31 มี.ค. 2021 เวลา 13:00 • ปรัชญา
เหมือนฝันที่เป็นจริง ของชาโดว์
เช้าวันที่ 11 กรกฎาคม 2528 เก็บดอกไม้บูชาพระถวายเงินแล้ว สวดมนต์ว่าคาถาจบหมดทุกบทอย่างเคยแล้ว ใจเที่ยวมาเป็นเดือนๆ ตั้งแต่น้ำมันไม่ไหล พาลขี้เกียจนั่งสมาธิด้วยชักเบื่อหาว่าซ้ำๆ ซากๆ เช้าตี 4 ตี 5 เคยลุกนั่งพยายามให้เข้าถึงฌาน 4 ก่อนแล้วถึงไปพระนิพพาน ซึ่งได้บ้างไม่ได้บ้าง หมู่นี้นอนทำไปแบบมโนมยิทธิ หนักเข้าตี 5 ครึ่งตื่นกดปุ่มวิทยุข้างหัวนอน ฟังพระสวดทำวัตรเช้าจากสถานีวิทยุยานเกราะ ตั้งคลื่นไว้เลย นอนสวดตามแล้วฟังรายการพระไปเรื่อย ฟังเทปของหลวงพ่อท่านฤๅษีลิงดำบ้าง เรียกว่าเกาะเสียงพระ (เหมือนค้างดาวงูเหลือมแล้ว) โหนบันไดขึ้นอย่างอ่อนแรง สายวันนี้ขึ้นแบบมโนมยิทธิ กราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว พระอริยสาวกแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว ท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านพ่อของเราและท่านพ่อท่านแม่ผู้มีพระคุณตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติแล้ว ทำแล้วๆ ๆ ไปงั้นๆ ตามความเคยชินทุกวันเป็นมา 2-3 เดือนมั้ง ตั้งแต่เป็นโรคแห่งความฝัน พอข่าวดีฝืนดี ข่าวร้ายฝันร้าย
พระประทาน ในศาลา 12 ไร่ วัดท่าซุง
เช้านี้พอนึกกราบพระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ เอ๊ะ!..ชาติปัจจุบันเราเคยกราบและทำบุญกับท่านหลายองค์แล้วนะ เขาว่าถ้าทำได้ถึง 9 องค์จะมีบุญมาก ลองนับที่ท่านสิ้นแล้วครบ 9 องค์ไหม? ลำดับกราบเห็นท่านทุกองค์พร้อมกับนึกได้ว่าเคยกราบที่ไหน ยังไง และคำ สอนที่ติดใจข้าพเจ้ามากโดยเฉพาะหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ซามา หลวงปู่แหวน ภาพชัด หลวงปู่แหวนสิ้นเมื่อคืนวันที่ 2 ก.ค. 28 ตั้งสิบวันแล้วข้าพเจ้าเพิ่งจะกราบท่านเป็นเรื่องเป็นราววันนี้เอง (12 ก.ค.28)
เมื่อหลวงปู่แหวนเคยธุดงค์กับหลวงปู่ดื้อ ท่านกลัวเสือมา หลวงปู่ดื้อจึงให้หลวงปู่แหวนอยู่ข้างใน ท่านรับอาสาออกไปนั่งคักต้นทางข้างนอก ตอนดึกเสือตัวใหญ่มาจริงๆ มันนั่งจ้องหลวงปู่ตื้อใกล้ๆ หลวงปู่ท่านกลัวมากคิดว่าทำยังไงหนอเสือจะหนีไป นึกขึ้นได้ว่าเสือกลัวไฟท่านจึงเอาไฟแช็กกดดังแช็ก ไฟติด เสือตกใจกระโจนเผ่นหนี ตะกุยหินกระเด็นถูกหลวงปูดื้อ โอหนอ!..