27 มี.ค. 2021 เวลา 04:55 • ดนตรี เพลง
ศิลปะคืออะไร?
การจะบอกว่าอะไรเป็นศิลปะไม่เป็นศิลปะ ดูจะเป็นเรื่องที่ต้องมาถกเถียงกันอย่างมาก อย่างน้อยก็แถว ๆ นี้ เพราะเอาเข้าจริงแล้วคำถามที่ว่าศิลปะคืออะไรนั้นเป็นคำถามที่ถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 แล้ว และทำให้ศิลปินระดับโลกหลายคนเลิกที่จะทำงานศิลปะไปเลยเสียด้วยซ้ำ
เรารู้ว่าศิลปะอยู่คู่กับมนุษยชาติมานานมาก ๆ เราอยู่กับศิลปะกันตั้งแต่ยังไม่ใช่มนุษย์เสียด้วยซ้ำ เอ่อ ถ้ามนุษย์เผ่าปัจจุบันมันคือโฮโมเซเปียนส์ เราก็เจอผลงานศิลปะจากญาติของเราที่ชื่อโฮโมอิเล็กตัส และนั่นน่ะห้าแสนปีที่แล้ว ศิลปะมันเก่าขนาดนั้น
แต่จะบอกว่านั่นเป็นงานศิลปะหรือไม่ หรือไอ้คนวาดมันคิดว่ามันกำลังรังสรรค์งานศิลปะอยู่หรือเปล่า? ก็ตอบไม่ได้ เพราะมันเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ ก่อนประวัติศาสตร์คือยังไม่มีภาษา เมื่อไม่มีภาษาเราจึงไม่รู้แน่ชัดถึงความเป็นไปของมัน แต่ก็พอจะบอกได้ว่าเขาวาดกันเพื่อใช้ประโยชน์อะไรบางอย่าง เช่นบูชาผี หรือล่าสัตว์อะไร ล่ายังไง อะไรแบบนั้น ที่แน่ ๆ คนที่วาดไม่ได้ทำอาชีพศิลปินแน่นอน คงไม่มีใครในเผ่าที่เอาแต่วาดรูปบนกำแพงแล้วเพื่อนจะแบ่งเนื้อช้างให้กิน ผลงานศิลปะในอดีตจึงไม่ได้เกิดจากศิลปิน แต่เกิดจากคนธรรมดา พูดง่าย ๆ คือไม่ใช่อาชีพ
แล้วศิลปะก็ไม่เคยเป็นอาชีพเรื่อยมา ผู้สร้างงานศิลปะก็มักจะเป็นอาชีพอื่น เช่นเป็นโหร เป็นพระ เป็นนักปราชญ์ ศิลปะกลายมาเป็นอาชีพเมื่อสังคมมนุษย์มันซับซ้อนขึ้น เมื่อคน ๆ เดียวไม่ได้มีหน้าที่ทำทุกอย่างในชีวิตอีกต่อไป เช่น ตาสีเป็นชาวนา ปลูกข้าว แต่ตาสีไม่ได้กินพืชไปจนตาย ตาสียังกินเนื้อได้เพราะมีตาสา ตาสาเป็นนายพราน ล่าสัตว์ ตาสีกินเนื้อที่ตาสาล่ามาได้ ในขณะเดียวกันตาสาก็กินข้าวจากตาสี ไม่ได้กินแต่เนื้อเหมือนกัน เกิดการแลกเปลี่ยนกัน ซับซ้อนขึ้นมาจึงต้องใช้เงินเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน เงินมีอิทธิพลกับไพร่ทาสมากขึ้นทีละน้อย ๆ ทำให้คนในสังคมบางคนมีข้าวกินโดยที่ไม่ต้องปลูกข้าวเอง แต่ไปทำอะไรที่ตัวเองต้องทำแลกกับเงินมาซื้อข้าวกิน
ศิลปินเกิดจากตรงนั้นแม้จะไม่ใช่อาชีพที่แพร่หลาย ลองนึกถึงยุคกลางที่คงไม่มีใครเป็นศิลปินนั่งกระดิกเท้าอยู่บ้าน แล้วตาสานายพรานของเราไปจ้างให้มาวาดรูปติดฝาบ้านหน่อยดิ มันไม่มี มันไม่ฟังก์ชันกับสังคม ศิลปินต้องอยู่ในวัง อยู่ในวัด เป็นช่างศิลป์ เพราะวัดกับวังเป็นสองอำนาจใหญ่ที่เงินมีความหมายมากกว่าบ้านนา วัดกับวังจะมาหลังคามุงจากไม่ได้ มันต้องเท่ ต้องมีอะไรสวย ๆ เฟี้ยว ๆ นั่นเป็นหน้าที่ของช่างศิลป์ หรือแม้แต่ดนตรีเองก็ตามที่ไม่สามารถเล่นเพลงปกติได้ ต้องพัฒนาให้ซับซ้อน ทฤษฎีดนตรีที่แข็งแกร่งจึงเกิดมาจากวัดกับวังเช่นกัน สรุปแล้วศิลปะที่ดีในตอนนั้นคือศิลปะที่เจ้านายชอบ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพลงที่ได้รับกการจดบันทึกในช่วงยุคกลางถึงเป็นเพลงสวด หรือทำไมรูปวาดเจ้าขุนมูลนายมันถึงเยอะ
ดังนั้นแล้ว ฟังดี ๆ นะ "ตรรกะที่ศิลปะที่ดีจะต้องสวยสดงดงามนั้นจึงเป็นกรอบคิดของระบอบศักดินา" เพราะหน้าที่ของมันมีแค่รับใช้พระเจ้า และรับใช้เจ้านาย ลืมพวกดนตรีชาวบ้านไปได้เลย
