19 มี.ค. 2021 เวลา 09:18 • กีฬา
มาร์วิน แฮกเลอร์ 1 ใน “4 ราชันจ้าวสังเวียน” ยุค 80
โดย เชน ชอนตะวัน
วงการมวยโลกในปัจจุบันถือว่าอยู่ในช่วงซบเซา แทบไม่มีนักมวยประเภทมวยแม่เหล็กที่ประกบคู่กับใครแล้วจะเรียกเสียงซี๊ดปากจากแฟนมวยได้ แตกต่างจากในยุคเฟื่องฟูช่วงราวๆ ทศวรรษที่ 70 และ 80 ราวฟ้ากับเหว ส่วนในช่วงกว่า 1 ทศวรรษหลังสุด ยังมีนักมวยเก่งๆ ระดับซูเปอร์สตาร์ถึง 3 คนคือ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา, แมนนี ปาเกียว และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้แฟนมวยทั่วโลกยังอยากเห็นปาเกียวแก้มือกับฟลอยด์ แม้ทั้งคู่จะอายุเกินกว่า 40ปี คนหนึ่งแขวนนวมไปแล้ว ขณะที่อีกคนหนึ่งใกล้อำลาสังเวียนเต็มที
ในยุค 80 ถือเป็นยุคทองของวงการมวยโลกในพิกัดน้ำหนักรุ่นกลาง หรือรุ่นเวลเทอร์เวตถึงรุ่นมิดเดิลเวต เพราะมีโคตรมวยรุ่นราวคราวเดียวกันมากถึง 4 คนคือ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด, มาร์วิน แฮกเลอร์, โทมัส เฮิร์นส์ และ โรเบร์โต ดูรัน ซึ่งได้รับการยกย่องในวงการมวยให้เป็น “The Four Kings” หรือจตุรเทพ “ 4 ราชันจ้าวสังเวียน” เนื่องจากทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นแชมป์โลกผู้ยิ่งใหญ่ มีสไตล์การชกที่เก่งกาจ และมีเอกลักษณ์ของตนเอง ทุกครั้งที่พวกเขาขึ้นชกจะมีแฟนมวยทั่วโลกติดตามชมการถ่ายทอดสดด้วยใจระทึก และเวลาที่พวกเขาโคจรมาพบกันบนสังเวียน มันคือไฟต์หยุดโลกดีๆ นี่เอง
2
ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด ถือเป็นสุดยอดนักชกขวัญใจชาวอเมริกัน คนถัดมาจาก มูฮัมหมัด อาลี ดีกรีเป็นถึงเจ้าของเหรียญทองมวยสากลสมัครเล่นโอลิมปิกปี 1976 เรื่องเทคนิคและชั้นเชิง ตลอดจนความคล่องแคล่วรวดเร็วจึงไม่เป็นสองรองใคร อ่านสถานการณ์ยอดเยี่ยม เป็นได้ทั้งมวยบ็อกเซอร์และไฟเตอร์ จนได้รับการกล่าวขานถึงในฐานะนักมวยอัจฉริยะ
มาร์วิน แฮกเลอร์ ที่สื่อบ้านเราให้ฉายาว่า “โล้นทมิฬ” ตามจุดเด่นที่ศรีษะโล้นเลี่ยน แต่ฉายาที่แฟนมวยทั่วโลกรู้จักเขาคือ “มาร์เวลัส” หรือ “นักชกมหัศจรรย์” เนื่องจากเป็นนักชกพันธุ์ดุประเภทขวาตายซ้ายสลบตัวจริง คือการ์ดและต่อยได้ดีทั้งซ้ายและขวา คู่แข่งจึงรับมือได้ยาก อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล เดินหน้าทะเลาะไม่เลิกตั้งแต่ยกแรกจนได้ยินเสียงระฆังหมดยกสุดท้าย