ท่านลำบากถึงขนาดนั้น เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ลำบากทั้งอาหาร ความเป็นอยู่อากาศ ภูมิประเทศ กว่าจะสำเร็จได้ความรู้มาสอนพวกเรา หลวงพ่อท่านฤๅษีลิงดำก็เคยโคนงูใหญ่มาขดที่หัวแทนหมอนด้วย เป็นเราช็อกตายแน่ๆ ที่ท่านออกธุดงค์ก็เพื่อแสวงหาธรรมปฏิบัติให้หลุดพ้น กว่าจะได้มาเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นึกเห็นภาพซึ้งใจขึ้นมาทีเดียว อ้ายเราปฏิบัติอยากให้หลุดพ้นในชาตินี้ยังเป็นครูสอนมโนมยิทธิด้วย โดนแค่นี้เอง นอนในบ้านสบาย กินอยู่สบายเหมือนเดิม เพียงแค่สูญเงินแต่นี้ห่อเหี่ยวไปได้ นึกว่ากำลังธุดงค์ขั้นอุกฤษฎ์ก็แล้วกัน พวกเราก็จะไปนิพพานชาตินี้กันแล้วนี่ กรรมเก่าใช้คืนไป ที่ข้าพเจ้าหงอยมันหงอยเพราะนึกถึงคนนี้ คนนั้น คนโน้น คนนู้น โดนกันไปหมดแล้วสงสารกัน ตัวเองไม่เท่าไรหรอก ไม่เล่นกับเขาก็ไม่ทันสมัย นึกว่าชาติยังไม่เคยแม้แต่คิดจะ โกงใคร ไม่น่ามาเป็นแบบนี้เลย เพิ่งจะคิดหาเงินใช้เองนี่แหละ โดนเสียแล้ว เฮงแท้ๆ !.เสียเงินไม่ว่ามันเสียดายความรู้สึกเพราะข่าวลับแต่รู้กันทั่ว พาดพิงถึงบุคคลที่เรารักเคารพ ผู้ใหญ่ที่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีแก่เยาวชนรุ่นหลัง ว่าท่านเหล่านั้นเอาไปบ้าง อะไรอย่างนี้แหละ
วันหนึ่งไปเผาศพ มีคนถามข้าพเจ้าว่า เป็นไงลูกศิษย์หลวงพ่อโดนเป็นแถวเลยรึ..เลยตอบว่าไม่ทุกคนหรอก แต่ในใจนึกตอบว่า เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วนี่นา สงครามที่ใช้นักรบผู้กล้าเท่าไรคิดดู มันจะไม่เยอะแยะได้ยังไง คิดว่าทำกรรมร่วมกัน วันนี้จะต้องตื่นรับความเป็นจริงอย่างอาจหาญ และเขียนให้พวกเรารับรู้ด้วยดีกว่า พวกเราจะไปอยู่พระนิพพาน ไม่ได้เอากายออกธุดงค์เสี่ยงอันตราย พระที่ท่านออกธุดงค์ไนป่าท่านก็กลัวเหมือนกัน บางครั้งนึกว่าตายแล้วเกิดใหม่ด้วยซ้ำไป เปรียบกับพวกเราไม่เห็นเงาแล้วกัน เราจงนึกว่ากำลังออกธุดงค์ แล้วแต่ใครจะออกป่าทึบป่าโปร่ง ป่าละเมาะ พบเสือ สิงห์ งูใหญ่ งูเล็ก ไส้เดือน ตามข้อทดสอบยากง่ายแล้วแต่บุญวาสนาบารมีแต่ปางก่อน ในที่สุดสอบผ่านได้เหมือนกันหมด ชนะเหมือนพระอรหันต์ที่อยู่บนพระนิพพาน เวลานี้ซึ่งท่านเคยโดนอุปสรรคข้อสอบในเมืองมนุษย์ ทุกข์ยากก่อนเราเหมือนกัน
