“เราจะทำอะไรกินกันฮะ” ออมสินทำท่าทางอยากรู้อยากเห็น ชะเง้อชะแง้ดูขณะที่ผมกำลังหยิบของในตู้เย็น ผมคิดว่าถ้าเป็นบ้านอื่นคงให้ลูกหลานไปนั่งเล่นหน้าโทรทัศน์ หรือ ไม่ก็อย่ามายุ่ง แต่ผมคิดตรงข้าม ช่วงวัยนี้แหละที่เหมาะจะสอน เพราะเด็กเองพร้อมแล้วที่จะเรียนรู้
“ยำจิ้นไก่” ออมสินได้ยินก็ตาโต เพราะไม่รู้จัก
เมื่อวานครบรอบการเลี้ยงผีปู่ย่า ผมได้เตรียมเครื่องประกอบพิธีกรรมเซ่นไหว้ต่าง ๆ ทำตามจารีตที่ได้รับสืบทอดมา เมื่อก่อนนั้นทำไม่เป็น แต่พอหลังจากรับเป็นร่างทรงต่อจากย่า เลยต้องเรียนรู้ทุกอย่างจากคนที่ทำเป็น ย่า พ่อ และแม่ สอนทุกอย่างให้จนหมดไส้หมดพุง ยิ่งไม่ได้ฟ้อนผีนานแล้ว โอกาสหากินก็ยากขึ้น และผมเองก็ไม่คิดจะทำ โดยมากก็เอาไปนึ่งอีกรอบแล้วก็จิ้มน้ำปลาทานเลย แต่วันนี้นึกอยากลองทำให้ออมสินชิม
“ฉีกไก่ให้ลุงหน่อย เอาพอดีคำ ฉีกเป็นเส้น ๆ ใส่กะละมังเล็ก ๆ นั่นไว้”
“ยำจิ้นไก่ คือ ยำเนื้อไก่เป็นชิ้น ๆ ใช่มั้ยฮะ เหมือนยำวุ้นเส้นเปรี้ยว ๆ ที่แม่เคยทำแน่ ๆ” ออมสินเริ่มจินตนาการ
“ไม่เหมือนซะทีเดียว ลองดูละกัน” ผมง่วนกับการควานหาส่วนผสมในตะแกรงผัก
ยำจิ้นไก่เป็นอาหารคนพื้นเมืองล้านนา จะได้กิน ได้ทานก็ฤดูกาลไหว้ผีนี่แหละ แต่ละบ้านก็มีสูตรไม่เหมือนกัน ที่ย่าผมเคยทำจะใช้เครื่องปรุงรสเป็นพริกหนุ่ม หอมแดง กระเทียม กะปิ มะนาว แล้วก็ที่ขาดไม่ได้ คือ ผักไผ่หอมด่วน
“เมื่อวานลุงไหว้ผีปู่ย่าเหรอฮะ”
“ใช่ ๆ เดือนนี้เขาไหว้เจ้าที่ผีปู่ย่ากัน แต่เดี๋ยวนี้คงไม่มีที่ไหนทำกันแล้ว คนลืม ๆ กันไปหมดแล้ว แต่ลุงยังจำได้ ถ้าไม่ไหว้ เจ้าปู่จะอดอยาก มันเป็นการอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ”
“ออ...แล้วที่สำคัญ ไก่ไหว้เจ้านี่แหละ อร่อยที่สุด !” ผมหยิบไก่ที่ออมสินฉีกไว้ ใส่ปาก หน้าตาบ่งบอกความเอร็ดอร่อย จนออมสินกลืนน้ำลาย…เอื้อก ! …ผมเลยหยิบป้อนใส่ปากให้ไปชิ้นนึง
“เป็นไง อร่อยมั้ย”
“เค็ม ๆ มัน ๆ อร่อยดีฮะ”
“สมัยเด็ก ๆ นะลุงไม่รอให้ทวดเราทำเป็นยำหรอก พอไหว้เสร็จ ลุงจะเอาไก่มาฉีกจิ้มน้ำปลากินกับข้าวร้อน ๆ เลย”