ศิลปะมามีอิทธิพลต่อไพร่ฟ้าก็ตอนหลัง ๆ นี่แหละ โดยเฉพาะการปฏิวัติอุตสาหกรรม สิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญมาก ๆ ในตอนนั้นคือเครื่องพิมพ์ นึกถึงปรินเตอร์อะครับ การทำหนังสือขึ้นมาสักเล่มนึงนั้นยากลำบากมาก ๆ เพราะต้องคัดลอกด้วยมือ ความรู้จึงมีราคาแพง แต่เมื่อมันสามารถสำเนาได้ครั้งละมาก ๆ ความรู้ก็ถูกลง เมื่อถูกลงชาวบ้านก็เข้าถึงได้ คนเริ่มอ่านออกเขียนได้มากขึ้นจึงทำให้ความรู้ที่เคยอยู่แต่กับชนชั้นสูง กลายเป็นคนธรรมดาก็รู้ได้ นี่ไม่ใช่แค่ศิลปะ วิทยาศาสตร์เองก็เช่นกัน เมื่อความรู้ถูกกระจายออก ศิลปะจึงไม่จำเป็นต้องเป็นของเจ้าหรือของวัดเสมอไป ศิลปะจึงเริ่มพูดถึงสังคมมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปวาดรูปเจ้านายสวย ๆ เสมอไปนี่ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าศิลปะนั้นมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ศิลปินมีวิธีการออกแบบงานแบบเฉพาะตัวมากขึ้น มีคอนเซ็ปต์ในการสร้างงานเป็นของตัวเอง
แน่นอนว่างานบางประเภทนั้นก็ต้องถูกตั้งคำถาม หรือด่าทอ อิมเพรสชันนิสม์ (Impressionism) เป็นเจ้าแรก ๆ ที่โดนด่า เพราะศิลปะนั้นพัฒนาเทคนิคมาสูงมากจนกระทั่งวาดคนเป็นคน วาดนกเป็นนกวาดไม้เป็นไม้ (Realism) ใช้เวลาวาดกันนาน ๆ ภาพใหญ่ ๆ โต ๆ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีคนที่วาดรูปลวก ๆ ไม่กี่ชั่วโมงก็เสร็จ ภาพก็เบลอ เอาออกมาจัดแสดง คนก็ด่าสิ นี่บ้ารึเปล่า เจ้าของผลงานอธิบายว่า "เอ่อ ผมไม่ได้พยามจะวาดสิ่งที่ผมเห็นอะครับ ผมวาดเวลาตรงนั้นอะครับ ผมประทับใจ" โห อะไรวะเนี่ย เลยโดนด่าว่าไอ้พวกประทับใจ แต่โคลด โมเนต์เจ้าของงานบอก เห้ยเฟี้ย ชื่อดี เลยเรียกงานประเภทนี้ว่างานประทับใจ กลายเป็นลัทธิประทับใจหรืออิมเพรสชันนิสม์เรื่อยมา จะว่าศิลปะประเภทนี้เป็นเจ้าแรก ๆ ที่ท้าทายความหมายเดิมของศิลปะก็ได้ เพราะศิลปะหลังจากนั้นในหลายครั้งกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างความงามตามขนบเดิม กับการค้นหาความงดงามแบบใหม่ และท้าทายกันแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ศิลปะแบบดาดา (Dadaism) เป็นศิลปะที่สร้างความกำหมัดให้ศิลปะขนบเดิมแบบแสบที่สุด เช่นการเอารูปโมนาลิซ่า (รูปสำเนา) มาเติมหนวด อะ เสร็จละ ผลงานศิลปะ ดูเผิน ๆ เหมือนจะไร้สาระ แต่จริง ๆ แล้วมันคือการท้าทาย
ความซับซ้อนและหลากหลายของศิลปะทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า "อ้าวแล้วอะไรกันแน่วะคือศิลปะ" และคนที่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาให้เห็นชัด ๆ คือมาร์เซล ดูชอมป์ (Marcell Duchamp) ผู้นำลัทธิดาดากับโถเยี่ยวอันเลื่องชื่อของเขานั่นเอง โดยผลงานชิ้นนี้ (The Fountain) ถูกส่งเข้าประกวดโดยใช้ชื่อปลอมของเจ้าของงาน และแน่นอนว่าโดนปัดตกไปแบบไม่ใยดี ก็มันสวยตรงไหน แถมเจ้าของงานไม่ได้ทำอะไรกับมันเสียด้วยซ้ำแค่ลงชื่อไว้เฉย ๆ เอง เมื่อเจ้าของผลงานประกาศตัวว่านั่นอะชื่อปลอม งานของชั้นเองยังไงล่ะ คราวนี้เดือดร้อนกันไปหมดเพราะไอ้โถนี่มันดันเป็นผลงานของศิลปินระดับโลก เอหรือมันจะมีความหมายนัยอะไรซ่อนอยู่ เอหรือว่ามันจะมีความสวยงามอะไรที่ปุถุชนอย่างเรามองไม่เห็นนะ ซึ่งมันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ หนึ่งในประเด็นที่ดูชอมป์ยกมันขึ้นมาจากงานนี้คือ "สุดท้ายแล้วศิลปะคืออะไร?"