หลังจากน้ำมันไม่ไหล พบหน้ากันพูดถึงเรื่องนี้ด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน ที่แรกนึกว่าบางคนไม่เล่น เมื่อเกิดเรื่องถึงได้รู้ว่าเล่นกันทั้งน๊าน!.. ถามความรู้สึกข้าพเจ้าบอกว่ามันเหมือนความฝัน เพราะมันเกิดขึ้นจริงๆ เงินสูญจริง แต่ใจมันไม่เจ็บไม่เดือดร้อนเท่าที่ควร นึกถึงกรรมเก่าในอดีตชาติ มันตัดได้ ที่นี้ต้องรัดเข็มขัดนี่สิจะใช้เงินอย่างเคยมันไม่มีใช้ นี่คือตื่นรับความจริง แต่มันไม่เจ็บปวดใจ ความรู้สึกลอยๆ ไม่ใช่คนบ้า ข้าพเจ้าถึงเรียกมันว่าเหมือนฝันไงค่ะ หลายคนเห็นด้วยว่ารู้สึกไม่น่าเป็นไปได้เหมือนฝันที่เป็นจริงเหมือนกัน วันนี้พวกเราจงตื่นขึ้นรับความจริงอย่างอาจหาญว่ามันไม่ใช่ฝัน เป็นความจริงเงินสูญไปแล้ว เรากำลังธุดงค์เข้าป่าลึก บำเพ็ญเพียรขันติบารมี วิริยะบารมี ทานบารมี (อภัยทาน) เงินที่สูญนึกว่าเราทำบุญหมดแล้ว ใจมันเหี่ยวนึกว่าสุขทุกข์อยู่ที่ใจ เราทำใจให้สุข วัตถุสิ่งของ ร่างกายบังคับไม่ให้เสื่อมไม่ให้สูญไม่ได้ มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในมัน มันไม่มีในเรา แต่จิตหรืออทิสสมานกายนี้เป็นของเราจริง ติดตามเราตลอด เราสามารถบังคับให้มันเป็นเทดา เป็นสัตว์นรก ให้ผ่องใส ให้เศร้าหมองได้ เราเศร้าหมองหงอยเหงาเพราะเราทำเอง เลิกใจเหี่ยวชะที จงตื่นขึ้นรับความเป็นจริงว่าเราจะไปพระนิพพานชาตินี้ให้จงได้
"ตื่นเถิดชาวไทยอย่าหลับใหลลุ่มหลง ชาติจะเรืองดำรงก็เพราะเราทั้งหลาย อย่ามัวหลับมัวหลงจะ โดนคน โกงทำลาย ชาติจะสลายเพราะคนทำผิด ตื่นเถิดพวกเรา อย่าหงอยเหงาลุ่มหลง ชาติหน้าจะหมดกังวลก็ต้องเราทำเอง"
ร้องเพลงดีกว่า อย่าร้องไห้ทั้งหลับและตื่น เมื่อเราตายพบกันบนพระนิพพานคุยเรื่องแชร์ล้มตอนนี้เราคงเห็นว่ามัน จิ๊บ..จ้อย น่าขัน
คำสอนของพระอรหันต์ที่ข้าพเจ้าเคยกราบท่านสมัยยังมีชีวิตอยู่นั้นเช้านี้มันซึ้งใจจนเกือบสำคัญผิดว่าตัวเองสำเร็จไปอีกแล้ว คำสอนของท่านมีดังนี้
องค์ที่ 1 ท่านสุพรหมยานเถระ วัดพระบาทตากผ้า จ.ลำพูน เมื่อครั้งที่หลวงพ่อท่านฤๅาษีลิงดำพาคณะลูกศิษย์ไปกราบท่านเมื่อหลายปีก่อนโน้น ตอนจะกลับ ดร.ปริญญา นุตาลัย เข้าไปกราบลาที่เข่าท่าน ท่านพูดว่า "สอนตัวเอง (ให้ดี) ก่อนจึงสอนคนอื่นเขา " ข้าพเจ้ารีบนึกสอนตัวเองว่า จงทำดี จงทำดี