โทมัส เฮิร์นส์ เจ้าของฉายา “เดอะ ฮิตแมน” ทำนองเพชรฆาตมือปืนกล เพราะช่วงชกยาวได้เปรียบคนอื่นๆ การแย็บซ้ายและเหวี่ยงหมัดขวาทำได้อย่างรวดเร็วและหนักหน่วง จนชนะน็อกคู่ชกมานักต่อนัก ประกอบกับเป็นคนที่มีพื้นฐานการชกมวยสากลสมัครเล่นมาก่อน เบสิกการชกและฟุตเวิร์กของเขาจึงจัดอยู่ในระดับยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบใน 4 คน สถิติการชกของเฮิร์นส์อาจดูเป็นรองคนอื่นเล็กน้อย แต่หากวัดจากสไตล์การชก เฮิร์นส์น่าจะมีลีลาการชกที่สนุกเร้าใจที่สุด
โรเบร์โต ดูรัน เป็นนักมวยจตุรเทพยุค 80 คนเดียวที่มีเชื้อสายปานามา เป็นนักมวยพันธุ์ดุนอกจากจะมีความโดดเด่นเรื่องสปีดหมัดที่รวดเร็ว และพลังหมัดอันหนักหน่วงจนได้รับฉายาว่า “หมัดหินผา” แล้ว เรื่องของความทนทายาทต้องยกให้คนนี้เลย หาก โทมัส เฮิร์นส์ มีจุดอ่อนเรื่องคางเปราะ ดูรันน่าจะได้รับฉายาว่าคางหิน เพราะอึดเหลือเกิน เขาเป็นนักมวยคนแรกที่สอนให้เลียวนาร์ดรู้จักความพ่ายแพ้ในการชกอาชีพ
1
เมื่อเร็วๆ นี้ 1 ใน 4 ราชันจ้าวสังเวียนได้อำลาโลกนี้ไปหนึ่งคน เขาคือ “มาร์เวลัส” มาร์วิน แฮกเลอร์ ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นนักมวยรุ่นมิดเดิลเวตที่เก่งที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในประวัติศาสตร์ ที่เพิ่งเสียชีวิตอย่างสงบด้วยวัย 66 ปี ซึ่งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดถึงการจากไปของเขามากนัก มีเพียงคำบอกเล่าของ โทมัส เฮิร์นส์ อดีตคู่ต่อสู้ที่กลายเป็นเพื่อนกันหลังแขวนนวม ที่ตั้งข้อสันนิษฐานว่าการเสียชีวิตของแฮกเลอร์อาจเป็นผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ แอสตราเซเนกา ก่อนที่เคย์ภรรยาของเขาจะออกมาปฏิเสธในเวลาต่อมาว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน
1
เส้นทางสู่แชมป์โลกของแฮกเลอร์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แฮกเลอร์เกิดปี 1954 และเริ่มต้นเป็นนักมวยสากลสมัครเล่นขณะอายุเพียง 15 ปี หลังจากมีเรื่องกับนักมวยแถวบ้าน เลยอยากเป็นนักมวยเพื่อที่จะได้ไม่ถูกใครรังแก หลังจากเริ่มเป็นมวยแล้ว แฮกเลอร์จำเป็นต้องโกหกอายุตัวเองว่าเกิดปี 1952 เพื่อให้สามารถขึ้นชกได้ สถิติการชกสมัครเล่นของแฮกเลอร์น่าประทับใจไม่น้อย ชนะ 55 ครั้งแพ้เพียงครั้งเดียว หลังจากคว้าแชมป์แห่งชาติสหรัฐฯ ได้สมความตั้งใจแล้ว เขาจึงหันเหมาชกอาชีพอย่างจริงจังขณะอายุ 19 ปี
2
