29 มี.ค. 2021 เวลา 03:50 • ธุรกิจ
เรียนรู้ ความสำเร็จและความล้มเหลว ของการเป็นผู้นำ ผ่านจอมทัพ "นโปเลียน โบนาปาร์ต"
แทบจะทุกครั้ง ที่มีการพูดถึงประวัติศาสตร์ ของประเทศฝรั่งเศส
จะต้องมีการกล่าวถึง จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 หรือ นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)
1
นโปเลียน เป็นชายร่างเล็ก อ้วนท้วม ที่เรามักจะเห็นภาพของเขาขณะกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว
พร้อมกับภาพพื้นหลังที่อยู่ในสมรภูมิ อยู่เสมอ ๆ
รู้ไหมว่า นโปเลียนผู้นี้ ได้ถูกขนานนามตามการบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็น “จอมทัพนักรบปฏิวัติ ที่เก่งฉกาจที่สุดในยุโรป” และยังเป็นผู้เริ่มต้นราชวงศ์โบนาปาร์ต อันแสนยิ่งใหญ่
นโปเลียน โบนาปาร์ต เป็นบุรุษที่มีสัญชาติฝรั่งเศส แต่มีเชื้อชาติอิตาลี
เกิดที่เมืองอาฌัคซิโอหรืออายาชโช เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1769
ซึ่งตัวเขาไม่ได้เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ตั้งแต่แรก เพียงแต่โชคดีที่เกิดในตระกูลผู้ดี เท่านั้น
เขาผู้นี้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเขาไม่ได้เป็นฝันที่จะเป็นเพียงแค่ผู้นำประเทศฝรั่งเศสเท่านั้น
แต่นโปเลียน ยังฝันถึงการรวบรวมชนชาติและเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายในยุโรป ให้เป็นหนึ่งเดียว
ชายผู้นี้เติบโตมาด้วยความเชี่ยวชาญในการรบ
และด้วยการที่เขา สามารถนำทัพคว้าชัยชนะได้ในหลายสมรภูมิ
ทำให้มีประชาชนให้ความนิยมชมชอบในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
เขาจึงได้มีโอกาส ได้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด จุดหนึ่งในชีวิต
นั่นคือ การสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ในพระนามว่า “จักรพรรดินโปเลียนที่ 1”
 
ในบทความนี้ THE BRIEFCASE ขอพาทุกท่าน ไปเรียนรู้เกี่ยวกับ “ความสำเร็จ และ ความล้มเหลว” ของการเป็นผู้นำ ผ่านเหตุการณ์ชัยชนะและความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ผู้นี้กัน..
1
ชัยชนะครั้งสำคัญ ที่ทำให้ นโปเลียน ถูกขนานนามว่าเป็น จอมทัพที่แข็งแกร่งที่สุด
คือชัยชนะ ในยุทธการเอาสเทอร์ลิทซ์ (The Battle of Austerlitz) หรือ ยุทธการสามจักรพรรดิ
ซึ่งจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ต้องนำทัพเพื่อสู้รบกับ กองทัพ 2 ชาติใหญ่ อย่าง รัสเซีย และ ออสเตรีย
แล้วเราสามารถเรียนรู้ ความสำเร็จของการเป็นผู้นำของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 จากชัยชนะครั้งนี้ อย่างไร ?
ประการแรก คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตร
นโปเลียน รู้ดีว่า ในการทำศึกครั้งนี้ เขาไม่อาจชนะได้เพียงลำพัง
และเขาต้องมีพันธมิตรที่เป็นคนท้องถิ่น ที่สามารถทำให้เขาเข้าใจจุดได้เปรียบของชัยภูมินี้
1
ประการที่สอง คือ การวิเคราะห์หา จุดแข็ง-จุดอ่อน ของกองทัพฝรั่งเศส
นโปเลียนรู้ดีว่า ฝ่ายตรงข้ามมีกองกำลังพลที่มีขนาดมากกว่าเกือบ 2 เท่า
แต่เขาได้ทำการวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วว่า จุดได้เปรียบ เสียเปรียบของกองทัพฝรั่งเศส คืออะไร และจะชิงชัยชนะได้อย่างไร
เปรียบเสมือนกับการที่ผู้นำ รู้ว่าจุดไหนคือจุดแข็ง และจุดไหนที่เป็นจุดด้อย ที่ต้องรีบปิดรูรั่วนั้นให้ได้
ประการที่สาม การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ได้อย่างรวดเร็ว
นโปเลียน มีการตอบสนองที่รวดเร็ว ต่อการที่เขาต้องเปลี่ยนแปลงแผนการ ให้เหมาะสมกับความได้-เสียเปรียบ ระหว่างการทำสงคราม
ก็คงจะเปรียบได้กับ คอนเซปต์การบริหารแบบ “Resilience” หรือความสามารถในการล้มและลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในยุคสมัยปัจจุบัน
จากชัยชนะของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ในศึกครั้งนี้ ส่งผลให้อภิมหาอำนาจของโลกในตอนนั้น อย่าง “จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)” ต้องล่มสลายไป อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในประวัติศาสตร์ของโลกที่ผ่านมา ไม่เคยปรากฎผู้ชนะ ที่ได้รับชัยชนะไปตลอดอายุขัย
พวกเขาเหล่านั้น จะต้องพบกับความพ่ายแพ้อยู่เป็นบางครั้งบางคราว
ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีบาดแผลที่ลึกและรักษาตัวได้เร็วมากกว่ากัน
เช่นเดียวกันกับ กรณีของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่ต้องพบกับจุดตกต่ำที่สุด จนไปถึงบั้นปลายชีวิต
ใน “ยุทธการวอเตอร์ลู (The Battle of Waterloo)”
ยุทธการวอเตอร์ลู คือ สงครามระหว่าง ฝรั่งเศสที่นำโดย จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 กับ กลุ่มสัมพันธมิตร อังกฤษ-ปรัสเซีย ที่นำโดย ดยุคแห่งเวลลิงตัน
ซึ่งในการศึกครั้งนี้ นโปเลียน ไม่ได้มีการใช้ยุทธวิธีการรบที่เหมือนกับในศึกครั้งก่อน
แล้วการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ให้ข้อคิดอะไรกับเราได้บ้าง ?