ท้ายที่สุดแล้วเรายอมรับว่าโถเยี่ยวนี่เป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งและถูกนำมาจัดแสดงจริง จบการเถียงกันได้แล้ว ศิลปะจะเป็นอะไรสะท้อนอะไร ตื้นเขินหรือลึกซึ้ง สวยไม่สวย ช่างเอ็ง ศิลปะต้องการแค่สามอย่างเท่านั้น หนึ่งคือตัวงาน สองคือสถานที่จัดแสดง และสามคือเจ้าของผลงาน แค่นั้นจริง ๆ ไม่มีอะไรทั้งนั้น ไร้สาระ ว่าแล้วดูชอมป์ก็ไปสร้างศิลปะแบบใหม่คือแอนตีอาร์ท (Anti-Art) งงมั้ย ศิลปะเพื่อการต่อต้านศิลปะ ก่อนที่จะเลิกทำงานศิลปะไปเลย โขกหมากรุกอย่างเดียว
แต่จะว่าไปแล้ว ศิลปะควรจะถูกตั้งคำถามอีกครั้งหนึ่ง เพราะจอห์น เคจ (John Cage) ผู้โด่งดังจากดนตรีแห่งความเงียบ (4'33) เพราะหลังจากนั้นเขาได้ประพันธ์ผลงานอีกชิ้นหนึ่งคือ "0'00" หนักกว่าเดิมอีก อันแรกเป็นดนตรีแห่งความเงียบ อันนี้ดนตรีอิหยังวะ จะฟังก็ฟังไม่ได้ เพราะมันไม่มี "เวลา" เวลาคือปัจจัยที่สองของดนตรี เปรียบได้กับสถานที่จัดแสดงของผลงานศิลปะอื่น ดนตรีจึงเป็นศิลปะอีกแขนงที่ต้องการปัจจัยสามอย่างเช่นกัน แต่ไอ้เจ้า 0'00 นี่มันไม่มีเวลา เมื่อไม่มีเวลา มันก็ไม่มีสถานที่ แต่มันก็เป็นงานศิลปะเช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วเคจเองก็เลือกจบชะตากรรมศิลปินของตนเองในแนว ๆ เดียวกับดูชอมป์ นั่นคือเลิกแต่งเพลงไปเลย ปลูกเห็ดขายอย่างเดียว
แต่ยังไงก็ตาม สถานที่ยังต้องเป็นปัจจัยสำคัญของศิลปะหลาย ๆ แขนงอยู่ และเราควรจะเลิกพูดกันได้แล้วว่าศิลปะมันจะต้องเป็นยังโง้นเป็นยังงี้ การที่ศิลปะรบกวนใจใครบางคน ก็อาจจะแปลได้ว่ามันได้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว เหมือนโถเยี่ยวของดูชอมป์ หรือรูปภิกษุสันดานกา โดยเฉพาะภิกษุสันดานกาที่โดนด่าเละ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ผลงานศิลปะชิ้นนี้ก็เป็นการเปิดประตูไปสู่การตั้งคำถามได้จริง
แต่ใครจะสร้างงานให้สดสวยงดงามดีต่อใจก็ย่อมทำได้ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่างานศิลปะที่รบกวนเรา มันก็ยังเป็นศิลปะอยู่ดี เพราะถ้ามันต้องสวยสดงดงามเท่านั้น บางที คุณอาจจะกำลังหลงทางอยู่ในยุคกลางอยู่ก็เป็นได้
โฆษณา