องค์ที่ 2 หลวงปู่บุญทึม วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน องค์นี้ท่านเงียบไม่พูดไม่แสดงตัว ถ้าหลวงพ่อไม่บอกไม่มีใครทราบว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโนที่มีฤทธิ์ด้วย คุณแดง (พ.อ.ศรีพันธ์ วิชชุพันธ์) เห็นท่านอยู่กุฏิเก่าหลังเล็กๆ เหมือนไม่มีใครเหลียวแล ร้องไห้สงสารท่าน แต่ข้าพเจ้าได้ความคิดว่า "ท่านไม่ทำตัวดังเพราะท่านหวังความสงบ หรือถ้าอยากดังก็อย่าหวังความสงบ" พอหลวงพ่อพาลูกศิษย์ไปกราบท่านไม่นาน ท่านก็สิ้น
องค์ที่ 3 หลวงปู่ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร ข้าพเจ้าเคยกราบและฟังคำสอนท่านหลายครั้ง เมื่อท่านสิ้นไม่ถึงปี พระองค์ท่านหญิงวิภาวดีสิ้นและถึงพระนิพพานด้วย พวกเราดีใจที่ท่านเป็นตัวอย่างยืนยันว่าฆราวาสบวชใจสำเร็จถึงพระนิพพานได้จริง ข้าพเจ้าคิดว่าท่านหญิงเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อทีหลังกว่า แต่แซงออกหน้าไปแล้วจึงเร่งรัดตัวเองคิดว่าเราทำไม่ถูกทางมั้ง ฟังใครเขาว่าอย่างนั้นดี เปลี่ยนทำมั่ง คืนหนึ่งนั่งทำในห้องพระนานแล้วหลับไป (หลับจริงๆ เป็นปกติด้วย) ฝันว่าหลวงปู่ฝั้นมาหาชัดเจน ข้าพเจ้าดีใจรีบกราบท่าน เคยรู้ว่าท่านมีเจโตปริยญาณเก่งมาก ต้องสอนตรงกับกิเลสเรา นึกอย่างนี้ท่านพูดว่า "ดูใจของเราเอง ไม่ต้องดูใจคนอื่นเขา" แล้วตื่นเลยไม่ทันได้พูดกับท่านสักคำ จึงรู้ว่าเราทำถูกทางแล้วไม่ต้องหาทางใหม่เอาอย่างคนอื่นเขา ใจจึงสงบทำเหมือนเดิมอีก คือแนวหลวงพ่อฤๅษีถึงดำ
องค์ที่ 4 หลวงปู่คำแสน (ใหญ่) วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ฟังท่านคุยด้วยสอนด้วย สรุปแล้วท่านเน้นหนักทางเมตตามาก ท่าทางท่านก็ยิ้มอ้าปากกว้าง ใจดี๊ดี
องค์ที่ 5 หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ได้ความรู้จากท่านคือ เรื่องผีต่างๆ มีจริง ท่านเล่าให้ฟังบ้าง ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังและถามข้อข้องใจซึ่งสงสัยมานาน ตั้งแต่เด็กบ้าง เช่น ผีกะ (ผีปอบ) ผีโพรง (ผีสะคือ) ฯลฯ ที่สำคัญเวลานี้คือผีหรืออทิสสมานกายของเราเอง ขณะนี้เป็นสัตว์เป็นคนหรือมีเครื่องทรงเทวดาหรือไม่ ที่ไหล่มีอินทรธนูงอนๆ ยื่นออกมาไหม?