คนเฒ่าคนแก่สมัยก่อนจะใช้วิธีการหมก หรือ ย่างไฟอ่อนเพื่อให้พริกหนุ่ม หอมแดง กะเทียมสุกนิ่ม แต่เพื่อความรวดเร็ว ผมจึงนำกระทะตั้งไฟแล้วเอาหอมแดง กะเทียม พริกหนุ่มลงคั่วไฟอ่อนแทน โดยเอาของสุกยากลงก่อน ระหว่างที่รอหอมแดงสุก ผมเปิดตู้เย็นเอาน้ำต้มไก่มาตั้งไฟ จากนั้นก็เอาไก่ที่ฉีกลงต้มอีกรอบ
“ลุงฮะ กลิ่นไหม้ ๆ อะไรน่ะ” ออมสินทำจมูกฟุตฟิต ผมเหลือบไปมองกระทะ จึงรีบกลับหอมแดงไปมา ก่อนที่จะไหม้หมด พอหอมแดงเริ่มสุกก็ใส่พริกหนุ่ม และกระเทียมตามลำดับ ออมสินยืนดูอยู่ใกล้ ๆ อย่างใจจดจ่อ
“อยากทำมั้ยล่ะ เอ้า...จับตะหลิวแล้วคั่วไปช้า ๆ แตะ ๆ ดูถ้ามันนิ่มแล้วบอกลุง” ผมยื่นตะหลิวให้ ออมสินคว้าหมับทันที พอทำไปก็เริ่มคุ้นเคย ออมสินเอาตะหลิวนาบเครื่องปรุงเหล่านั้นก็รู้ได้ว่านุ่มนิ่มแล้ว เลยบอกผมว่าทำหน้าที่เสร็จแล้ว
“ไปหยิบกะปิบนโต๊ะมา”
ผมควักกะปิใส่หม้อต้มไก่ที่น้ำกำลังเดือด กลิ่นเริ่มโชยเตะจมูกลุงหลานเริ่มน้ำลายสอ ต้มต่อไปสักพักเพื่อให้น้ำซึมเข้าเนื้อ ผมลองชิม แล้วให้หลานลองบ้าง เราสองมองหน้ากัน ยกนิ้วโป้งอย่างไม่ต้องนัดหมาย
“เดี๋ยวเราจะตำน้ำพริก จากของที่เราหมกเมื่อกี้”
“ดูลุงไว้นะ โตอีกหน่อยแล้วค่อยทำ ข้อแขนเรานิดเดียว ถ้าให้ตำวันนี้ ก็ไม่ได้กินหรอก” ออมสินพยักหน้ารับคำ เตรียมส่งเครื่องปรุงให้
“ถ้าชอบกินเผ็ดก็ใส่พริกเยอะ เด็ดก้านออกแบบนี้นะ เวลาทำกับข้าวน่ะ ให้ใส่พริกเป็นเลขคี่นะจำไว้” ผมก็พล่ามไป ในขณะที่ออมสินสะกิด
“ลุงใส่ไปกี่เม็ดแล้วฮะ”
“เอ้อออ ! ลืมนับ เดี๋ยว ขอนับก่อน” ผมหยิบพริกขึ้นมาจากครกแล้วนับใหม่ ท่าทางที่ผ่อนคลายเป็นกันเองทำให้ออมสินหัวเราะร่า
“ถ้าใส่ต้องเลขคี่นะ เดี๋ยวไม่อร่อย” …เอ ไม่เคยลองใส่เลขคู่เหมือนกัน
“เป็นผู้ชาย ทำกับข้าวได้นะมีเสน่ห์ อีกหน่อยโตไปมีแฟนจะได้ทำกับข้าวให้แฟนกิน” ออมสินได้ยินก็ยิ้มกว้าง แต่ผมแน่ใจว่าหลานยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจที่ผมพูด
หลังจากตำพริกกับหอมแดงเสร็จ ผมก็ซอยหอมแดงสด ขณะที่ซอยนั้นน้ำตาก็ไหล อาจเพราะฤทธิ์ของหอมแดง กับความทรงจำครั้งเก่ามันคลุกเคล้ากัน ผมเห็นใบหน้าของย่าประทับบนโครงหน้าออมสินราง ๆ ช่างเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ภาพเงาของญาติพี่น้องที่เดินไปมาในห้องครัว เสียงดังโหวกเหวก เมื่อครั้งนั้นมันหวนมา ...คิดถึงทุกคนที่เคยอยู่พร้อมหน้า
