30 มี.ค. 2021 เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์
Hitchhiker - โบกรถเที่ยวกันมั้ย?
ได้อ่านหนังสือภาษาเยอรมันเรื่องล่าสุดชื่อ Der Anhalter – The Hitchhiker แปลเป็นภาษาไทยว่า ผู้ที่เดินทางโดยการขออาศัยรถคนอื่นไป เขียนโดยนักเขียนชาวอังกฤษรุ่นขึ้นหิ้ง Roald Dahl เป็นเรื่องสั้นประมาณสิบกว่าหน้า แต่มดใช้เวลานานประมาณสองวัน เรื่องของนักโบกทำให้มดนึกย้อนไปเมื่อสิบปีก่อนที่ได้ไปกระทำการเยี่ยงนั้นมา – โบกรถ -
มันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้คาดคะเนไว้ก่อน มันเป็นช่วงของฤดูหนาวเดือนกุมภาพันธ์ที่หนาวสะใจ มดและเพื่อนสาวคนสนิทเราเดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวดอยแม่สลองกัน โดยใช้บริการสายการบินแบบประหยัด กรุงเทพ – เชียงราย
เมื่อล้อแตะรันเวย์ของเชียงราย เราก็สะพายเป้ใบย่อม ๆ เดินออกมาด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร สอดส่ายสายตามองหารถเมล์ หรือมอ’ไซค์รับจ้าง ก็มีพี่ ๆ รถตู้ที่เรียกตัวเองว่าแท็กซี่มาซักไซ้ไล่เลียง อันมดและเพื่อนสาวไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีมาจากไหนแต่เป็นคนธรรมดาที่ไม่สามารถจ่ายค่ารถตู้ที่เป็นแท็กซี่เข้าเชียงรายได้ในราคา 500 บาทหรอกนะ
เราตัดสินใจเดินจากมา พี่ ๆ รถตู้ที่เรียกตัวเองว่าแท็กซี่ก็ตะโกนไล่หลัง “มันไกลนะ จะเดินไปได้ยังไงกัน” ตอนที่เรายืนอยู่ตรงถนนเวิ้งว้างทางเข้าท่าอากาศยาน มองไปจนสุดสายตา ก็ยังไม่เห็นว่าถนนจะไปสิ้นสุดที่ใด จึงได้รู้ว่าพี่รถตู้(แท็กซี่)ไม่ได้โกหก
ความตั้งใจก็คือว่า เราอยากออกไปถนนใหญ่ เพื่อเรียกรถสองแถวเข้าเมืองเชียงรายเท่านั้นเอง ตอนนั้นแหละที่เราตัดสินใจโบกรถที่ผ่านมา และภาวนาว่ารถที่เราโบกจะไม่ใช่รถตู้ที่เรียกตัวเองว่าแท็กซี่
อากาศของเชียงรายเมื่อต้นปีหนาวแบบสบาย ๆ กลิ่นของลมหนาวบ้านนอกเย้ายวนใจจนทำให้นึกถึงตอนเด็ก
รถผ่านไป 2 คันเราโบกอย่างนอบน้อมแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจอด ตำรวจที่ดูแลอยู่ทางประตูทางเข้าท่าอากาศยาน เดินตรงมาทางเรา มดและเพื่อนสาวมองหน้ากัน “เฮ้ย หรือว่าที่นี่เค้าห้ามโบกรถวะ อาจจะทำให้เสียภาพพจน์สนามบินนานาชาติ” แต่คุณพี่ตำรวจใจดีแค่เข้ามาถามว่าจะไปไหนกัน และโบกรถให้เราอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน
เครื่องแบบนี่ก็ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ยังไม่ทันทำอะไรเลย รถก็จอดซะแล้ว คุณพี่ตำรวจยังอุตส่าห์จะเลือกรถให้เราอีกด้วยนะ “รถกะบะไม่ดีหรอกน้อง หนาวแย่เลย เดี๋ยวพี่เลือกคันที่มีที่นั่งสบาย ๆ ให้”