วัดท่าซุง
องค์ที่ 6 พระครูบาขาวปี เคยกราบท่านเมื่อไปงานผาศพหลวงปู่บุญทึมกัน หลวงพ่อท่านของพวกเราที่วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลำพูน หลวงพ่อบอกว่าข้างในท่านเป็นพระทองคำแล้ว ท่านนุ่งขาวห่มขาว เมื่อท่านสิ้นหลายเดือนข้าพเจ้าไปกราบศพท่าน ดินตามพวกไม่กี่คน เข้าไปเงียบๆ ไม่คิดว่าท่านจะอยู่ในโลงแก้วใสเห็นเข้าตกใจผงะเลย เพิ่งจะเข้าวัดใหม่ๆ ด้วยรีบปลงเป็นว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยงหนอ มีเสื่อม น่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้เอง แล้วรีบออกไปขึ้นรถเพื่อจะต่อไปวัดหลวงปู่ชัยวงษ์เลย อึ้ยย..ขันธ์ ๕ ของใครก็ไม่น่ามองทั้งนั้น จมูกท่านยุบแล้ว ที่ปลายเท้าทั้งสองข้างโผล่ออกมาจากผ้าขาวนิดๆ สีคล้ำเกือบจะดำ
องค์ที่ 7 หลวงปู่ชุ่ม เขมะโก วัดวังมุย ท่านยิ้มเรื่อย ก่อนสิ้นสัก 2-3 ปี ท่านเดินทางร่วมกับหลวงพ่อท่านฤๅษีลิงคำเสมอ ไปเยี่ยมตำรวจทหารชายแดนอีสาน เหนือและสงขลา ไปทำพิธีบวงสรวงที่พระวิหารน้ำน้อย ข้าพเจ้ามีโอกาสติดตามรับใช้ท่านทุกครั้ง เห็นท่านเมื่อไรท่านก็ยิ้มหรือหัวเราะน้อยๆ เมื่อหลวงพ่อท่านพูดอะไรขันๆ เมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิได้ใหม่ๆ เคยขึ้นไปกราบท่านที่พระนิพพาน ขอคำสอนพิเศษจากท่าน เห็นท่านยิ้มอยู่อย่างนั้น ไม่ว่าอะไรสักที ลูกขอคำสอนเข้าค่ะ ท่านก็นั่งยิ้ม เลยนึกตอบเองขณะนั้นว่า งั้นก็ยิ้มสู้หรือเจ้าคะ? อะไรจะเกิดถ้าเรายังยิ้มได้อยู่ละมันดี ใช่ไหม? ท่านก็ยิ้มอยู่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก แต่มันก็ดีนะท่าน ยิ้มสู้เสมอ
องค์ที่ 8 หลวงปู่ตื้อ วัดบ้านข่า จ.นครพนม เมื่อพ.ศ.2516 ข้าพเจ้า พี่ชอ พี่เหม่ และพระที่วัดอโศการามองค์หนึ่ง ไปกราบท่านที่วัด วัดที่ท่านสิ้น อยู่สามคืน เมื่อท่านจะสอนหรือคุยด้วยจะให้เณรมาตามและให้อัดเทปด้วย ก่อนนั้นมีคนอัดเทปหลายคนแต่ไม่ติด ท่านบอกว่าคณะเราเคยเป็นลูกท่านในอดีตชาติด้วย ท่านจึงสั่งพระให้บอกเรารีบไปเพราะท่านจะอยู่ไม่นานจะทิ้งขันธ์ เราจึงไปได้ ม่ายงั้นจะไปๆ ไม่ถึงสักที ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กำลังชุกชุมด้วย คืนหนึ่งกำลังฟังท่านคุยแบบสอนด้วยว่า "ขี้คือพระพุทธ เยี่ยวคือพระธรรม น้ำลายเป็นพระสงฆ์" ข้าพเจ้านึกว่าฟังผิดเพราะยังไม่คุ้นสำเนียงกับวิธีสอนแบบท่านจึงงงๆ แล้วท่านอธิบายว่า "ขี้สำคัญ ถ้าไม่ขี้ก็ตาย ไม่มีเยี่ยวก็ตาย ขี้ไม่ออกเยี่ยวไม่ออกต้องตาย น้ำลายต้องพึ่งมัน ใช้กลืนอาหาร ไม่กลืนไม่กินก็ตาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต้องเป็นที่พึ่งเสมอ"
เจ้ากรรม พอดีขณะนั้นข้าพเจ้าปวดท้องฉี่พอดี เลยต้องบอกท่านว่า ลูกขออนุญาตลุกไปปลดความตายก่อนเจ้าค่ะ แล้วกราบท่านลุกไปเข้าห้องส้วม จึงจำแม่นจนบัดนี้ ยิ่งเราทุกคนทำเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว ข้าพเจ้าทำเมื่อไรนึกถึงคำสอนของท่านเสมอ เห็นไหม?..ท่านมีอุบายให้เรานึกถึงไตรสรณาคมน์ได้ตลอดเวลา และนับครั้งไม่ถ้วนที่ข้าพเจ้าได้ธรรมะสอนตัวเองจากห้องน้ำห้องส้วมนั่นแหละ นั่งเพลินพิจารณาไปซิ ตัวเราคือขี้ก้อนใหญ่ ขี้หัว ขี้ตา ขี้มูก ขี้ไคล ขี้ตีน (ขอโทษ) เราบังคับมันไม่ได้ ก้อนขี้ในท้องที่ออกมามันยังบังคับเราให้ต้องมานั่งอยู่อย่างนี้ ออกมาแข็งหรือเหลวเรื่องของมัน ชักโครกให้มันหมดไปเลยจะได้ไม่เหม็น ไม่หลงกลับมาเกิดมีขี้อีก ว่าไปตามประสาคนช่างฝัน เวลารับประทานกลืนน้ำลาย อ้าว!.. พระสงฆ์ท่านต้องพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาด้วย นึกว่าไปได้บ้างไม่ได้บ้าง ลืมเรื่อย สู้ในห้องน้ำไม่ได้ อยู่คนเดียวสงัดดี ไม่รู้ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว มันชอบปวดอีตอนกำลังนั่งอยู่ในห้องพระตอนเช้าๆ เสียด้วยนา ต้องยอมมันก่อนทุกที แล้วกลับมาต่อใหม่อีก เป็นยังงี้แหละ
องค์ที่ 9 หลวงปู่แหวน ได้คำสอนจากท่านเมื่อไรๆ ก็คือ "เหตุ มีเหตุต้องมีผล หรือผลเกิดจากเหตุ" อย่างผลที่เงินแชร์ติดขัดหรืออาจสูญของพวกเรา ก็เนื่องจากเหตุที่พวกเราเคยไปรบยึดเมืองยึดทรัพย์สมบัติของเขามาก่อนในอดีตชาติ (หลวงพ่อท่านบอกให้) ข้าพเจ้าเคยไปค้างที่วัดท่านหลายครั้ง สมัยที่ท่านยังไม่ดัง วัดท่านไม่มีอะไรมาก เช้าๆ ท่านถือไม้เท้ายาวๆ ไปฉันที่ศาลาเก่าๆ ชาวบ้านแถบนั้นเอาอาหารมาถวายอย่างสบาย คือไม่วุ่นวายเพราะคนน้อย สงบดี มีเด็กนักเรียนน้อยๆ ขึ้นไปกราบท่าน ปากจะพูดด้วย คือ กราบ 1 พระพุทธ กราบ 2 พระธรรม กราบ 3 พระสงฆ์ กราบ 4 ลูกพ่อ... กราบ 5 ลูกแม่.... คือกราบ 5 ครั้งบอกชื่อพ่อแม่ด้วยดังๆ กลางคืนท่านออกมานั่งหน้ากุฏิท่าน พวกเราไปกราบ ฟังท่านคุยท่านสอนและเล่าเรื่องอะไรๆ สนุก หัวเราะกันเรื่อย ข้าพเจ้าสังเกตว่าพระที่ท่านมีฤทธิ์มักจะมีอารมณ์ขันเสมอเมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิได้แล้วจึงทดลองวิชา โดยไปกราบท่านและขอเรียนฤทธิ์จากท่านได้ด้วย เคยเขียนลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ 4 ฉบับที่ 34