ด้วยความเก่งกาจของแฮกเลอร์ทำให้หาคู่ชกยาก ในช่วงการชกไต่เต้าทำอันดับขึ้นไปชิงแชมป์โลก แฮกเลอร์จึงต้องลงทุนตระเวนไปชกถึงถิ่นของคู่ชกเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นแม้จะเอาชนะคู่ต่อสู้ชั้นดีมากมายหลายคน แต่กว่าเจ้าหนุ่มแฮกเลอร์จะมีโอกาสได้ขึ้นชิงตำแหน่งแชมป์โลกต้องใช้เวลานาน จนวันหนึ่ง บ็อบ อารัม ยอดโปรโมเตอร์ได้รับจดหมายจากนักการเมืองจากรัฐแมสซาชูเซตส์ 2 คนส่งมาให้ พร้อมกับตั้งคำถามเชิงขู่กลายๆ ว่า ทำไมแฮกเลอร์เด็กหนุ่มจากท้องถิ่นของตนไม่ได้รับโอกาสพิสูจน์ตนเองขึ้นชกชิงแชมป์โลกเสียที หากยังเพิกเฉยรับรองว่าอาจจะมีการขุดคุ้ยเรื่องสีเทาในแวดวงการมวยให้โลกได้รับรู้
ได้ผลครับ อารัมไม่อยากมีปัญหากับใครอยู่แล้ว เลยรีบติดต่อไปยังทีมงานของแฮกเลอร์ พร้อมกับบอกว่าหากแฮกเลอร์ชนะมวยที่ตนจัด ต่อไปรับรองว่าจะต้องได้ขึ้นชิงแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวต แฮกเลอร์ทำสำเร็จ อีกไม่นานอารัมก็จัดให้แฮกเลอร์มีโอกาสขึ้นชิงแชมป์โลกจากเจ้าของตำแหน่งแชมป์ วีโต อันตูโอเฟร์โม ในเดือนพฤศจิกายนปี 1979 แฮกเลอร์ทำคะแนนนำอย่างเห็นได้ชัดในช่วงยกต้นๆ แต่เขาพลาดตรงเริ่มชกรัดกุมขึ้นในยกหลังๆ จนเปิดโอกาสให้เจ้าของตำแหน่งแชมป์ทำคะแนนตีตื้น ครบยกกรรมการตัดสินให้ทั้งคู่เสมอกัน ทำให้แฮกเลอร์ต้องรอคอยตำแห่งแชมป์ต่อไป
หลังจากรอคอยมานานถึง 7 ปีเต็ม ปีถัดมา แฮกเลอร์กลายเป็นแชมป์โลกสมใจ คู่ชกของเขาไม่ใช่ วีโต อันตูโอเฟร์โม แต่เป็น อลัน มินเตอร์ เจ้าของตำแหน่งแชมป์คนใหม่ชาวอังกฤษ ซึ่งขึ้นชกป้องกันแชมป์กับแฮกเลอร์ในสนามเวมบลีย์ บรรยากาศก่อนชกค่อนข้างตึงเครียด เพราะนักชกผิวขาวเจ้าถิ่นกล่าวปรามาสแฮกเลอร์ในเชิงเหยียดสีผิว การชกของทั้งคู่ผ่านไปได้ไม่ถึง 3 ยก กรรมการก็สั่งยุติการชก เพราะมินเตอร์ถูกแฮกเลอร์ต่อยจนหน้าแตก 4 จุด ชนิดห้ามเลือดยังไงก็เอาไม่อยู่ การชกที่จบลงเร็วเกินคาดทำให้แฟนมวยในสนามไม่พอใจพากันขว้างปากระป๋อง เก้าอี้ ขึ้นไปบนเวที กลายเป็นจลาจลชนิดที่แฮกเลอร์ถูกรีบพาตัวออกไป จึงไม่ได้ฉลองการคว้าแชมป์โลกสมัยแรกอย่างที่ควรจะเป็น
1
หลังจากคว้าแชมป์โลก แฮกเลอร์พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นนักมวยรุ่นมิดเดิลเวตที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งที่โลกเคยมีมา ด้วยการป้องกันแชมป์สำเร็จ 12 ไฟต์รวด เป็นการชนะแบบไม่ครบยกถึง 11 ไฟต์ ในจำนวนนั้นเป็นการชกป้องกันแชมป์กับ 2 ใน 4 ราชันจ้าวสังเวียน คนแรกคือ โรเบร์โต ดูรัน แชมป์รุ่นไลต์มิดเดิลเวตจากปานามา ซึ่งเป็นผู้ท้าชิงคนแรกที่ปักหลักซดกำปั้นกับแฮกเลอร์ได้อย่างสนุกเร้าใจจนครบ 15 ยก ก่อนที่แฮกเลอร์ซึ่งอึดกว่าจะทำแต้มแซงชนะคะแนนแบบสูสีในช่วง 2 ยกสุดท้าย