โอ้ ตำรวจเป็นที่พึ่งของประชาชนจริง ๆ แต่เราไปรถกะบะนั่นแหละ ด้านหลังรถมีคนงานก่อสร้างอยู่ 4-5 คนพร้อมอุปกรณ์ เราสองสาวก็ไปเบียดนั่งยอง ๆ ตรงด้านท้าย ลมหนาวที่ว่าหนาวกำลังสบายก็เปลี่ยนเป็นพายุแห่งความหนาวเหน็บอันแสนร้ายกาจทันที
ทริปเชียงรายคราวนั้น เราโบกรถกันเป็นว่าเล่น ซึ่งทุกครั้งเกิดด้วยเหตุการณ์บังคับทั้งสิ้น ถ้าไม่ค่าโดยสารแพงเหมือนจะปล้นกัน ก็จะคือไม่มีรถโดยสาร
ในสองสถานการณ์นี้เราเลือกโบกรถ ซึ่งง่ายบ้างยากบ้างขึ้นอยู่กับว่ามีคนในเครื่องแบบมาช่วยเหลือหรือไม่ ครั้งที่น่าระทึกก็คือ โบกจากดอยแม่สลองลงมา เพราะมันเป็นวันเสาร์รถโดยสารจะรอให้คนเต็มก่อนถึงออก ถ้าไม่งั้นก็ต้องเหมากันเหยียบพันบาท
เราเดินมาเรื่อย ๆ ตามทาง รถมาทีก็โบกกันที แต่ไม่มีใครจอด แถมยังหัวเราะให้อีกด้วยนะ จนมีรถกะบะของสองหนุ่มซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าสองหนุ่มจะมาดีหรือมาร้าย ในความเป็นจริงการโบกรถเราไม่มีสิทธิเลือกทั้งนั้นว่าจะเอาคนดีหรือตัวโกง
ไปกับเพื่อนรักเมื่อปี 2550
หนุ่มรถกะบะพาเราซอกซอนไปตามทางเล็กทางน้อย ผ่านหมู่บ้านกะเหรี่ยงบ้านแล้วบ้านเล่า สองสาวมองหน้ากัน “ทำไมมันไม่วิ่งทางธรรมดาวะ” “มันจะเอาเราไปขายรึเปล่า” บางครั้งหนุมก็จอดที่หมู่บ้านหนึ่ง ลงไปพูดคุยกับคนบางคนอย่างลึกลับ “เอ๊ะ หรือว่ามาขายยาบ้ากันวะ” แต่ในที่สุดหนุ่มก็พารถออกมาสู่เส้นทางปกติ และพาเรามายังจุดหมายคือตีนดอย แถมยังให้เบอร์โทรศัพท์เราเป็นที่ระลึกด้วยนะ “มาอีกเมื่อไหร่ พี่ก็โทรหาผมนะคร้าบ”
ครั้งที่ดีที่สุดก็คือ จากพระตำหนักดอยตุงลงมาเชียงราย เราว่าจ้างรถมอ’ไซด์จากตีนดอยขึ้นไปหกสิบบาท แลกเบอร์โทรกันอย่างดีว่าจะลงเมื่อไหร่โทรไปจะขึ้นมารับ
เราสองสาวมาพร้อมเป้ใบย่อม จึงนำไปฝากไว้ที่กองประจำการของพี่ตำรวจ-ทหาร เที่ยวชมกันเสร็จจึงไปหยิบกระเป๋าและโทรหาพี่มอ’ไซค์ แต่บุญที่ทำมาน้อยไปจึงไม่สามารถติดต่อกันได้ในขณะนี้
พี่ตำรวจ-ทหารที่แสนดีบอกว่ามีรถของเจ้าหน้าที่ขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นระยะ นั่งรอไปก่อนเดี๋ยวจะเรียกให้ สุดท้ายเราก็ได้ติดรถพี่เจ้าหน้าที่มาถึงเชียงราย ได้นั่งเบาะนุ่ม ๆ แถมเปิดแอร์อีกด้วย
เป็นทริปเชียงรายและดอย ที่มดประทับใจ ไม่คิดว่าในพ.ศ. ๒๕๕๐ นี้เรายังไว้ใจใครต่อใครและขออาศัยรถเขาไปไหนต่อไหนได้อยู่
ไม่รู้ปีพ.ศ. ๒๕๖๔ จะยังทำได้มั้ยนะ?
🙏❤️

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา