Zack Snyder's Justice League (2021) : รอนานๆ ก็คุ้มอยู่ แม้สุดท้ายก็คือหนังเรื่องเดิม
Zack Snyder's Justice League (2021)
สิ่งหนึ่งที่เราอยากพูดเกริ่นก่อน เป็นหนึ่งประเด็นที่คนส่วนใหญ่แอบไม่ค่อยได้พูดถึงเท่าไหร่ แต่เราดันประทับใจมากแบบงง ๆ ซึ่งนั่นก็คือไอพวก "Parademons" หรือไอตัวกีกี้นี่แหละ... มันยิงแม่นมากกก ซึ่งไม่ใช่แค่ฉากสำคัญช่วงท้ายเรื่องนะ แต่พวกฉากดีเทลเล็ก ๆ หลายฉาก สังเกตดี ๆ มันยิงเข้าเป้าเยอะมากอยู่นะ (เข้าเป้าในที่นี้เรานับว่ามันยิงตรงตัวฮีโร่จนตรงหลบเอง หรือป้องกัน) ขนาดที่เราไม่ได้ตั้งใจนึก แค่นึกไว ๆ ผ่านก็นึกออก 3-4 ฉากแล้ว และไอสิ่ง ๆ นี้นี่แหละ เออ มันทำให้ดูมีความแบบว่าดูสู้ยากขึ้นมาจาก Ver. ก่อนชัดเจน และก็เหมือนว่าฮีโร่ มันต้องงัดพลังต่าง ๆ ขึ้นมาบ้าง จนส่งผลให้ฉากแอ๊คชั่นต่าง ๆ มันเล่นอะไรได้เยอะ (แต่สุดท้ายมันก็ยังเป็นเหมือนตัวมาให้อัดเล่นอยู่ดีหน่ะแหละ55555)
Parademons ผู้ที่ไม่ใช่ Stormtroopers
"กลับมาที่ Main หลักที่ควรถูกเล่าต่อ" ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะแฟน DC อย่างเราที่ดูทั้ง Animation แล้วก็อ่าน Comic บ้าง สิ่งที่เราอยากจะเห็น คือโทนเรื่องที่ซีเรียส และหม่นแบบเดิมที่จักรวาลมันปูมา หรือแบบใน Animation ซึ่งสิ่งนี้เราเห็นได้อย่างชัดเจนตั้งแต่ "ซีนเปิด" ทันที ว่ามันกลับเข้ามาเป็นในรูปแบบที่มันควรจะเป็นแล้ว (แต่ส่วนนี้จะไม่พูดละกัน เพราะคนพูดไปเยอะและ)
และแน่นอนว่าอีกหนึ่งสิ่งที่เราอยากให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม หากอิงจากสิ่งที่ Zack วางไว้ให้ DCEU ตามเส้นเรื่องของตัวเอง คือเรื่องของ "การพยายาม และเรียนรู้ในทุกด้านของความเป็นมนุษย์ สำหรับเหล่าฮีโร่ ที่มีพลัง มีความเก่งกาจ จนถูกคนยกเป็นพระเจ้า" ซึ่ง Ver. 2017 Message นี้มันหายไปหมดเลย แต่พอกลับมาเป็น Ver.ZSJL เราได้เห็น Message เหล่านี้ขึ้นชัดเจนมาก โดยเฉพาะในส่วนของ The Flash และ Cyborg ผ่านการถูกเล่าขยายปูมหลังที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในระยะเวลา 4 ชม.นี้
Cyborg หนึ่งในตัวละครที่มีหัวจิตหัวใจมากที่สุดในเรื่อง
ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่อง The Flash แล้ว... พอดู ZSJL จบ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราโคตรโกรธ Ver.2017 เลยก็คือ Scene The Flash ในช่วงท้ายเรื่องนี่แหละ Ver.ZSJL แบบว่าทั้งอารมณ์ ความสำคัญ หรือ Message ที่จะสื่อสารนั้น มันโคตรจะทรงพลัง และเล่นกับความรู้สึกได้ดีมากในทุกส่วนเลย ทั้งเรื่อง Emotional จากบทที่ถูกปูเพิ่มเข้ามา และทางเทคนิค อย่างการใช้การใช้ soundtrack (ไหนจะความ service แฟนอีก) ซึ่งทั้งหมดนี้ มันถูกแทนที่ด้วยฉากเข็นรถกระบะที่ Message และความสำคัญ ที่มันต่างกันลิบลับใน Ver. 2017 ซึ่งนั่นแหละ สิ่งที่เราโคตรโกรธเลย
หนึ่งใน Scene ที่ทรงพลังที่สุดในเรื่อง ที่ดันถูกตัดออกใน Ver.2017
แต่สิ่งที่เราโกรธ ZSJL ก็มี แม้จะไม่เท่าเคส The Flash แต่ก็โกรธนิดหน่อย คือเรื่องของ ตัวร้ายที่ง่อยเหมือนเดิมเลย ไม่สมราคาคุย กับที่ตา Zack โม้เอาไว้ว่า Final Battle Steppenwolf มันไม่ง่อยแน่นอน... แต่เอาจริง ๆ อันนี้เราก็พลาดเองแหละที่เชื่อ เพราะตา Zack ก็บอกอยู่ว่าเขาไม่เคยดูงานฉบับ 2017 ฉะนั้น เค้าคงไม่รู้ว่ามันเป็นยังไงหรอก.... และผลสุดท้ายมันก็ยังแอบ ๆ ออกมาง่อยเหมือนเดิมนั่นแหละ (แทบไม่ดีขึ้นมาเลย)
Steppenwolf
สุดท้าย ตัวหนังมันอาจจะดีขึ้นจริง แต่มันก็ถือว่าเนื้อหาอะไรต่าง ๆ ก็ใกล้เคียงเดิม และมันไม่ได้ปรับเปลี่ยนไปจนเป็นหนังคนละเรื่องแบบที่คนชอบพูดกัน และจริง ๆ เราว่ามันก็แอบไม่แฟร์มากเท่าไหร่ที่จะเทียบกันแบบจริง ๆ จัง ๆ กับทั้ง 2 ver. เพราะสุดท้าย v. 2017 ก็เป็น ver ใบสั่งอยู่ดี และ ZSJL ก็ได้รับอิสระมากกว่าชัดเจน แต่ก็ยังมีแผลหนัก ๆ ที่ต่างกันออกไป (ทั้งเรื่องสโลโมชั่นที่นึกว่าดูหนัง John Woo หรือ ไอเพลงหลอนหูของ Wonder Woman)
เรามองว่า มันน่าหยิบมาเป็นกรณีศึกษา สำหรับการทำหนังเรื่องเดียวกัน ในวิสัยทัศน์ และข้อความที่ต้องการจะสื่อที่ต่างกัน (เช่นเรื่อง ความเป็นมนุษย์ของคนที่ถูกมองเป็นพระเจ้าใน ZSJL กับเรื่องของการก้าวผ่านความกลัว ของ Ver. 2017) และเอาจริง ๆ Ver.2017 มันก็มีบางส่วนที่โอเคกว่าสำหรับเรา ไม่ใช่ว่า ZSJL จะมาลบล้างทั้งหมดไปได้.... เอาจริง ๆ เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าฉาก Everybody Knows ในปี 2017 มันก็ยังอิมแพ๊คและสร้างอะไรหลาย ๆ อย่างได้ดีในตัวมันอยู่เช่นกัน และเราก็ว่ามันเป็นฉากที่สื่อ Message อะไรหลายอย่างได้ดี และกระชับกว่าอีกด้วย
ปล. สุดท้ายก็อยากจะดูภาคต่อไปอยู่เหมือนกันนะเอาจริง ซึ่งขอใช้โอกาสนี้ติด #restorethesnyderverse ไปเลยแล้วกัน 555555
#imsarnreview
บทความรีวิวจะถูกปล่อยบน Facebook ส่วนตัวก่อนที่จะถูกปล่อยต่อผ่านทาง Blockdit นะครับผม
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