อีกคนหนึ่งคือ โทมัส เฮิร์นส์ ทั้งคู่ชกกันในปี 1985 เป็นคู่มวยไฟต์หยุดโลกอีกไฟต์หนึ่ง มีการตระเวนโปรโมตการชกทั่วสหรัฐฯ ทั้งคู่ชกกันได้ดุเดือดคุ้มค่าการรอคอย ปักหลักแลกหมัดกันตั้งแต่ยกแรก เฮิร์นส์ปล่อยหมัดขวาตรงเข้าปลายคางแฮกเลอร์อย่างจัง แม้จะสะดุดไป แต่ยังพยายามเดินหน้าต่อจนหมดยก ยกที่ 2 แฮกเลอร์มีแผลแตกจากศอกหรือศีรษะชนกันแบบไม่ตั้งใจ ยกนี้เฮิร์นส์เริ่มวนชกวงนอกบ้าง และดูเหมือนขาเริ่มอ่อน แล้วยกที่ 3 ก็เป็นอวสานของเฮิร์นส์ หลังจากกรรมการดูแผลของแฮกเลอร์แล้วให้ชกต่อได้ แฮกเลอร์เดินหน้าสาวหมัดใส่จนเฮิร์นส์เซหลังพิงเชือก ก่อนปราดเข้าไปซ้ำส่งเฮิร์นส์ลงไปนอนบนผืนผ้าใบ
1
ปี 1987 แฮกเลอร์ได้ชกกับ 1 ใน 4 ราชันจ้าวสังเวียนคนสุดท้าย คือ ซูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด ซึ่งก่อนหน้านั้นหยุดชกนานถึง 3 ปี และประกาศว่าจะกลับมาชกอีกครั้งต่อเมื่อได้ชกกับแฮกเลอร์เท่านั้น หลังจากเห็นว่าในการชกป้องกันแชมป์ไฟต์สุดท้ายที่แฮกเลอร์ชนะน็อก จอห์น มูกาบี อดีตเจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกในยกที่ 11 นั้น สปีดหมัดของแฮกเลอร์เริ่มช้าลงตามวัย และมีปัญหากับนักมวยที่มีฟุตเวิร์กว่องไว ตามสไตล์คนที่มีพื้นฐานมวยสากลสมัครเล่นแบบเดียวกับตน เลียวนาร์ดเสนอยอมรับค่าตัวน้อยกว่า แต่มีข้อแม้ขอชกบนสังเวียนที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย และชกกันแบบ 12 ยก แทนที่จะชกแบบ 15 ยกตามที่แฮกเลอร์ชอบ
2
แม้เส้นทางของทั้งคู่แตกต่างกันมาก เลียวนาร์ดเป็นมวยที่ทุกคนรู้จักดี ตั้งแต่เริ่มเส้นทางนักชกอาชีพ เพราะเป็นแชมป์โอลิมปิกมาก่อน ส่วนแฮกเลอร์ไต่เต้ามาจากข้างถนน ชกอาชีพครั้งแรกได้ค่าตัวเพียง 50 ดอลลาร์ ขณะที่เลียวนาร์ดชกอาชีพครั้งแรกก็ได้ค่าตัวถึง 40,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้โคจรมาพบกัน ช่วง 2 ยกแรก แฮกเลอร์ซึ่งปกติถนัดซ้ายและการ์ดขวาออก เปลี่ยนมาการ์ดซ้ายออก และถูกเลียวนาร์ดใช้ลีลาดักต่อยแล้ววนหนี ทำคะแนนนำไปก่อน แต่ยกที่ 3 แฮกเลอร์เปลี่ยนกลับมาการ์ดขวาออกตามปกติ และเริ่มทำคะแนนได้ดีขึ้น ทั้งคู่ชกกันได้สูสีคู่คี่ โดยแฮกเลอร์เป็นฝ่ายเดินหน้าชวนทะเลาะ ขณะที่เลียวนาร์ดต่อยแล้ววนหนี พร้อมรัวหมัดชุดช่วงปลายยกให้เข้าตากรรมการ
