29 มี.ค. 2021 เวลา 15:08 • ไลฟ์สไตล์
Design thinking เอาหลักการดีไซน์มาออกแบบชีวิตของเราใหม่
ห้องนอนไม่โอเค สวนไม่สวย บ้านไม่ตอบโจทย์ ยังดีไซน์ใหม่ได้ ชีวิตไม่ดีพอทำไมจะออกแบบใหม่ไม่ได้ล่ะ
ปัจจุบันหัวข้อหรือวิชา design thinking เป็นสาขาหนึ่งซึ่งเป็นที่สนใจมาก โดยเฉพาะการนำมาใช้ในวงการธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าและแก้ปัญหาใหม่ๆภายใน องค์กร
แต่วันนี้ผมได้มุมมองใหม่ๆในการนำวิชานี้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตเราจากชายคนหนึ่งบนเวที TedX ครับ
เขาก็คือ Bill Burnnett ผู้แต่งร่วมของหนังสือเรื่อง Design your life มีฉบับแปลภาษาไทยอยู่นะครับ ชื่อ คู่มือออกแบบชีวิตที่ใช่ งานที่ชอบ ด้วย design thinking
หลักการของเขาก็หยิบยืมมาจากหลัก design thinking 5 ข้อ คือ 1.เข้าใจปัญหา – 2.ระบุปัญหาให้จัดเจน – 3.ระดมความคิด – 4.สร้างต้นแบบสิ่งที่จะใช้แก้ปัญหา – 5.นำมาทดสอบ
ทีนี้เนื่องจากตาบิลเนี่ยพบว่าเวลาแกถามคนส่วนใหญ่ว่าในปัจจุบันเนี่ย มีใครได้ใช้ชีวิตในแบบที่เคยวาดฝันไว้ตอนเป็นเด็กหรือใช้ชีวิตตามแพสชั่นของตัวเองจริงๆบ้างมั๊ย คำตอบที่ได้ (ส่วนมากน่าจะมาจากนักเรียนหรือเพื่อนอาจารย์ของแกที่ Stanford) ก็คือ แทบจะไม่มีใครได้ใช้ชีวิตแบบนั้นเลย
นอกจากนั้นพี่แกยังอุตส่าห์บอกว่ามีนักเรียนของแกไปทำแบบสอบถามแล้วได้ผลลัพท์จากกลุ่มตัวอย่างมาสรุปได้อีกว่า คนที่ได้ใช้ชีวิตทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆนั้นมีน้อยกว่า 20% ครับ ซึ่งก็ยังถือว่าน้อยมากๆ
ณ จุดนี้แกก็เลยคิดว่าในเมื่อชีวิตคนเราไม่เป็นไปตามต้องการ ทำไมเราไม่มาออกแบบชีวิตของตัวเองใหม่เล่า ก็ในเมื่อทีสร้างบ้าน แต่งห้อง แต่งสวนแล้วไม่พอใจเรายังออกแบบใหม่ ทำใหม่เลย แล้วชีวิตเราเนี่ยสำคัญกว่าของพวกนั้นตั้งเยอะ
ว่าแล้วแกก็เอาหลักการ design thinking นี่ละมาปรับใหม่เป็น 6 ขั้นตอนโดยมีขั้นตอนที่ศูนย์ แทรกเข้ามา
โดยในขั้นที่ 0. นี้เราต้องยอมรับก่อนว่าชีวิตเรามีอะไรที่เป็นปัญหาอยู่และเราต้องการจะแก้ไขมันจริงๆมั๊ย จากนั้นก็นำไปสู่ขั้นที่ 1.การทำความเข้าใจกับปัญหาในชีวิตเรา และขั้นตอนที่ 2.การระบุปัญหาในชีวิตของเราให้ชัดเจน
มาถึงจุดนี้มันมีข้อควรระวังก็คือ บางอย่างมันก็ไม่ใช่ปัญหาจริงๆนะซิครับ แต่มันเป็นแค่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเราที่มันแก้ไขอะไรไม่ได้ต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดคุณทำงานอยู่ในบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัว และประธานบริษัททุกคนตั้งแต่อดีตจนถึงคนปัจจุบันก็เป็นคนในตระกูลเดียวกันนั่นแหละ ทีนี้คุณดันอยากจะเติบโตไปจนถึงตำแหน่งประธานบริษัท แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เรื่องแบบนี้เราคงแก้ไม่ได้ครับ หรืออย่างกรณีที่พบได้ทั่วไปก็ ปัญหาเจ้านายขี้บ่น เจ้านายเคี่ยว ให้งานเยอะ อันนี้มีตัวเลือกสองทางคือทำใจกับเปลี่ยนไปทำงานอื่นครับ
สำหรับปัญหาแบบนี้ตาบิลแกมีนิยามเฉพาะตัวให้ แกเรียกว่า Gravity problem ครับ โดยสรุปไว้สั้นๆว่า If it is not actionable, it is not a problem
ถ้าปัญหาที่เราคิดมันเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลก เพราะเราไม่อยากให้มีแรงโน้มถ่วง แบบนี้ไม่มีอะไรที่เราทำได้นอกจาก ทำใจ ครับ