1
ข้อที่ 1 การบริหาร ในเรื่องของการสื่อสาร
ต้องบอกว่าสาเหตุสำคัญของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ มีต้นกำเนิดมาจากการที่ จักรพรรดินโปเลียนที่ 1
มีความคิดที่หุนหันพลันแล่นมากเกินไป และเปลี่ยนแผนอยู่แทบจะตลอดเวลา
จริง ๆ แล้วการยืดหยุ่นแผนการไปตามสถานการณ์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่เราก็ต้องควบคุมให้เหมาะสม ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งจนเกินไป
อย่างเช่นจากกรณีเหตุการณ์นี้ นโปเลียนมีการเปลี่ยนแปลงแผนการรบถี่จนเกินไป จนทำให้นายทหารที่มีกำลังรบเก่งฉกาจอย่าง “นายพลมีแชล” ต้องสื่อสารกับทหารกองทัพลำบากขึ้น
ผลที่เกิดคือ ทหารของกองทัพเกิดความเข้าใจในการรบที่คลาดเคลื่อนกัน ซึ่งส่งผลทำให้กองทัพนโปเลียนเสียกำลังพลทหารไปจำนวนมาก
ดังนั้นการตัดสินใจที่เด็ดขาด มีจุดโฟกัสที่ชัดเจน และมีความสามารถในการสื่อสารที่ดี ก็คือสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ที่เราเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์ในครั้งนี้
ข้อที่ 2 การมั่นใจในความสำเร็จในอดีตมากไป ประมาทคู่แข่ง และไม่รอบคอบในการประเมินสถานการณ์รอบตัว
ชื่อเสียงของนโปเลียนในเรื่องของการรบ คงไม่มีใครกล้าทัดทาน
แต่นั่นจึงทำให้เกิดปัญหาที่สำคัญตามมา คือ การที่นโปเลียนมีความมั่นใจในวิถีการทำสงครามของตัวเองมากจนเกินไป..
กองทัพของฝรั่งเศสของนโปเลียน ขึ้นชื่อเรื่องการรบด้วยปืนใหญ่
แต่ปืนใหญ่จะใช้งานได้ไม่ดีในสภาพอากาศและภูมิประเทศอย่างเช่น ฝนตก และมีน้ำโคลนเยอะ
1
จากเหตุการณ์นี้ นโปเลียนยังคงมั่นใจว่า แม้สภาพอากาศจะไม่เป็นใจ แต่ความเก่งฉกาจของปืนใหญ่ฝรั่งเศสก็ไม่เป็นรองใคร
อีกทั้งเขายังประมาทฝีมือของกำลังทหารของอังกฤษ ที่มีจำนวนน้อยกว่าเกือบครึ่ง
นโปเลียนเลือกฝืนที่จะใช้ยุทธการรบแบบปืนใหญ่ที่กองทัพของเขาถนัด ในสภาพอากาศที่ย่ำแย่
ซึ่งผลคือ ปืนใหญ่ที่ใช้ในสมรภูมินี้ เสียหายไปเกือบครึ่งกองทัพ
จากเรื่องนี้ ให้ข้อคิดได้ว่า หากเราเป็นผู้นำที่มั่นใจในความสามารถตัวเองมากจนเกินไป และขาดการประเมินสถานการณ์ ทั้งภายในองค์กรและคู่แข่งภายนอก จากที่เคยได้เปรียบ อาจกลายเป็นเสียเปรียบได้เหมือนกัน
1
ข้อที่ 3 การบริหารคนที่ผิดพลาด เลือกใช้คนที่มีความถนัดไม่ตรงกับงาน
ต้องบอกว่า นโปเลียน มีแม่ทัพใต้บัญชาการที่เก่งและมีความสามารถหลากหลายอยู่มากมาย
แต่จากเหตุการณ์นี้ นโปเลียนกลับเลือกใช้ “นายพลกรูชี” แม่ทัพที่ยังมีประสบการณ์การรบน้อย เข้ามาทำหน้าที่สำคัญในการโจมตีกองทัพปรัสเซีย
และเลือกใช้นายทหารที่ความเก่งกาจในการป้องกันเชิงรับ อย่าง “นายพลดาวู” ให้ไปทำการโจมตีเชิงรุก
เรื่องนี้ สะท้อนให้เห็นง่าย ๆ ว่า ผู้นำ จำเป็นต้องทราบดีว่าลูกทีมแต่ละคนของตัวเอง มีความถนัดในเรื่องใด จะได้เลือกใช้คนให้เหมาะสมกับงานที่ทำ
ปิดท้ายกันด้วย บทสรุปของยุทธการวอเตอร์ลู
ศึกครั้งนี้ จบลงด้วยการการพ่ายแพ้ของกองทัพฝรั่งเศส
เรื่องราวนี้ ก็ได้พาเรื่องราวของบุรุษผู้ที่มีฝีมือในการรบเก่งกาจที่สุดในยุโรปในยุคนั้น จบลงตามไปด้วยเช่นกัน
โดยหลังจากสงคราม นโปเลียน ได้ถูกเนรเทศไปยังเกาะเฮเลนา
และจบชีวิตลงที่นั่น..
โฆษณา