องค์ที่ 10 หลวงปู่ซามา วัดป่าอัมพวัน จ.เลย เป็นเพื่อนสนิทกับหลวงปู่ชอบ องค์ที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า "ชาไป" (พระทองคำ ไปไม่กลับ) ท่านเคยจำพรรษากับหลวงปู่ชอบที่กม.27 ดอนเมือง ข้าพเจ้าเคยนิมนต์ท่านไปพักที่กุฏิพระในบ้านด้วย 2-3 ครั้ง บางครั้งท่านอยู่หลายวันให้หมอรักษาอาพาตด้วย ท่านเล่าถึงสมัยที่ท่านบวชใหม่ๆ เห็นกายในหลุดออกไปตกใจกลับเข้าร่างอีก ทีนี้นั่งสมาธิอีกออกได้อีก จำขาลายที่ท่านสักไว้ได้จึงรู้ว่าเป็นท่านเองนั่งอยู่ เมื่อท่านอยู่กับหลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวนที่เชียงใหม่ ท่านพรรษาน้อยกว่ามาก เมื่อออกบิณฑบาต ท่านเอาบาตรของหลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนสะพายไหล่สองข้าง ของท่านเองคล้องคอ เดินไกลๆ เมื่อถึงบ้านคนจึงจะส่งคืน ขอกลับเอามาสะพายอีกเดินจนถึงวัด เหนื่อยมากแต่ท่านก็เต็มใจทำ
บ่ายวันหนึ่งข้าพเจ้าเอาหมากสดไปถวายท่านที่ กม.27 ดอนเมือง พบท่านกลับจากบ้านใครไม่ทราบ หลวงปู่ชอบกำลังนั่งเล่นที่สนาม หลวงปู่ซามาเข้าไปคุยกับหลวงปู่ชอบอย่างกันเองเพราะไม่มีแขกแปลกหน้าเลย ท่านเล่าว่ารถติดมากมึนหัวเลย รถแคบนั่งไม่สบาย ไม่อยากไปก็ขอให้ไปเหยียบบ้านให้เป็นศิริมงคล ท่านโชคดีไปไม่ได้ หมายถึงหลวงปู่ชอบท่านเป็นอัมพาต นั่งรถเข็น ข้าพเจ้าเลยถามว่า "เขานับถือมากๆ ถ้าพระ ไม่ค่อยสบายจะเป็นบาปหรือเป็นบุญ" ท่านยิ้ม นิ่งไปเดี๋ยวหนึ่ง ตอบว่า "เป็นบาป"
พอดีเสียงกบหรือเขียดร้องในบ่อน้ำใกล้ กุฏิ อังแอ๊ดๆ หลวงปู่ซามาพูดขึ้นว่า คืนนี้ฝนจะตก มันร้อง แบกๆ กันยันรุ่ง "
หลวงปู่ชอบยิ้มและว่า "มึงหามด้วย"
หลวงปู่ซามาร้อง "อึ่งอ่าง อึ่งอ่าง" แต่ทำเสียงฟังดูแล้วเป็น มึงหาม มึงหาม แล้วท่านต่อกันว่า "มึงหาม กูแบก แบ๊ก ๆ ๆ.. " แล้วหัวเราะกัน ปรารภขึ้นว่า "มันแบกหามกันทั้งคืนล่ะ บ่วางซักเตื้อ"
ข้าพเจ้าดีใจได้ความรู้จากท่านและนึกว่า อ้อ!..พระที่ท่านปฏิบัติถึงธรรมท่านคุยกันแบบนี้เอง ได้ยินอะไรเห็นอะไรคิดเป็นธรรมะหมด ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าได้ยินถึงอ่าง กบ เขียดร้องทีไร ฟังดูเป็นเสียงประสานเหมาะเจาะว่า "มึงหาม กูแบบ แบ๊กๆๆ" เพลิน เมื่อสติดีฟังแล้วเตือนตัวเองว่าเราจะไม่แบกไม่หาม จะละ จะวางมัน จะได้ว่าง ยิ่งกบเขียดร้องหลายๆ ตัว จินตนาการไปเลย เห็นเป็นภาพคนกำลังชุลมุนวุ่นวาย ช่วยกันแบกกันหามอีกด้วย บางทีของนั่นมีนิดเดียว และไม่ใช่เรื่องของตัวสักหน่อย นี่ยิ่งแย่ใหญ่ ในบ้านข้าพเจ้ามีสระ มีบ่อ มีคลองน้อย ขังน้ำทั้งปี จึงได้ยินกบเขียดร้องเตือนสติให้ระลึกถึงหลวงปู่ซามาซึ่งสิ้นไปแล้วเมื่อ 3 ปี ก่อนเสมอๆ