“ลุงร้องไห้ทำไมฮะ”
“หอมแดงเข้าตา ไม่มีอะไรหรอก”
ผมหยิบผักไผ่กับหอมด่วนขึ้นมาจะซอยต่อ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“ออมสินรู้มั้ยว่า ผักแต่ละที่ชื่อเรียกไม่เหมือนกัน สมัยที่ลุงไปอยู่กรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ลุงจะทำกับข้าวกินกันกับเพื่อน เลยไปตลาดถามแม่ค้าว่า มีผักไผ่หอมด่วนมั้ย แม่ค้าก็ งง ว่าเป็นผักอะไร ลุงเอะใจ ว่าไม่ใช่ภาษาไทย เลยบอกแม่ค้าไปใหม่ว่า ขอซื้อใบสะระแหน่และเพื่อน ๆ ของมัน แม่ค้าหัวเราะใหญ่ อยู่ไปนาน ๆ ถึงรู้ว่า ผักไผ่หอมด่วนคือ ใบสะระแหน่กับผักเผว” ออมสินได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ
“สะระแหน่และเพื่อน ๆ 555”
พอทุกอย่างพร้อมสรรพ ผมก็ตักไก่และน้ำต้มจากหม้อ เปลี่ยนใส่ในกะละมังที่เตรียมไว้เพื่อจะยำ คนให้ความร้อนกระจายสักครู่ก็ควักน้ำพริกจากครกใส่ลงไป จากนั้นก็คนให้เข้ากัน กลิ่นหอมจากเครื่องเทศลอยโชยขึ้นมาแทบจะทันที ผมลองชิมแล้วรู้ว่าขาดรสชาติบางอย่างเลยจำเป็นต้องปรุงรสเพิ่ม ใส่ผงปรุงรส ใส่เกลือ จากนั้นจึงฝานมะนาวบีบใส่ โรยด้วยผักไผ่หอมด่วน และหอมแดงสดที่ซอยทิ้งไว้ พอชิมรสจนพอใจก็จัดใส่จานได้อาหารมื้อเย็น
“ลองชิมดู จะให้ลุงเติมอะไรมั้ย”
ออมสินลองชิม แล้วแลบลิ้น หน้าแดง เหงื่อเป็นเม็ดผุดบนหน้าผาก
“อร่อย แต่เผ็ดฮะ แฮ่ ๆ ๆ” ผมเดินไปหยิบนมในตู้เย็นให้หลานดื่ม ออมสินทำหน้า งง คงสงสัยว่าทำไมไม่ดื่มน้ำเย็นแต่กลับให้ดื่มนมเย็นแทน
“อมไว้แล้วไปบ้วน ไม่ต้องดื่มนะ” พอบ้วนเสร็จออมสินก็รีบกลับมาถาม เพราะมันแทบจะหายเผ็ดทันที
“คาเซอินที่เป็นโปรตีนในนมจะช่วยดึงแคปไซซินในพริกออกจากปลายประสาทน่ะ” ออมสินฟังผมพูดตาแป๋ว
มื้อเย็นวันนี้อบอุ่นกว่าที่เคยเป็น ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับออมสินมากขึ้น ออมสินก็เปิดใจกล้าพูดกล้าคุยกล้าถาม เหมือนคนคุ้นเคยกันมายาวนาน ก่อนเข้านอนผมพาออมสินมานั่งในห้องพระไหว้พระสวดมนต์ และเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟังคล้ายกับคนแก่เล่านิทานไม่รู้จบ ออมสินหลับผล็อยคาตักผมไปเลย
……….