ทีนี้ถ้าเราระบุปัญหาของตัวเองได้แล้วล่ะจะทำยังไงต่อ ไม่ยากครับ เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องโลกคู่ขนาน จักรวาลเสมือน หรือเคยดูหนังเรื่อง the one ของ เจ็ต ลี ไหมครับ ไอเดียก็คือ ให้จินตนาการถึงตัวเราที่มีชีวิตอยู่ในโลกคู่ขนานของเราเอง ในโลกนั้นๆตัวเราจะเป็นอย่างไร กำลังทำอะไรอยู่ และใช้ชีวิตอย่างไร ในขั้นนี้ก็คือขั้นที่ 3. การระดมความคิดครับ และ อย่างน้อยๆต้องจินตนาการชีวิตของเราที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาให้ได้สัก 3 แบบ เน้นย้ำคือ”ดีกว่าเดิม” นะครับเพราะปกติวิชา design thinking เนี่ยคงไม่มีใครจะออกแบบโปรดักส์หรือว่าบริการให้มันแย่กว่าเดิมหรอก
แต่ถ้าคุณยังเป็นคนไม่ค่อยมีจินตนาการ เรามีตัวช่วยครับ ลองคิดถึงชีวิตในโลกคู่ขนานของคุณจากสถานการณ์ 3 อย่างนี้
1. จากสถานการณ์จริงรอบตัวในปัจจุบันไปข้างหน้า 5 ปี คุณจะเป็นยังไงบ้าง
2. สถานการณ์ที่คุณจะตายในไม่กี่วันข้างหน้า ถ้ามันเกิดขึ้นคุณจะทำอะไรอยู่
3. สถานการณ์ที่เงินและภาพลักษณ์ไม่ใช่ข้อจำกัดของคุณอีกต่อไป พูดง่ายๆคือคุณรวยและไม่สนใจว่าใครจะว่าอย่างไร ทีนี้อะไรคือสิ่งที่มีความหมายสำหรับชีวิตคุณ
จากสามสถานการณ์สมมติจะทำให้เราได้ภาพของตัวเองที่แตกต่างกันมากสามภาพ หรือคำตอบสามคำตอบที่คุณสามารถเลือกใช้ชีวิตได้
จากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนที่ 4 คือการ สร้างต้นแบบ (prototype) โดยในขั้นนี้เราจะต้องทดลองใช้ชีวิตตามที่เราจินตนาการครับ แล้วทำยังไงล่ะ อย่างง่ายสุดเลยคือลองหาใครสักคนที่มีชีวิตแบบที่เราจินตนาการ แล้วก็ลองไปหาโอกาสพูดคุยกับเขาดูครับ ยกตัวอย่าง ถ้าผมจินตนาการว่า ตัวตนในโลกคู่ขนานของผมคือเชฟที่ทำงานในร้านอาหารมิชลินสตาร์สามดาว ก่อนอื่นผมจะไปไล่ดูก่อนว่าเชฟพวกนี้มีใครบ้าง ใครที่เปิดร้านใกล้ที่สุด และลองหาโอกาสไปทานที่ร้านนั้น ที่นั่นผมอาจมีโอกาสได้เจอเชฟตัวจริง พูดคุยและถามคำถามเกี่ยวกับอาชีพของเขา หรือถ้าไม่มีโอกาสเจออย่างน้อยที่สุดผมจะได้ซึมซับบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมของตัวตนในจินตนาการของผม ทำแบบนี้กับทั้ง 3 ตัวเลือก จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจเลือกครับ
ขั้นตอนที่ 5 คือการเลือกตัวเลือกที่เป็นคำตอบของชีวิตเราครับ คำตอบสุดท้ายของโจทย์การออกแบบชีวิตอาจจะไม่ใช่ตัวตนที่ 1 2 หรือ 3 อาจจะเป็นกึ่งกลางระหว่างนั้นก็ได้ ตามแต่ที่เราพอใจ สุดท้ายหลังจากออกแบบชีวิตตัวเองใหม่ผมอาจจะเลือกตัวตนในแบบที่ 2.5 ก็ได้
แต่เดี๋ยวก่อน ในกรณีที่ตัวตนสมมุตินี้มีมากมายหลายแบบล่ะ เกิดผมดันไอเดียบรรเจิดคิดถึงชีวิตคู่ขนานขึ้นมาได้ตั้ง 15 แบบ จะทำยังไงดีแบบนี้จะสร้างต้นแบบกันยังไงไหว คำตอบคือ ตัดออกให้เหลือไม่เกินห้าตัวเลือกก่อนแล้วค่อยมาเลือกในขั้นสุดท้ายอีกทีครับ สาเหตุก็เพราะ ถ้าตัวเลือกมันมากเกินไปมันก็เหมือนกับไม่มีตัวเลือกนั่นแหละ สุดท้ายแล้วเราจะสับสน รักพี่เสียดายน้อง และไม่ยอมตัดสินใจลงมือทำนั่นเอง
ในกรณีนี้เราเรียกว่า Overload of choices ครับ เหตุการณ์ตัวอย่างก็คือ ร้านกาแฟทำเค้กออกมา 6 แบบให้ลูกค้าทดลองชิม จากการชิมสุดท้ายลูกค้าตัดสินใจซื้อเค้กชนิดใดชนิดหนึ่งกลับไปทานประมาณ 20% ของลูกค้าทั้งหมด ขณะเดียวกัน สามวันถัดมาร้านเดิมทำเค้กให้ลูกค้าชิมจำนวน 24 แบบ ผลลัพท์คือลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อเค้กกลับไปทานเหลือแค่เพียง 3 %
ใครที่กำลังอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นลองเอาไปใช้ดูนะครับ นั่งลงทบทวนเส้นทางชีวิตของตัวเองดูแล้วออกแบบมันใหม่ถ้าคิดว่าชีวิตเรายังไม่ดีพอไม่มีคำว่าสายไปครับสำหรับวิชาชีวิต
สนใจเข้าไปกดฟังลุงบิลกันได้ครับ ที่
โฆษณา