ยกสุดท้าย เลียวนาร์ดเริ่มขาอ่อน โดยเฉพาะช่วงปลายยกต้องชกแบบหลังพิงเชือก แต่แฮกเลอร์ก็ไม่สามารถปล่อยหมัดเด็ดเพื่อน็อกเลียวนาร์ดลงได้ หลังการชก 12 ยกจบลง แฟนมวยต่างลุ้นระทึกว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะเป็นไฟต์ที่ดูยากเหลือเกินว่าใครเหนือใคร กรรมการคนหนึ่งให้แฮกเลอร์ชนะ 115–113 อีกคนหนึ่งให้เลียวนาร์ดชนะ 115-113 มีผู้ตัดสิน โจโจ เกอร์รา คนเดียวที่ให้เลียวนาร์ดชนะแบบน่าเกลียด 118-110 เลียวนาร์ดจึงเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ แต่เป็นผลการชกที่น่ากังขาและค้านสายตาที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะสื่อมวลชนข้างสังเวียนให้แฮกเลอร์ชนะแบบสูสีมากกว่าให้เลียวนาร์ดชนะ
แฮกเลอร์ผิดหวังมาก เพราะเขามั่นใจว่าตนเองคือผู้ชนะและขอชกแก้มือ แต่เลียวนาร์ดปฏิเสธและเลือกที่จะแขวนนวมอีกครั้ง หลังจากการชกไฟต์หยุดโลกครั้งนั้นผ่านไป 14 เดือน ในที่สุดแฮกเลอร์ก็ประกาศแขวนนวมอย่างเป็นทางการ เขาสนุกกับการย้ายไปใช้ชีวิตในฐานะนักแสดงภาพยนตร์แนวแอ็กชันในประเทศอิตาลี และปฏิเสธที่จะกลับมาชกแก้มือกับเลียวนาร์ดในปี 1990 โดยยอมรับว่าช่วงหนึ่งอยากชกแก้มือมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป จึงคิดได้ว่ามันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพิสูจน์ความเป็นหนึ่งของตนเองบนสังเวียนอีกแล้ว แฮกเลอร์มีสถิติการชก ชนะ 62 ไฟต์ เป็นการชนะแบบไม่ครบยก 52 ไฟต์ แพ้ 3 ไฟต์ เสมอ 2 ไฟต์ ไม่เคยถูกน็อกแม้แต่ไฟต์เดียว
1
สิ่งที่แฮกเลอร์ไม่เหมือนกับราชันจ้าวสังเวียนอีก 3 คนที่เหลือ คือหลังจากแขวนนวมแล้ว เขาไม่เคยเปลี่ยนใจหวนกลับมาชกอีกแม้แต่ไฟต์เดียว แฟนมวยทั่วโลกซึ่งเกิดทันเห็นความเก่งกาจของจตุรเทพบนสังเวียน จึงยังคงจดจำภาพแฮกเลอร์ในช่วงที่ยังสุดยอดได้เสมอ ลีลาการชกของเขาอาจไม่พลิ้วเหมือนเลียวนาร์ด ไม่มีสปีดหมัดที่รวดเร็วแบบดูรัน ไม่มีพลังหมัดขวาที่ทรงพลังเหมือนเฮิร์นส์ แต่แฮกเลอร์คือยอดนักสู้บนสังเวียนตัวจริง ที่ไม่เคยถอยหลังให้กับคู่ชกหน้าไหนทั้งสิ้น และยังเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องการใช้ชีวิต
2
หลังแขวนนวม แฮกเลอร์เปลี่ยนชื่อเป็น มาร์เวลัส มาร์วิน แฮกเลอร์ เพื่อให้ทุกคนจดจำตัวตนของเขาได้ แต่เชื่อเถอะครับว่าสำหรับแฟนมวยทั่วโลกที่โชคดีเกิดมาทันยุคทองของวงการมวย ไม่ว่าเขาจะมีชื่อเรียงเสียงไร แต่ทุกคนจะยังคงจดจำแฮกเลอร์ในฐานะสุดยอดมวยรุ่นกลางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่โลกเคยมีมา!
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลค์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
#มาร์วินแฮกเลอ #มวย #โทมัสเฮิร์นส์ #วีโตอันตูโอเฟร์โม #boxing #boxinggame #มวยสากล #PlayNowThailand #KhelNowThailand
โฆษณา