร็จ ผมก็ซอยหอมแดงสด ขณะที่ซอยนั้นน้ำตาก็ไหล อาจเพราะฤทธิ์ของหอมแดง กับความทรงจำครั้งเก่ามันคลุกเคล้ากัน ผมเห็นใบหน้าของย่าประทับบนโครงหน้าออมสินราง ๆ ช่างเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ภาพเงาของญาติพี่น้องที่เดินไปมาในห้องครัว เสียงดังโหวกเหวก เมื่อครั้งนั้นมันหวนมา ...คิดถึงทุกคนที่เคยอยู่พร้อมหน้า  
            “ลุงร้องไห้ทำไมฮะ”
            “หอมแดงเข้าตา ไม่มีอะไรหรอก”
            ผมหยิบผักไผ่กับหอมด่วนขึ้นมาจะซอยต่อ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
            “ออมสินรู้มั้ยว่า ผักแต่ละที่ชื่อเรียกไม่เหมือนกัน สมัยที่ลุงไปอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ลุงจะทำกับข้าวกินกันกับเพื่อน เลยไปตลาดถามแม่ค้าว่า มีผักไผ่หอมด่วนมั้ย แม่ค้าก็ งง ว่าเป็นผักอะไร ลุงเอะใจ ว่าไม่ใช่ภาษาไทย เลยบอกแม่ค้าไปใหม่ว่า ขอซื้อใบสะระแหน่และเพื่อน ๆ ของมัน แม่ค้าหัวเราะใหญ่ อยู่ไปนาน ๆ ถึงรู้ว่า ผักไผ่หอมด่วนคือ ใบสะระแหน่กับผักเผว”  ออมสินได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ
            “สะระแหน่และเพื่อน ๆ 555”
            พอทุกอย่างพร้อมสรรพ ผมก็ตักไก่และน้ำต้มจากหม้อ เปลี่ยนใส่ในกะละมังที่เตรียมไว้เพื่อจะยำ คนให้ความร้อนกระจายสักครู่ก็ควักน้ำพริกจากครกใส่ลงไป จากนั้นก็คนให้เข้ากัน กลิ่นหอมจากเครื่องเทศลอยโชยขึ้นมาแทบจะทันที ผมลองชิมแล้วรู้ว่าขาดรสชาติบางอย่างเลยจำเป็นต้องปรุงรสเพิ่ม ใส่ผงปรุงรส ใส่เกลือ จากนั้นจึงฝานมะนาวบีบใส่ โรยด้วยผักไผ่หอมด่วน และหอมแดงสดที่ซอยทิ้งไว้ พอชิมรสจนพอใจก็จัดใส่จานได้อาหารมื้อเย็น 
            “ลองชิมดู จะให้ลุงเติมอะไรมั้ย”
            ออมสินลองชิม แล้วแลบลิ้น หน้าแดง เหงื่อเป็นเม็ดผุดบนหน้าผาก
            “อร่อย แต่เผ็ดฮะ แฮ่ ๆ ๆ” ผมเดินไปหยิบนมในตู้เย็นให้หลานดื่ม ออมสินทำหน้า งง คงสงสัยว่าทำไมไม่ดื่มน้ำเย็นแต่กลับให้ดื่มนมเย็นแทน
            “อมไว้แล้วไปบ้วน ไม่ต้องดื่มนะ” พอบ้วนเสร็จออมสินก็รีบกลับมาถาม เพราะมันแทบจะหายเผ็ดทันที
            “คาเซอินที่เป็นโปรตีนในนมจะช่วยดึงแคปไซซินในพริกออกจากปลายประสาทน่ะ” ออมสินฟังผมพูดตาแป๋ว            
มื้อเย็นวันนี้อบอุ่นกว่าที่เคยเป็น ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับออมสินมากขึ้น ออมสินก็เปิดใจกล้าพูดกล้าคุยกล้าถาม เหมือนคนคุ้นเคยกันมายาวนาน ก่อนเข้านอนผมพาออมสินมานั่งในห้องพระไหว้พระสวดมนต์ และเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟังคล้ายกับคนแก่เล่านิทานไม่รู้จบ ออมสินหลับผล็อยคาตักผมไปเลย
……….
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมรับรู้ได้ว่าหลานยังไม่อยากลับ แต่ด้วยเงื่อนไขบางอย่างก็จำใจต้องจากกันไปก่อนชั่วคราว ก่อนจะจากกัน ออมสินเล่าความฝันเมื่อคืนให้ฟังว่า...
ตรงหน้าบ้าน มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน พวกเขายืนเบียดเสียดกัน ต่างก็ชะเง้อชะแง้ มองเข้ามาในบ้าน แต่เห็นหน้าไม่ชัด ไม่มีใครคุ้นตาเลยสักคน หลานบอกว่าในฝัน พวกนั้นแต่งตัวกันประหลาด บางคนก็นุ่งสโร่งโพกหัว บางคนก็มีแต่ผ้าพาดบ่า บางคนสูบบุหรี่ บางคนถือดาบ บางคนถือหอก บางคนก็ใส่เสื้อทับกันหลายชั้น พวกเขามองมาทางออมสินแล้วยิ้ม มีคนหนึ่งกวักมือเรียก แต่อีกคนดึงมือกลับ พวกเขาพูดกันราวกับถกเถียงกันบางอย่าง มือไม้ออกท่าทาง ชี้มาทางออมสิน...เมื่อผมฟังจบก็ได้แต่ยิ้ม และโบกมือลา  
ความทรงจำของวันวานจบลงแล้วในวันนี้
“คราวหน้า ลุงจะสอนทำลาบนะ” ออมสินยิ้ม พยักหน้ารับคำ น้องชายและน้องสะใภ้ งงเป็นไก่ตาแตก ไม่คิดว่าคืนเดียวลูกชายจะเปลี่ยนไปขนาดนี้
……….
NS.Oldcat : เป็นภาคต่อจากเรื่อง "ความทรงจำของวันพรุ่งนี้"
โฆษณา