หลายองค์ท่านสิ้นไปแล้วเหลือแต่ความทรงจำคำสอนของท่านซึ่งจำได้ไม่หมด ปฏิบัติไม่ได้อีกด้วย โชคดียังมีหลวงพ่อท่านฤาษีสิงดำที่ท่านยังอยู่และให้ปัญญาทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ข้าพเจ้า เป็นพระคุณอย่างยิ่งไม่มีวันลืม และสำนึกถึงพระคุณจะตอบแทนอย่างไรก็ไม่มีวันหมด จะพยายามช่วยงานท่านรับใช้ท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมจนกว่าจะตาย ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้รับใช้ติดตามท่านไปไหนๆ เสมอทั้งเมืองไทยและเมืองนอก เที่ยวหลังนี้ที่ไปนิวซีแลนด์ สิงคโปร์ เดือนเมษายน 2528 มีหลวงปู่โง่น วัดเขารวก จ.พิจิตร ไปด้วย นับว่าตัวเองไม่เสียชาติเกิด ถึงจะตายก็นอนตาหลับ นับว่าสวรรค์ยังมีตา ตายอย่างภาคภูมิ เรามีความตายเป็นธรรมดา ล่วงความตายไปไม่ได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงความแก่ไปไม่ได้ กาลเวลาย่อมกินสรรพสัตว์ทั้งปวงเป็นธรรมดา ชีวิตนี้จบลงที่ตาย ในเมื่อเราตายจะไม่เกิดอีก ต้องถือว่าใครโกงเงินเรา น้ำมันไม่ไหลเป็นธรรมดา ความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา เวลานี้คนกำลังเกิดความเบื่อหน่ายชีวิตและโลกกันมาก เรามาคิดเข้าข้างตัวเองในทางดีไว้ว่า นั่นคือธรรมะก้าวหน้าเป็นนิพพิทาญาณ เราได้นิพพิทาญาณแล้ว เงินทองเป็นของนอกกาย มีแล้วหมดแล้วเป็นธรรมดา อยากรวยก็ต้องเสี่ยงเป็นธรรมดา เสี่ยงแล้วได้หรือหมดก็เป็นธรรมดาไม่ว่ากัน
วิหารหลวงพ่อ 5 พระองค์ วัดท่าซุง
จงหลับให้สนิทแล้วตื่นขึ้นอย่างเบิกบานสดใส ต่อสู้กับโลกกลมที่หมุนไม่หยุดนิ่ง มืดบ้างสว่างบ้างเป็นธรรมคาของ โลก พวกเราจงช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ของเราทั้งทางโลกและทางธรรมตามสติกำลังปัญญาของเราและเป็นกำลังใจซึ่งกันและกันต่อสู้มารหรืออุปสรรคทั้งหลายให้หมดไปจากประเทศชาติ เพื่อชาติไทย ศาสนาพุทธของเราจะได้อยู่จนถึงชั่วลูกชั่วหลานสืบต่อๆ ไป เหมือนบรรพบุรุษของเราได้เคยต่อสู้มาแล้ว ชาติไทยและคนดีคนทำถูกจงอยู่รอดปลอดภัยสดใส ไชโย ไชโย สวัสดี
ชาโดว์ 24 ก.ค. 2528
จากหนังสือ บันทึกชาโดว์
โฆษณา